ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1040 เนเซียน (2)
ผู้ใช้พลังจิตบนพื้นถูกกวาดล้างไปพอประมาณแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวคือยานรบยักษ์ลำที่อยู่บนศีรษะ
มองไปจากบนพื้น เวลานี้ยังคงเห็นแสงสีทองที่เจิดจ้าหลายกลุ่มระเบิดเหนือท้องฟ้าได้เป็นระยะ
ชั้นเมฆถูกกระบองใหญ่ปั่นจนปั่นป่วน
“พวกเราเป็นผู้ปกป้อง! ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย!” ไป๋อันอี้ตวาด ก่อนทิ้งตัวลงขวางอันซาไว้
เทียบกับเขาเมื่อสองปีก่อน ไป๋อันอี้ในเวลานี้ไว้ผมยุ่งเหยิง ร่างกายกำยำสมบูรณ์แบบ ราวกับราชสีห์หนุ่มส่งเสียงคำราม
เพียงแต่แววตาของเขายังคงฉายแววบริสุทธิ์และไร้เดียงสา
อันซารู้สึกว่าความไร้เดียงสานั้นขัดนัยน์ตาเหลือเกิน
โถงเก้าชีวิตไม่ใช่โรงทาน พวกเขาคือกองทัพ
เป็นกองทัพที่แสวงหาพลังและอุดมคติมารวบรวมไว้ใต้สังกัดของอาจารย์หวัง
สิ่งที่น่าขำคือ จนถึงตอนนี้ ไป๋อันอี้ก็ยังไม่เห็นจุดนี้ชัดเจน
“นายจะทำอะไร ศัตรูยังต้องกวาดล้าง และยังมีผู้ใช้พลังจิตที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนอีก” อันซาเอ่ยเสียงเย็น
“นายตามฉันมาซะ! ฉันจะให้นายได้เห็นบาปที่เกิดขึ้นเพราะหมัดเมื่อกี้ของนายด้วยตาตัวเอง!” ไป๋อันอี้ผุดสีหน้าบูดบึ้ง
“น่าขำ!” อันซาแค่นเสียงก่อนหมุนตัวจะเดินหนี
ไม่คาดว่าไป๋อันอี้จะกระโดดมาขวางเขาไว้อีกครั้งดุจสายฟ้าแลบ
“หยุดซะ!”
“หลีกไป!”
เปรี้ยง!
ทั้งสองฝ่ายปะทะหมัดกับฝ่ามือ คลื่นอากาศยิ่งใหญ่ระเบิดออกมา คลื่นโซนิคบูมทรงกลมค่อยๆ กระจัดกระจายตามกระแสอากาศ
กรวดหินและซากปรักหักพังบนพื้นรอบๆ พากันระเบิดกลายเป็นกรวดทรายที่เล็กกว่าเดิม
“ฉันไม่อนุญาตให้นายฆ่าคนเป็นผักปลาแบบนี้อีกแล้ว!” ไป๋อันอี้ตาแดงก่ำ เมื่อครู่นี้เอง หญิงสาวเพื่อนบ้านซึ่งเขารู้จักมาตั้งแต่เด็กถูกตึกถล่มทับต่อหน้าต่อตา
พริบตานั้น เขาที่มองเห็นสายตาอันสิ้นหวังและหวาดกลัวของเด็กสาว เหมือนมีบางอย่างในส่วนลึกของจิตใจแตกสลายไปในพริบตา
“ฉันบอกให้หลีกไป!” อันซาผุดสีหน้าอึมครึม
กล้ามเนื้อของไป๋อันอี้นูนขึ้นช้าๆ เขาไขว้สองแขนและงอตัว ทำท่ากระเรียน
“ฉันจะแก้ไขความผิดพลาดที่นายทำไปเอง!”
เหมือนกับมีอะไรบางอย่างแผ่พุ่งออกมาจากตัวเขาอยู่ชั่วขณะ
วิชาต่อสู้แบกภาระโคจรด้วยความเร็วสูง มันถึงกับทะลวงขีดจำกัดแล้วเข้าสู่สภาพใหม่ที่แม้แต่ลู่เซิ่งก็ไม่เคยคาดถึงมาก่อน
“หาที่ตาย!”
ในที่สุดอันซาก็หน้าเปลี่ยนสี กำปั้นขวาพองตัวและคั่งเลือดด้วยความเร็วสูง ประจุไฟฟ้าสีดำหลายสายเกี่ยวพันขึ้นกำปั้น พร้อมกับต่อยใส่ไป๋อันอี้อย่างสะเทือนเลือนลั่น
มือของทั้งสองปะทะกันอย่างฉับพลัน
พลังกำปั้นไฟฟ้าและเรี่ยวแรงอันน่ากลัวพุ่งเข้าใส่กัน
ตูม!
