ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1041 เลื่อนระดับ (1)
เปรี้ยง!
ประตูไม้ถูกชนเปิด
ผู้ชายหลายคนที่กำลังซ่อนตัวอยู่ด้านในและปรึกษาอะไรสักอย่างรอบแผนที่ รีบลุกขึ้นคว้าปืน
ทันใดนั้นมือดีหลายคนของโถงเก้าชีวิตก็กรูกันเข้ามา ร่วมมือกับตำรวจควบคุมตัวคนด้านในไว้
ปืนเลเซอร์หลายกระบอกเล็งศีรษะของพวกเขาในพริบตา
“ห้ามขยับ! ยืนนิ่งๆ! แนบตัวติดกำแพงและยกมือขึ้น!”
เหล่าตำรวจตวาดเสียงเฉียบขาด
คนจากโถงเก้าชีวิตสวมใส่เครื่องแบบต่างจากตำรวจ ด้านหลังมีคำว่าเก้าตัวใหญ่
พวกเขาแต่ละคนล่ำสันยิ่งกว่าคนออกกำลังที่กินยาเสริมเป็นเวลานาน ตำรวจที่อยู่ข้างๆ ไม่ต่างอะไรกับถั่วงอกเมื่อเทียบกับพวกเขา
ชายหลายคนที่ถูกจับ โดนตำรวจสวมกุญแจมือเข้ากับท่อส่งความร้อนในห้องจนขยับเขยื้อนไม่ได้
ชายผมเกรียนจากโถงเก้าชีวิตคนหนึ่งเดินไปสุดห้อง แล้วก้มหยิบกล่องสีดำขนาดกระทัดรัดใบหนึ่งขึ้นจากมุมมุมหนึ่ง
เขาเปิดฝากล่องออก ของด้านในถูกคนเอาไปแล้ว
บนกล่องยังเหลือผงเล็กๆ
ชายผมเกรียนเอานิ้วแตะแล้วยกขึ้นมาดม
“เป็นธาตุโซลิดฟอสเฟส พวกเขาพูดถูกจริงๆ สัดส่วนระเบิดขนาดเล็กที่กลุ่มโฮรัสนิยมใช้ที่สุด เอาไปด้วย!”
เขาโบกมือ คนกลุ่มหนึ่งพลันถูกตำรวจและมือดีของโถงเก้าชีวิตพาตัวไป
ปัจจุบัน โถงเก้าชีวิตและตำรวจในจังหวัดอานุสแทบแยกแยะไม่ออกแล้วว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน
ในสถานีตำรวจมีคนไม่น้อยเข้าร่วมกับโถงเก้าชีวิต และในโถงเก้าชีวิตก็มีสมาชิกและเจ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจเป็นจำนวนมากเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ในเวลาสองสามวันนี้ เหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นในแต่ละเมืองสำคัญของจังหวัด อย่างไม่หยุดยั้งเช่นกัน
บุคลากรและฐานที่มั่นของโฮรัสถูกกวาดล้างอย่างรวดเร็ว สถานีสื่อสารบนดาวเคราะห์ได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากสหพันธ์ผู้ใช้พลังจิตติดต่อกันในเวลาสั้นๆ
ทางสหพันธ์ขอให้หน่วยดวงดาวประจำจักรวรรดิปราบปรามการกระทำความผิดและการท้าทายกฎหมายในจังหวัดอานุสอย่างเด็ดขาด
แต่พอหน่วยป้องกันดวงดาวเอ็กตราส์แห่งจักรวรรดิ หน่วยอำนาจหลักของสาขาดวงดาว ส่งคำสั่งติดต่อกันมา กลับถูกจังหวัดอานุสตีกลับไป
หน่วยป้องกันดาวส่งทีมหุ่นยนต์ผสมขนาดเล็กที่มีมากกว่าร้อยคนจากไปอย่างเป็นทางการด้วยความโมโห
ในนี้มีผู้ใช้พลังจิตราวสี่คน
