ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 104 เข้าประชิด (4)
“พาข้าไปดูว่าเรื่องประหลาดนั่นเกิดขึ้นที่ใด” ลู่เซิ่งไม่กล่าววาจาไร้สาระ ตอนนี้สภาพการณ์สับสน ทั้งยังมีความประหลาดลี้ลับก่อความวุ่นวาย
ถ้าเป็นจตุรัสแดง น่าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ คนธรรมดาหายไปไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลต่อตระกูลเจิน ยังจะสร้างความรู้สึกต่อต้านแก่ราชวงศ์ด้วย ได้ไม่คุ้มเสีย
“อยู่ที่ข้างท่าเรือนอกเมือง” นิ่งซานตอบรับ
ทั้งสองคนขึ้นม้าเร็ว จากนั้นสวีชุยเมื่อได้รับข่าว ก็รีบเลือกคนตามหลังมา
เร่งรุดเดินทาง อ้อมเมืองเลียบคีรีราวครึ่งชั่วยาม นิ่งซานหยุดลงข้างท่าเรือเล็กๆ ในป่าแห่งหนึ่ง พลิกตัวลงจากหลังม้า
ลู่เซิ่งลงจากหลังม้าตาม กวาดตามองรอบๆ
แม่น้ำสงบนิ่ง ไกลออกไปมีเส้นสีขาวเคลื่อนไหว แสงอาทิตย์สาดส่อง ทำให้ผิวน้ำเปล่งประกายตลอดเวลา
เรือหาปลาขนาดยาวหลายลำแล่นอย่างเชื่องช้าบนแม่น้ำ มีชาวประมงหว่านแหและลงเบ็ดบนเรือ
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง อากาศร้อนเล็กน้อย บนท่าเรือยังมีกรรมกรเปลือยท่อนบนขนย้ายสินค้า ขบวนพ่อค้าสองสามขบวนรออยู่ด้านข้าง มองดูสินค้าถูกขนขึ้นเรือสินค้าอย่างต่อเนื่อง
“สถานที่เกิดเรื่องอยู่ที่ใด” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วถาม สภาพแบบนี้อย่างไรก็ไม่เหมือนกับจุดเกิดเหตุ
“อยู่ทางขวามือของท่าเรือ มีคนมักเห็นคนยกเกี้ยวเดินผ่านกลางดึก โดยไม่มีเสียง” นิ่งซานตอบ
ทั้งคู่คุยกันพร้อมเดินไปที่ฝั่งแม่น้ำทางขวามือ
จนกระทั่งถึงสถานที่ ลู่เซิ่งสัมผัสดูตลอดทาง ไม่เห็นรู้สึกว่ามีปราณหยินดำรงอยู่ ในสถานการณ์ที่ไม่มีเงื่อนงำใดๆ เขาไม่อาจค้นพบปัญหา
“คืนนี้รออยู่ที่นี่ ข้าอยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าเกี้ยวที่ว่านี้เป็นอะไร” เขาหยีตากล่าว
ในช่วงที่จตุรัสแดงกับตระกูลเจินลงมือทำศึกใหญ่ ยังมีคนกล้ายื่นมือเข้ามาในสถานที่สำคัญของพรรควาฬแดงเช่นเมืองเลียบคีรี ไม่ว่าเป็นผู้ใด ต่างก็เป็นการยั่วยุ อย่างเปิดเผยงต่อตระกูลเจินและพรรควาฬแดง
มองดูภาพคนเคลื่อนไหวบนท่าเรือ ลู่เซิ่งไม่พูดต่ออีก เพียงยืนอยู่อย่างเงียบๆ บนฝั่ง