หลุมยักษ์ที่กว้างสิบกว่าเมตรและลึกห้าหกเมตรระเบิดไปยังรอบๆ โดยมีทั้งสองเป็นศูนย์กลาง
ดินโคลนและก้อนหินมากมายกระจัดกระจายไปรอบๆ เหมือนห่าฝน
…
เหนือทะเลเมฆ
กลางประกายแสงสีทองทั่วร่างเนเซียนปรากฏรอยสีเลือดมากมายตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ
เขากระตุ้นแสงสีทองให้กวาดไปมาบนร่างตัวเองหลายรอบด้วยสีหน้าเย็นเยียบอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไร้ความหมาย จุดเลือดพวกนั้นไม่อาจขจัดทิ้งได้เหมือนกับมันมาจากตัวเขาเอง
ลู่เซิ่งสะบัดปีกบินขึ้นมาอยู่ในระดับความสูงเดียวกับเขา พร้อมมองอีกฝ่ายอย่างราบเรียบ
“สัมผัสพลังของฉันได้หรือยัง” เขาเอ่ยเสียงทุ้มอย่างแฝงด้วยความอัดอั้นที่บอกไม่ถูก
“แน่จริงก็สู้กับฉันซึ่งๆ หน้าสิ! หรือว่า แกใช้เป็นแต่วิธีการกับแผนการชั่วร้ายที่ไร้ยางอายแบบนี้?!” เนเซียนเอ่ยเสียงเย็น
“แผนร้าย วิธีการหรือ” ลู่เซิ่งหัวเราะเสียงเย็น “ไอ้โง่! นี่เป็นส่วนหนึ่งของพลังฉันเท่านั้น! หรือฉันจะต้องสาดเลือดใส่แกซึ่งหน้าด้วย พูดอะไรของแกเนี่ย!?”
“…!” เนเซียนเถียงไม่ออกอยู่ชั่วขณะ
จุดเลือดอันแปลกประหลาดเหล่านี้กัดกร่อนหุ่นโลหะพลังจิตของเขาอย่างต่อเนื่อง อีกฝ่ายกลับบอกวิธีการที่ต่ำช้าแบบนี้เปิดเผยตรงไปตรงมาแล้ว
นี่มันช่าง! นี่มันช่าง!
เขาชี้ลู่เซิ่งอย่างพูดไม่ออกด้วยความโกรธ
“สุดท้ายก็เป็นเพราะแกอ่อนแอเกินไปเอง” ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าดูถูก “ถ้าไม่ใช่เมื่อครู่สภาพฉันไม่ดี ขนาดต่อให้แกมือเดียวก็ยังจัดการแกได้สบายๆ”
“แก!”
“พล่ามอยู่ได้ แกนึกว่าฉันโดนแกเล่นงานจนเลือดออกเหรอ นั่นเป็นเลือดที่ฉันจงใจบีบออกมาเองโว้ย! ไอ้โง่ นึกจริงๆ เหรอว่าตัวเองร้ายกาจนัก” ลู่เซิ่งกล่าวต่อด้วยเสียงเย็นชา
เนเซียนผุดสีหน้าเหยเก ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในหุ่นยนต์แทบกลายเป็นสีเขียว
“แกนึกว่าชนะแล้วเหรอ” เขาสูดหายใจลึก การอบรมในตระกูลชั้นสูงอันดีงามของจักรวรรดิทำให้เขาข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านได้อย่างรวดเร็ว
“แกลองต่อต้านดูสิ” ลู่เซิ่งเอ่ยเรียบๆ “เลือดของฉันกัดกร่อนไปถึงด้านในพลังจิตของแกแล้ว ยิ่งแกต่อต้าน การกัดกร่อนก็จะยิ่งเร็วขึ้น”
เนเซียนตกใจ พลันรู้สึกได้ว่าความเร็วกัดกร่อนของเลือดเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
เขารู้ว่าสิ่งที่ลู่เซิ่งพูดเป็นความจริง เลือดชนิดนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง หากแตะโดน ก็จะกัดกินสิ่งที่สัมผัสทั้งหมดเหมือนสิ่งมีชีวิตทันที
สิ่งที่น่าหวาดสะพรึงคือ เลือดแบบนี้จะแพร่พันธุ์ด้วยตัวมันเองต่อไปหลังได้รับพลังงานและสารอาหาร
“ฉันจำหน้าแกไว้แล้ว” เนเซียนรู้ว่าถ้าตัวเองยังไม่ไปอีก อาจจะไม่ได้ไปจริงๆ แล้ว
เขามองลู่เซิ่งอย่างล้ำลึก ศึกนี้ดูเหมือนเขาได้เปรียบตลอดเวลา แต่ความจริงเขากลับแพ้แล้ว
ฟิ้ว!