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ทีมผสมนี้เจอการโจมตีจากบุคคลนิรนามระหว่างเส้นทางการบินไปยังจังหวัดอานุส บาดเจ็บล้มตายสาหัส มีแค่ผู้ใช้พลังจิตคนหนึ่งหนีรอดมาได้เพราะตกอยู่ท้ายแถว
จังหวัดอานุสประกาศอย่างเปิดเผยว่า ผู้ที่ทำการลอบโจมตีในครั้งนี้คือองค์กรน่ากลัวที่มีชื่อว่าชาก้า
หน่วยป้องกันสั่งให้ผู้ว่าประจำจังหวัด เบตตี้ เซียร์ รีบส่งทีมป้องกันหลักไปตรวจสอบความจริงของคดีลอบโจมตี
ในขณะเดียวกัน ทีมสนับสนุนสามทีมที่อยู่ในจังหวัดใกล้ๆ อานุสก็บุกเข้าอานุสพร้อมกัน
มอเกอร์ แอนเดส กำลังหนุนของตระกูลโฮรัส นายพลแห่งฝ่ายป้องกันประจำดวงดาว นำกลุ่มมุ่งหน้าไปยังอานุสด้วยตัวเอง
สุดท้ายจังหวัดอานุสก็ใช้หัวของผู้รับผิดชอบประจำฐานที่มั่นของตระกูลโฮรัสในหลายจังหวัด หยุดยั้งการบุกของโฮรัส
ลู่เซิ่งเป็นตัวแทนโถงเก้าชีวิตเข้าพบผู้ว่าเบตตี้ เซียร์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดประจำจังหวัด และได้บอกว่าจะสนับสนุนการปฏิบัติการต่างๆ ในการตรวจสอบคดีลอบโจมตีของจังหวัดอย่างสุดกำลัง
ในวันที่ 5 เดือน พฤศจิกายน จังหวัดจัดการแถลงข่าว และเชิญนักข่าวจากสื่อบันเทิงต่างๆ หลายสิบคนมาให้สัมภาษณ์
จอภาพและจอโปรเจ็คชั่นขนาดใหญ่หลายจอ พากันแสดงภาพสถานที่สำคัญของทั้งจังหวัด
ห้างสรรพสินค้า รถไฟใต้ดิน สนามบิน ถนนทางแยก สถานีรอรถประจำทาง สถานที่ที่มีคนมากที่สุดถูกฉายขึ้นบนจอภาพชั่วคราวซึ่งมีอยู่มากมาย
เบตตี้ เซียร์ อายุเกือบเจ็ดสิบแล้ว ในขณะที่รับตำแหน่งผู้ว่าประจำจังหวัด ยังรับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยป้องกันประจำจังหวัด เป็นบุคคลที่มีอำนาจทางการทหารและในรัฐบาลตัวจริงเสียงจริง
ใบหน้าของเธอปรากฏขึ้นกลางจอภาพนับไม่ถ้วน ใบหน้าที่เหี่ยวย่นและเต็มไปด้วยร่องรอย แสดงความสงบนิ่งและจริงจัง
“พวกเราขอแสงความเห็นใจและเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อคดีที่ทีมตรวจสอบของหน่วยป้องกันหลักถูกลอบโจมตีระหว่างทาง แม้ว่าคดีจะเกิดขึ้นบนรอยต่อระหว่างสองจังหวัด ไม่ได้เข้ามาในชายแดนจังหวัดอานุสของเรา แต่เพราะความถูกต้อง พวกเราได้ส่งความเห็นอกเห็นใจและเงินปลอบขวัญระดับหนึ่งให้ผู้เสียหายแล้ว ขณะเดียวกัน หน่วยป้องกันประจำจังหวัดของพวกเรายังได้ตั้งกลุ่มเฉพาะกิจขึ้นเพื่อสร้างแบบจำลองคดีนี้ขึ้นมาใหม่ และได้เรียกผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาศาสตร์รวมถึงศาสตร์สะกดรอยจำนวนหลายสิบคนมาร่วมมือกันวางมาตรการแล้ว เราต้องรีบไขคดีนี้ให้เร็วที่สุด ขณะเดียวกัน ขอให้ประชาชนทุกคนวางใจ พวกเราได้ขอให้บริษัทรักษาความปลอดภัยโถงเก้าชีวิตยูเนียน ซึ่งเป็นบริษัทความปลอดภัยเอกชนที่มีชื่อเสียง ร่วมมือกันตรวจสอบคดีนี้แล้ว”