เขาพอไม่ขยับ นิ่งซานก็ไม่กล้าขยับ ไม่ทันไรสวีชุยก็พาคนสิบกว่าคนมาถึง ลู่เซิ่งจัดการสำรวจภูมิประเทศรอบๆ ท่าเรือ เจอเจิ้งซินจ้งมือปราบจากที่ว่าการซึ่งยังเฝ้าอยู่ที่นี่
ลู่เซิ่งเจอสถานที่พักผ่อนในหมู่บ้านชาวประมงใกล้ๆ จึงไปพบมือปราบเจิ้่งจากที่ว่าการผู้นี้
“อวี้เหลียนจื่อหรือ” มือปราบเจิ้งยืนตรงหน้าลู่เซิ่งอย่างนอบน้อบ หลังจากได้ยินคำถาม ใบหน้าฉายแววสงสัย
“หลายวันก่อนเขาเคลื่อนไหวกับมือปราบหวังในที่ทำการของพวกเรา ตรวจสอบคดีเกี้ยวผีกลางดึกของที่นี่ น่าจะยังไม่กลับมากระมัง” เขารีบตอบ
คนของที่นี่เมื่อออกไปตรวจสอบคดี เป็นเพราะไม่มีวิธีติดต่อที่เร็วพอ ออกไปสามสี่วันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
“เช่นนั้นตั้งแต่พวกเขาไป จนถึงตอนนี้เกี้ยวนั่นได้โผล่มาอีกหรือไม่” ลู่เซิ่งถามต่อ
“เมื่อคืนก็โผล่มา…” มือปราบเจิ้งตอบด้วยรอยยิ้มหนักใจ
“ดูเหมือนไม่มีประโยชน์อะไร”
“ไม่ใช่ใช่ รู้สึกว่าเวลาที่เกี้ยวนั่นโผล่มา สั้นลงมาก” มือปราบเจิ้งตอบอย่างรวดเร็ว
“เวลาที่ปรากฏสั้นลงมาก…” ลู่เซิ่งไตร่ตรอง ปล่อยมือปราบไป แล้วบอกบริวารยืมกระดาษพู่กันมา เขียนจดหมายฉบับหนึ่งด้วยตัวเอง หลังผนึกเทียนแล้ว ก็ให้คนนำไปส่งประมุขพรรคที่เรือวาฬแดง
เขาต้องการสอบถามถึงคดีนี้ ดูว่าตระกูลเจินมีปฏิกิริยาหรือไม่ ตามเหตุผล สถานที่สำคัญแบบนี้เมื่อก่อนไม่มีความขัดแย้ง ตอนนี้มีความขัดแย้งกับจตุรัสแดง ตระกูลเจินไม่มีทางยอมให้ใกล้ๆ เมืองปรากฏเรื่องราวที่ควบคุมไม่ได้เช่นนี้
ลู่เซิ่งกับนิ่งซานจ่ายเงินหาที่พักในหมู่บ้านใกล้ๆ เขาเพียงรั้งตัวนิ่งซานกับสวีชุยไว้ แล้วให้ที่เหลือกลับไป
ทั้งสามคนรออยู่ข้างแม่น้ำจนถึงตอนดึก ไม่เห็นเกี้ยวโผล่มา หากพบอวี้เหลียนจื่อที่อิดโรยกลับมา โผล่ขึ้นข้างแม่น้ำพอดี
ลู่เซิ่งนำคนไปเฝ้าที่ชายฝั่ง เห็นอวี้เหลียนจื่อมองไปรอบๆ ในความมืด คล้ายหาอะไรอยู่
“ไป เข้าไปดู” เขาพาคนเดินเข้าไป
สวีชุยกับนิ่งซานสบตากัน รีบติดตามไป
ทั้งสามคนพอเข้าใกล้ ค่อยพบว่าอวี้เหลียนจื่อมีสีหน้าเหนื่อยล้า แสดงท่าทีผิดหวังอยู่บ้าง
“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่!? ท่านเหตุใดมาแล้ว อวี้เหลียนจื่อเห็นลู่เซิ่งที่พาคนเข้ามาแล้วเช่นกัน