แสงสีทองสาดวาบขึ้น
ลำแสงสีทองขนาดยักษ์พุ่งลงมาจากด้านบนลู่เซิ่ง
ลำแสงหนาหลายร้อยเมตรกลบลู่เซิ่งในทันที
เนเซียนฉวยโอกาสนี้หมุนตัวบินหนีอย่างรวดเร็ว
แสงสีทองค่อยๆ สลายไป เผยให้เห็นร่างของลู่เซิ่งที่ยกแขนป้องกันไว้ด้านหน้า
ควันขาวลอยขึ้นจากร่างเขา บนกายเนื้อของเขาในตอนนี้เกิดชั้นขวางกั้นพิเศษที่ใช้ป้องกันลำแสงขึ้นคลุม มันสามารถขวางกั้นความร้อนสูง รวมถึงสะท้อน หักล้าง และลดทอนการโจมตีด้วยแสงเลเซอร์ได้
บวกกับระดับความแข็งแกร่งทางกายเนื้ออันน่ากลัวของลู่เซิ่งที่เหมือนไม่ใช่มนุษย์ การโจมตีด้วยปืนใหญ่นี้อาจจะมีพลังทำลายผู้ใช้พลังจิตได้ แต่ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อยสำหรับลู่เซิ่งที่ปรับตัวและวิวัฒนาการร่างได้เก่งกาจ
ขอแค่ไม่ตายทันที แม้จะถูกโจมตีหลายครั้ง ลำแสงแบบนี้ก็จะมีพลังทำลายล้างต่อเขาน้อยลงเรื่อยๆ
เซลล์และยีนจะกลายเป็นชั้นผิวหนังที่ปรับตัวให้ป้องกันลำแสงพลังงานได้ดีกว่าเดิม อีกทั้งยังลดทอนพลังทำลายล้างของมันได้มากกว่าเดิมโดยอัตโนมัติ
ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นมองรอบๆ แต่หาเนเซียนไม่เจอแล้ว
ผู้ใช้พลังจิตระดับวีนาเกียร์และผู้ใช้พลังจิตขั้นสูงที่อยู่ในระดับล่างๆ แตกต่างกันจนน่ากลัว
นี่ไม่ใช่พลังที่อยู่กันคนละขั้น
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้น ยานรบสีทองขนาดยักษ์ด้านบนโปร่งใสด้วยความเร็วสูง ก่อนจะค่อยๆ หายไป คล้ายจะใช้การวาร์ปข้ามมิติหายไปจากที่เดิมในพริบตา
สองสามวินาทีสั้นๆ ต่อจากนั้น ยานรบสีทองก็หายไปโดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะศึกษาอะไรได้จากเลือดของเขาที่ถูกเอาไป
เลือดของเขามีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง แต่ก็มีขีดจำกัดของตัวเองเช่นกัน
นั่นก็คือจำนวนการแบ่งตัว หลังจากเซลล์เม็ดเลือดแยกออกจากร่างแล้ว จะแบ่งตัวได้ทั้งหมดหนึ่งพันครั้ง สำหรับเซลล์เม็ดเลือดแดงของเขาที่มีความเร็วในการแบ่งตัวสูง หนึ่งพันครั้งเป็นเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
หลังจากจำนวนการแบ่งตัวหมด เซลล์ก็จะตายลง แล้วโครงสร้างทั้งหมดจะถูกย่อยสลายกลายเป็นของเหลวอินทรีย์ระดับพื้นฐาน
‘ไอ้คนเมื่อกี้ไม่น่าเป็นตระกูลโฮรัส แต่น่าจะมีความเกี่ยวพันกับโฮรัส’ ลู่เซิ่งควบคุมร่างลงด้านล่างด้วยความเร็วสูง
บนพื้นเหลือแต่ซากปรักหักพัง
เมืองในตอนแรกมีมากกว่าครึ่งถูกทำลายไปในศึกใหญ่นี้
สิ่งที่ทำให้เขางงงวยที่สุดก็คือ บนพื้นยังมีร่างกำยำสองร่างกำลังต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว
เสียงตะโกนและเสียงสายฟ้าฟาดดังขึ้นท่ามกลางเสียงปะทะกันปานอัสนีบาตตลอดเวลา
เขาพิจารณาดู สองคนนั้นคืออันซาและไป๋อันอี้!
“บัดซบ!” ลู่เซิ่งโมโห พุ่งตัวลงทันที
อันซาผมชี้ตั้ง กระแสอากาศอนุภาคสีดำจากทั่วร่างไหลเวียนรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว กำลังจะปล่อยกระบวนท่ายิ่งใหญ่
กล้ามเนื้อของไป๋อันอี้ที่อยู่อีกด้านเปลี่ยนรูปและเคลื่อนไหวไปรวมตัวกันบนแขนสองข้าง แขนของเขาใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่ากว่าๆ กำลังรวมพลังยิ่งใหญ่ที่ยากอธิบาย
ขณะทั้งสองกำลังจะปล่อยกระบวนท่า พลันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดทิ่มแทงจากท้องฟ้า ต่างหนังศีรษะชาและเสียวสันหลังวาบพร้อมกัน
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งกระแทกพื้นระหว่างทั้งสองอย่างหนักหน่วงเหมือนอุกกาบาต
ฟู่ม!