ฉากเปลี่ยนไป กล้องหันไปจับอีกด้านหนึ่ง ชายร่างกำยำใบหน้าเคร่งขรึมที่สวมสูทและรองเท้าหนังคนหนึ่งยืนกล่าวเสียงทุ้มต่ำอยู่บนแท่นสีขาว
“สำหรับการโจมตีอันแสนชั่วร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ บริษัทรักษาความปลอดภัยโถงเก้าชีวิตยูเนียนของพวกเรา ได้ตั้งฝ่ายตรวจสอบขึ้นมาแล้ว พวกเราจะให้การร่วมมือกับทางตำรวจเพื่อจับคนร้ายอย่างสุดกำลัง รวมถึงปกป้องความสงบสุขในชีวิตประจำให้แก่พี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด ในขณะเดียวกัน พวกเราโถงเก้าชีวิตก็กำลังร่วมมือกับทางตำรวจในการรับมือเรื่องการปะทะกันอย่างรุนแรงของกองกำลังปริศนาที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนนี้ได้ขับไล่กองกำลังปริศนาออกไปนอกชายแดนแล้ว และกำลังร่วมมือกับหน่วยป้องกันในการดำเนินการจัดระเบียบและบูรณะเมืองขึ้นใหม่…”
ในห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาล
หวังเฉิงถอนหายใจ พลางเลื่อนสายตาจากหน้าจอมาอยู่บนร่างน้องสาวหวังจื่ออวิ๋นที่สลบไสลอยู่บนเตียงผู้ป่วย
เขาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน แต่กลับเกิดเรื่องน่ากลัวแบบนี้ขึ้น
น้องสาวนั่งอยู่บนม้านั่งของสถานีรอรถประจำทางเฉยๆ แต่ก็ยังโชคร้ายได้
ก๊อกๆๆ
ประตูถูกเคาะ จากนั้นก็เปิดออกช้าๆ
แพทย์ที่สวมเสื้อกาวน์สีขาวคนหนึ่ง พาชายร่างบึกบึนที่สวมแว่นกันแดดคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วย หลังจากกำชับสองสามประโยคก็เดินออกไป
“เป็นยังไงบ้าง” ผู้มาก็คือลู่เซิ่งที่มาจากศูนย์ใหญ่โถงเก้าชีวิต
ลุงใหญ่ดีกับเขามาก เรื่องใหญ่แบบนี้ เขาย่อมทำเป็นไม่เห็นไม่ได้
หวังเฉิงหัวเราะอย่างฝืดเฝือ
“ถึงจะโดนชน แต่ก็ยังโชคดีอยู่ เมือวานเพิ่งพ้นวิกฤติ ตอนนี้จำเป็นต้องพักรักษาตัว วันหน้าอาจจะมีโรคตกค้าง ภายหลังต้องทำกายภาพ…แน่นอนว่า แค่ไม่ตายก็โชคดีสุดๆ แล้ว”
ลู่เซิ่งพิจารณาลูกผู้น้องคนนี้ มองออกว่าเขาตาบวมอยู่บ้าง แสดงให้เห็นว่าร้องไห้ไปหลายครั้งแล้ว
ด้านข้างไม่มีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานอยู่ด้วย
“ลุงใหญ่กับป้าล่ะ” เขาถามเบาๆ ขณะมองหวังจื่ออวิ๋นที่อยู่บนเตียง
“อดหลับอดนอนมาหลายวันจนทนไม่ไหวแล้วน่ะสิ พอพ้นขีดอันตราย ฉันก็บอกให้พวกเขากลับไปพักผ่อนก่อน” หวังเฉิงส่ายหน้า
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปเปิดผ้าห่มเบาๆ พร้อมมองแขนที่ถูกเข้าเฝือกของหวังจื่ออวิ๋น