“เป็นอย่างไร เรื่องราวจัดการเรียบร้อยหรือไม่” ลู่เซิ่งเข้าไปถาม
“ยุ่งยากยิ่ง ข้าพลัดหลงกับมือปราบหวัง ภายหลังไม่เจอเขาอีก หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก ช่วงนี้สถานการณ์ผิดปกติอยู่บ้าง” อวี้เหลียนจื่อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“สถานการณ์ผิดปกติหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง “ผิดปกติอย่างไร”
“กล่าวตามจริง” อวี้เหลียนจื่อพูดเบาๆ “ตอนข้าไล่ตาม เห็นคนเร็วกว่าพวกเราไล่ตามไปก่อนก้าวหนึ่ง”
“มีคนอื่นด้วยหรือ เห็นหน้าตาชัดเจนหรือไม่” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วถาม เรื่องแบบนี้คนปกติเกรงว่าจะหวาดกลัวหลีกหนี ยังมีคนกล้าไล่ตามไป หนำซ้ำเร็วกว่าอวี้เหลียนจื่อที่วรยุทธ์ไม่เลว นี่น่าสนใจบ้างแล้ว
“ไม่ใช่แค่นี้ ช่วงนี้ความถี่ของเรื่องประหลาดในอาณาเขตของเมืองเลียบคีรีที่พวกเราปกครองน้อยลงมาก เดิมทีคูเมืองขนาดใหญ่ไปถึงอาณาเขตรอบๆ มีประชากรมาก เป็นเพราะช่วงก่อน จะเกิดคดีผีปีศาจส่วนหนึ่งเป็นระยะๆ
แต่ตอนนี้ ครึ่งเดือนจึงค่อยปรากฏเหตุการณ์นี้ ข้าน้อยสงสัยว่า หลังวันนี้เกี้ยวผีนั่นจะไม่โผล่มาอีกแล้ว” อวี้เหลียนจื่อเอ่ยเบาๆ
“อ้อ? หมายความว่าอย่างไร” ลู่เซิ่งถามกลับ
“ถึงข้าน้อยไล่ตามไม่ทัน แต่ว่าระหว่างทางได้ยินเสียงร้องจากด้านหน้า คล้ายมีคนสู้กัน เมื่อเข้าไปใกล้ยังไม่ทันเห็นอะไร ร่องรอยก็หายไปหมดแล้ว” อวี้เหลียนจื่อกล่าวเสียงทุ้ม “ดังนั้นเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีคนจัดการเรื่องนี้ก่อนพวกเรา”
ลู่เซิ่งไม่ได้พูด เงียบขรึม
ไม่ปกติจริงๆ เขารีบมาเนื่องจากคิดจะจัดการคดีสักสองสามคดีเพื่อลงแรงสร้างระดับคุณูปการให้พรรค กลับคาดไม่ถึงว่าจะเจอสถานการณ์เช่นนี้
“ตอนเกิดเรื่องก่อนหน้า ทำไมท่านไม่บอกข้า”
“ข้าน้อยเห็นทุกอย่างราบรื่นดี จึงไม่ได้บอกหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก” อวี้เหลียนจื่อยิ้มฝาด
“ไปเถอะ กลับไปก่อนค่อยว่ากล่าว” ลู่เซิ่งมองรอบๆ ลมแม่น้ำเย็นเยียบ เปี่ยมด้วยความชื้น ไม่ใช่สถานที่พูดคุยกัน
“ขอรับ!”