ทั้งสองใช้มือป้องกันใบหน้าจากกรวดหินที่ถูกพายุพัดขึ้น
“อาจารย์!”
“อาจารย์!”
ทั้งสองเก็บพลังบนร่างพร้อมกัน ก่อนก้มหน้าทักทาย
ลู่เซิ่งลุกขึ้นจากหลุมลึกช้าๆ แล้วกวาดตามองทั้งสอง
“อาจารย์…”
“โง่งั่ง!”
ลู่เซิ่งโผล่ขึ้นด้านหน้าไป๋อันอี้เหมือนเคลื่อนย้ายในพริบตา ก่อนถีบใส่ยอดอกเขา
ไป๋อันอี้กระเด็นออกไปชนใส่ซากปรักหักพังด้านหลังอย่างหนักหน่วง
อันซาอ้าปากคิดจะพูดอะไรสักอย่าง ทันใดนั้นด้านหน้าก็พร่ามัว ยังไม่ทันรู้ตัว เขาก็เจ็บทรวงอก แรงหายวูบ ออกแรงไม่ได้
เขากระเด็นออกไปเหมือนถุงผ้าขาด แล้วพุ่งเข้าไปในซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยเหล็กเส้นซึ่งยื่นออกมา
ดีที่คนของโถงเก้าชีวิตขึ้นชื่อที่สุดเรื่องกายเนื้ออันแข็งแกร่ง เหล็กเส้นแหลมหลายสิบเส้นถูกเขากระแทกจนขาด
“ไป๋จวิ้นเฉิง” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ครับอาจารย์” ไป๋จวิ้นเฉิงเดินออกมาจากมุมด้านข้าง
เขามาถึงนานแล้ว น้องชายทะเลาะกับคนอื่น หากเขายังไม่รีบมา ย่อมไม่มีข้อแก้ตัว
เพียงแต่อันซาก็สัมผัสได้เหมือนกันว่าเขาอยู่ใกล้ๆ เลยไม่กล้าใช้พลังทั้งหมด ความจริงเขามีพลังเหนือกว่าไป๋อันอี้ไม่น้อยแล้ว ต่อให้เวลานี้เหมือนไป๋อันอี้จะเลื่อนระดับ แต่ก็ยังมีความแตกต่างอยู่ดี
ถ้าไม่ใช่ไป๋จวิ้นเฉิงลอบให้การช่วยเหลือ ไป๋อันอี้คงจะแพ้ในกระบวนท่าที่สามสิบแล้ว
“กวาดล้างคนของกลุ่มโจมตีหมดหรือยัง” ลู่เซิ่งถามเสียงทุ้ม
“กวาดล้างหมดแล้วครับ เชลยมีสองคน เป็นขุมกำลังใต้อาณัติของตระกูลโฮรัสทั้งคู่ ไม่ใช่สมาชิกตระกูล” ไป๋จวิ้นเฉิงเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ
“เธอเลื่อนระดับแล้วเหรอ” ลู่เซิ่งพลันงุนงง มองสภาพของไป๋จวิ้นเฉิงออก
ไป๋จวิ้นเฉิงยิ้มๆ พลางพยักหน้า
เขาทะลวงขีดจำกัดของวิชาต่อสู้แบกภาระสำเร็จแล้ว พูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้ไม่เหลืออะไรให้ยกระดับอีกแล้ว
ลู่เซิ่งรู้ว่าถึงเวลาที่ควรสอนวิชาเกลียวเก้าชีวิตให้พวกเขาสักที
วิชาเกลียวเก้าชีวิตแตกต่างจากวิชาต่อสู้แบกภาระตรงที่มันคือต้นทุนของโถงเก้าชีวิตตอนเอากายเนื้อปะทะกับชุดเกราะ
ถึงเวลานั้นต่อให้สวมชุดเกราะอัลลอยด์ ก็สามารถปะทะตรงๆ ได้
แต่วิชาเกลียวเก้าชีวิตใช้เวลามากกว่าวิชาต่อสู้แบกภาระมาก เรื่องนี้จึงจำเป็นต้องวางแผนอย่างละเอียด
“ฉันต้องการหัวผู้รับผิดชอบของตระกูลโฮรัสที่อยู่ในสามจังหวัดใกล้ๆ ภายในสามวัน” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงเย็น
“กองกำลังต่อต้านที่ดีที่สุดของพวกเขาถูกทำลายแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกที่ยังเหลืออยู่อีก”
……………………………………….