แขนพันผ้าพันแผลไว้นับไม่ถ้วน เขายื่นมือไปแตะข้อมือหวังจื่ออวิ๋นเบาๆ พลางสัมผัสอยางละเอียด
สภาพด้านในร่างกายของหวังจื่ออวิ๋นปรากฏขึ้นในสมองของเขา
เขาแอบไปช่วยชีวิตหวังจื่ออวิ๋นในทันทีที่เกิดเรื่อง และลากเธอกลับมาจากประตูผีได้ทัน
ตอนนี้ หลังจากผ่านการรักษาอย่างลับๆ หลายครั้ง จึงค่อยทำให้สภาพของหวังจื่ออวิ๋นอยู่ตัว แต่รักษารอยแผลเป็นไม่ได้
“ช่วงนี้ทางบ้านยังไหวไหม” ลู่เซิ่งถาม
หวังเฉิงรู้ว่าเขาถามเรื่องอะไร
“เงินมีพอ พ่อสะสมไว้เยอะ เรื่องนี้ไม่หนักหนาอะไร ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังเก็บเงินไว้ไม่น้อย ไม่ต้องห่วง”
“แล้ว…จริงสิ น้องสะใภ้ล่ะ” ลู่เซิ่งถามเสียงเบา
“…” หวังเฉิงไม่ตอบ เพียงฝืนยิ้ม
ลู่เซิ่งพอจะเดาออกว่าเป็นเรื่องอะไร จึงเดินเข้าไปตบไหล่หวังเฉิงแล้วไม่พูดอะไรอีก
อยู่ในห้องผู้ป่วยสักพัก เขาก็วางผลไม้และของบำรุงที่เอามาด้วยลง ก่อนแอบออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
เดินออกจากโรงพยาบาล ลู่เซิ่งถอนใจเฮือกหนึ่ง
ตระกูลโฮรัสเด็ดขาดแน่วแน่ ลงมือสุดกำลังตั้งแต่เริ่ม เล่นงานครอบครัวของเขาทันที วิธีการเรียกได้ว่าไร้ความเกรงกลัว
‘ชีวิตที่สี่ปรับปรุงเสร็จแล้ว ฟื้นฟูและสั่งสมมาเป็นเวลานาน ดูเหมือนจะถึงเวลาพัฒนาขั้นต่อไปสักที’
การปรับปรุงเลือดของเขาได้พัฒนาร่างกายให้กลายเป็นแม่เหล็กแรงสูงอันน่าอัศจรรย์ที่ควบคุมพลังงานแต่ละชนิดอย่างใจนึกได้แล้ว
ชีวิตที่สี่ของวิชาเกลียวเก้าชีวิตทำให้มนุษย์หลุดจากขอบเขตชีวิตธรรมดา และเข้าสู่สภาพชีวิตเหนือธรรมดา
คุณลักษณะต้านทานต่อความเสียหายต่างๆ ที่แข็งแกร่งอันน่ากลัว สามารถส่งผลกระทบและควบคุมสภาพสสารอนินทรีย์มีพลังงานสูงส่วนใหญ่ได้
ความสามารถฟื้นฟูอันน่ากลัว พละกำลังและความเร็วที่แข็งแกร่ง รวมถึงผิวหนังและกล้ามเนื้อที่ทนทานจนต้องใช้ปืนใหญ่ระหว่างดาวเท่านั้นถึงจะเจาะได้
และถ้าเข้าสู่ชีวิตที่ห้า ปรับปรุงโครงกระดูกได้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ชนิดพลิกฟ้าพลิกดิน
กริ๊งๆๆ…
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ลู่เซิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
เป็นศิษย์ของเขาหงซื่อ
“อาจารย์” หงซื่อฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์แล้ว
“จำนวนคนของทีมพันธมิตรสามจังหวัดในครั้งนี้มีไม่น้อยเลย พวกเราจะยังลงมือไหมคะ”
ลู่เซิ่งนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่ต้อง ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าพวกเราลงมืออีก จะเท่ากับยืนในที่แจ้งแล้ว นี่ขัดกับแผนการของเราก่อนหน้า”