ทุกคนออกจากข้างแม่น้ำ ขี่ม้ากลับห้องเพาะดอกไม้หยกทองในตอนกลางคืน
วิกาลคล้อยดึก ระหว่างทางลู่เซิ่งกลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกอึดอัดเหมือนเมฆดำกดทับศีรษะก่อนฝนจะตกมากขึ้น
เขาไม่รู้ว่าเกิดปัญหาตรงไหน แต่ทำให้ตนในตอนนี้เกิดความรู้สึกแบบนี้ได้ จะต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่นอน
“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก…ถนนกลางคืนมืดมิด เหตุใดพวกเราไม่กลับไปวันพรุ่งนี้ พักผ่อนที่หมู่บ้านชาวประมงสักคืน” อวี้เหลียนจื่อไม่เข้าใจอยู่บ้าง
ทั้งสี่คนขี่ม้า เดินทางบนทางหลวงที่มืดทะมึน ได้แต่อาศัยแสงจันทร์บนศีรษะ มองเห็นทางไม่ชัด ม้าไม่ทันระวังเดินเฉออกนอกเส้นทาง ต้องปรับทิศทางตลอดเวลา กินแรงยิ่ง
“ข้าย่อมมีเหตุผลของข้า” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงทุ้มต่ำ ไม่อาจบอกว่าตนรู้สึกผิดปกติ “จริงสิ ใกล้ๆ นี้นอกจากพวกเราแล้ว พรรคอื่นๆ มีเรื่องประหลาดอะไรหรือไม่”
พอถามเรื่องนี้ อวี้เหลียนจื่ออธิบายอย่างชัดเจนยิ่ง
“เรื่องประหลาดกลับไม่มี หัวหน้าชุมนุมล่องไพรประกาศปิดด่าน แต่ดำเนินการมานานแล้ว
ยังมีระดับสูงของสำนักแปรผันออกเดินทางไปจงหยวนด้วยกัน อื่นๆ ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร”
“งั้นหรือ…” ลู่เซิ่งไม่แน่ใจว่าลางสังหรณ์ของตนคืออะไร ก่อนหน้าไม่เคยเกิดความรู้สึกนี้ แต่ว่าเรื่องโชคเคราะห์เช่นนี้สุดท้ายถ้าเชื่อก็มี ไม่เชื่อก็ไม่มี
ขี่ม้าได้สักพัก ลู่เซิ่งพลันหยุดม้า มองไปด้านหน้า
ไกลออกไป เป็นตำแหน่งป่าเขาแห่งหนึ่งนอกเมืองเลียบคีรี คล้ายเป็นตีนเขาบูรพา ท้องฟ้ายามราตรีมีเปลวเพลิงพุ่งสู่ฟากฟ้า
“ที่นั่นเกิดไฟไหม้ รู้หรือไม่ว่าเป็นที่ใด” ลู่เซิ่งถาม
กลับคิดไม่ถึงด้านหลังไม่มีเสียงตอบ เขาหันไปมอง กลับเห็นอวี้เหลียนจื่อใบหน้าไร้สีเลือด มองเปลวเพลิงด้วยใบหน้าตกตะลึง
“ทิศทาง…ทิศทางนั้นมีแต่หอไพศาล ที่ตั้งของสำนักแปรผันอยู่! ไฟพุ่งสูงถึงฟ้าแบบนี้ไม่ใช่อัคคีภัย หากเป็นคำสั่งควันไฟขอความช่วยเหลือจากหอไพศาล!” เสียงเขาสั่นอยู่บ้าง
“คำสั่งควันไฟขอความช่วยเหลืออันใด สถานการณ์ร้ายแรงมากหรือ เกี่ยวข้องอันใดกับพรรควาฬแดงของพวกเรา” ลู่เซิ่งงุนงงที่อวี้เหลียนจื่อตกใจขนาดนี้ ปกติเขาเป็นคนใจเย็นมาก ไม่ถึงกับตกใจเพราะเรื่องของค่ายพรรคอื่นๆ
แต่การแสดงออกของเขาในตอนนี้จะต้องมีสาเหตุล้ำลึกแน่
เป็นอย่างที่คาด อวี้เหลียนจื่อหน้าซีด จ้องมองเปลวไฟตาไม่กะพริบ ค่อยๆ เอ่ยว่า