“นอกจากนี้ ทางเจิ้งฮวนน่ะ แจ้งให้เขาลงมือได้เลย”
หงซื่องุนงง จากนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี ทางเจิ้งฮวนคือฝ่ายทูตกุมชีวิตซึ่งลึกลับที่สุดในโถงเก้าชีวิต
ในนั้นมีแต่ผู้ใช้พลังจิตที่โถงเก้าชีวิตรวบรวมมาเล่นงานตระกูลโฮรัสโดยเฉพาะ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือผู้ใช้พลังจิตเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนเสริมความแข็งแกร่งจากตัวลู่เซิ่งเอง แม้พวกเขาจะได้แต่ฝึกฝนวิชาต่อสู้แบกภาระขั้นพื้นฐานสุดเท่านั้น แต่เมื่อประสานเข้ากับพลังจิต อานุภาพจะยิ่งใหญ่จนน่าเหลือเชื่อทีเดียว
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะแจ้งศิษย์พี่เจิ้งฮวนทันที”
ในโถงเก้าชีวิต การเปลี่ยนแปลงของคำเรียกจะขึ้นอยู่กับพลัง ใครมีพลังแข็งแกร่งกว่า ก็จะถูกทุกคนยกย่องเป็นศิษย์พี่
“ตกลงตามนี้ ครั้งนี้คนของโฮรัสจะมาพร้อมกับทีมพันธมิตรสามจังหวัด ฉันจำเป็นต้องฝึกฝนระยะหนึ่งพอดี ภารกิจประจำวันอย่างเป็นรูปธรรมขอมอบให้เธอ จวิ้นเฉิง และอันซาก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งสั่ง
“วางใจได้เลยค่ะ” หงซื่อตอบอย่างนอบน้อม
ครั้งก่อนยังไม่ทันเริ่มสู้กับลู่เซิ่งอย่างเป็นทางการ เธอก็ถูกคนอื่นคว่ำเสียก่อน ต่อมาคนที่คว่ำเธอ ก็พ่ายแพ้ต่อลู่เซิ่งอย่างง่ายดายเหมือนกับลูกไก่ ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่นี้ทำให้หงซื่อได้สติอีกครั้ง
วางสายเสร็จ ลู่เซิ่งก็เก็บโทรศัพท์ แล้วสาวเท้าเดินไปยังตึกที่ซื้อใหม่
เพียงแต่บนทางเดินอีกด้านหนึ่งมีชายชราผมขาวสวมแว่นตาคนหนึ่งเดินมาพอดี
ชายชราสวมเสื้อสเวตเตอร์ถักด้วยมือสีเทาซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่งตัวปราณีต ด้านข้างเขามีเด็กผู้หญิงสองคน คนหนึ่งตัวใหญ่ คนหนึ่งตัวเล็ก
คนโตอายุสิบห้าสิบหก คนเล็กอายุหกเจ็ดขวบ ทั้งคู่สวมกระโปรงสั้นมีจีบสีขาว สวมถุงน่องสีขาวและรองเท้าหนังสีดำ ขับเน้นผิวให้ขาวผ่องเป็นยองใย
พอเห็นลู่เซิ่ง ชายชราก็ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ดวงตาฉายแววสงสัย สายตาเลื่อนไปมาบนใบหน้าลู่เซิ่งหลายครั้ง
ลู่เซิ่งก็สัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยเล็กๆ ได้จากตัวอีกฝ่ายเช่นกัน แต่เขาไม่สนใจ ทราบว่านี่น่าจะเกิดจากความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ของหวังมู่ เขามาที่นี่เพื่อตามหาลูกชาย เรื่องอื่นๆ ไม่สำคัญ
……………………………………….