“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก คำสั่งควันไฟขอความช่วยเหลือมีแต่สำนักแปรผันประสบภัยพิบัติล้างสำนักจึงค่อยจุด ครั้งก่อนที่จุด เป็นตอนศึกใหญ่ของค่ายพรรค หน่วยหลักสำนักแปรผันเกือบโดนล้าง จึงจุดเพื่อเรียกระดมหน่วยย่อยมาช่วย”
“นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราเหมือนกันกระมัง” นิ่งซานไม่เข้าใจว่าเหตุใดอวี้เหลียนจื่อจึงตกใจขนาดนี้
“ไม่…ไม่ใช่…” อวี้เหลียนจื่อกัดฟัน “ไม่ขอปิดบัง…” เขากระซิบข้างหูลู่เซิ่ง
“เจ้าสำนักแปรผัน คือหงซิ่งหรงบุตรคนโตของประมุขพรรคเฒ่า สำนักแปรผันความจริงเป็นขุมกำลังซ่อนเร้นที่แข็งแกร่งที่สุดในสังกัดของเขา
สำนักแปรผัน ก็คือพรรควาฬแดง”
ครั้งนี้ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้งโดยสมบูรณ์ เขาประหลาดใจมาโดยตลอดว่า เหตุใดไม่เห็นทายาทของศิษย์พี่หงหมิงจือออกหน้า กลับคาดไม่ถึงยังมีความเกี่ยวข้องที่เร้นลับระดับนี้
สำนักแปรผันถูกล้าง ไหนเลยไม่ใช่หงซิ่งหรงบุตรคนโตของศิษย์พี่…
เขาสีหน้าเคร่งขรึม พลันทราบความร้ายแรงของสถานการณ์
“ไป! กลับไปตำหนักใหญ่ทันที!”
ทุกคนเร่งความเร็วไปยังเรือวาฬแดง
เบียดฝูงชนอุตลุตโดยไม่หยุดพักแม้แต่น้อย ในที่สุดก็ถึงเรือวาฬแดงอย่างยากลำบากตอนฟ้าเริ่มสาง
เรือวาฬแดงจุดไฟตะเกียงสว่างไสว กำลังยุ่งวุ่นวาย รถขนของและเกวียนจำนวนมากออกมาจากข้างเรือไม่ขาดสาย
น้ำถูกเทใส่ถังบนเกวียนเทียมวัวอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะถูกลากไปยังสำนักแปรผันอย่างรวดเร็ว ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่นมาก เกวียนเทียมวัวไปถึงได้อย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งมีภาพลักษณ์ชัดเจน จึงมีคนจำได้ เขานำคนลงจากหลังม้า มีคนเข้ามาทักทายและจูงม้าให้ทันที
“ประมุขพรรคเล่า” เขากล่าวน้ำเสียงร้อนรน
“เรียนหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก พักผ่อนอยู่ในสวนดอกไม้” พลพรรคที่มาต้อนรับตอบอย่างเคารพ
ลู่เซิ่งไม่หยุด นำอวี้เหลียนจื่อรุดไปยังสวนดอกไม้โดยให้คนที่เหลือรอที่อื่น
เขามีสีหน้าเคร่งเครียด ระหว่างทาง องครักษ์ที่เดิมคิดเข้าขวางเขาเพื่อเตือนว่าประมุขพรรคเฒ่ากำลังพักผ่อน ก็ไม่กล้าเข้ามา
ลู่เซิ่งเป็นอันดับสามในพรรค พลังเหี้ยมหาญ นิสัยแข็งกร้าว ก่อนหน้านี้กล้าฆ่าลูกสาวของรองประมุขพรรคต่อหน้าทุกคนบนเรือ ชื่อเสียงจึงขจรขจาย
เขารีบผลักประตูเหล็กของสวนดอกไม้เข้าไป เห็นหงหมิงจือที่ยืนอยู่ใต้โคมไฟสีเหลือง
ประมุขพรรควาฬแดงและเจ้าสำนักอาทิตย์ชาดในปัจจุบัน หันกลับมาสองตาซึมเซา เหมือนกับชราลงมาก
ประโยคแรกที่เขาพูดทำให้ลู่เซิ่งใบหน้าเปลี่ยนแปลงทันที
“ศิษย์น้อง ตระกูลเจิน…หนีไปแล้ว…”
……………………………………….