ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1042 เลื่อนระดับ (2)
ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้า ทั้งสองเดินเฉียดไหล่กัน พอเลี้ยวเข้ามุมโค้ง สายตาประหลาดด้านหลังค่อยหายไป
เร่งความเร็วเดินไปตามถนน ลู่เซิ่งไปถึงใต้ตึกที่ตัวเองซื้อใหม่อย่างรวดเร็ว
เขาหยิบบัตรออกมารูด เปิดประตู ก่อนเดินเข้าไป แล้วขึ้นบันไดไปชั้นบน
‘ดีปบลู’ ลู่เซิ่งคิดในใจ
อินเตอร์เฟซสีฟ้าเด้งออกมาในสายตาของเขา ด้านบนแสดงตัวเลขพลังอาวรณ์ที่เหลืออยู่
‘พลังอาวรณ์: 500,064,810,000’
ตัวเลขเล็กๆ พวกนี้คือจำนวนรวมของพลังอาวรณ์ที่เขาสะสมได้จากเหมืองหินกิเลนมาเป็นเวลานาน
‘ตอนแรกนึกว่าจะพอแล้ว แต่ระดับวีนาเกียร์คนก่อนหน้านี้ทำให้มองเห็นว่า ค่าพลังส่วนตัวของโลกใบนี้สูงถึงขีดสุ ดจริงๆ หากคิดจะตั้งหลักเร็วๆ พลังเมื่อก่อนหน้าไม่พอใช้อีกแล้ว’
ลู่เซิ่งเข้าใจดีว่า ถ้าผู้ใช้พลังจิตระดับวีนาเกียร์เมื่อก่อนหน้านี้มาสองคน ตนอาจจะเสียท่าตอนนั้นก็ได้
‘เวลาไม่คอยเราแล้ว…’ ลู่เซิ่งถอนใจยาวขณะเงยหน้ามองท้องฟ้าสีคราม
ตรงขอบฟ้ามียานส่วนตัวหลายลำบินผ่านเป็นระยะ
“พ่อหนุ่ม กำลังรำคาญใจอยู่เหรอ” เสียงชราที่บรรยายไม่ถูกดังขึ้นด้านหลังลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ หันไป
ชายชราหัวล้านที่เหมือนกับมาเดินเล่นหลังมื้ออาหารคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขา
ชายชราสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีแดง ใส่สร้อยไข่มุกทำจากไม้สีแดงไว้รอบข้อมือเหมือนกับลูกประคำ ยืนอยู่บน บันได เหมือนจะเป็นผู้อยู่อาศัยที่อยู่ที่นี่
“คุณตามองออกได้ยังไงว่าผมกำลังรำคาญใจอยู่” ลู่เซิ่งถามเรียบๆ
“หน้าเธอบอกชัดออกขนาดนั้น” ชายชราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีฝีมือสูสีกับเจ้าสัตว์ประหลาดน้อยเนเซียน ถึงขั้นบังคับใ ให้เจ้านั่นถอยกลับได้ ต้องยอมรับจริงๆ ว่าพ่อหนุ่มมีศักยภาพที่ไม่อาจดูแคลน”
“เนเซียนหรือ”
“สนใจมาคุยกันสักหน่อยไหม” ชายชรามองลู่เซิ่งพร้อมยิ้มอย่างลึกลับ
…
ครู่ต่อมา
ในคาเฟ่แห่งหนึ่งของเขตเมืองอันหมิง
ลู่เซิ่งและชายชราหันหน้าเข้าหากัน นอกจากคนสองคนแล้ว ในคาเฟ่เหลือบริกรที่เกียจคร้านสองคนพิงประตูอยู่เฉยๆ เหมือนกับงีบหลับอยู่
ชายชราสั่งของเหลวเหนียวขุ่นสีเหลืองเข้ม มันวางอยู่ด้านหน้าเขา กำลังส่งกลิ่นสดชื่นจางๆ ที่อธิบายไม่ถูก
ลู่เซิ่งเพียงแค่สั่งน้ำเกลืออ่อนๆ มาล้างปาก
“ว่ามา คุณตามาหาผม ตั้งใจจะทำอะไร” ลู่เซิ่งไม่มีเวลามาเล่นลิ้นกับคนคนนี้ เมื่อมาถึงขอบเขตของเขา คนที่เข้าใ ใกล้ด้านหลังเขาได้อย่างไร้สุ้มเสียงจะต้องไม่ใช่ชนชั้นไร้ชื่อแน่
“พ่อหนุ่ม ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอกน่า” ชายชรายกแก้วขึ้นด้วยรอยยิ้มพร้อมกับจิบเบาๆ “ความจริงเธอโชคไม่ค่อย ยดีเลยนะ ไปชนใส่ปากกระบอกปืนเข้าพอดี ที่เนเซียนแห่งเขตสงครามที่เก้ามาลาดตระเวน ความจริงก็เพื่อตรวจสอบที่อย ยู่ของบุคคลสำคัญคนหนึ่งในแสงดาวสีคราม”
“แสงดาวสีคราม” ลู่เซิ่งไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่มุ่งมั่นจะทำลายรัฐบาลของจักรวรรดิ และวางแผนแบ่งระดับชั้นขุนนางใหม่” ชายชราเอ่ยเสียงราบ บเรียบ “เธอไม่รู้สึกเลยเหรอว่า ชนชั้นล่างของจักรวรรดิในตอนนี้มองไม่เห็นความหวังที่จะได้เติบโตใดๆ ชนชั้นถูกกำ ำหนดไว้แล้ว ไม่มีความหวัง และไม่มีเส้นทางเติบโต ชนชั้นล่างจะเป็นได้แต่ชนชั้นล่างตลอดกาล...ส่วนชนชั้นปกครอง ก็ จะเป็นแค่ขุนนางตลอดไป”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม” ลู่เซิ่งถามกลับ
‘…’ ชายชราสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ใช้สายตาผ่อนคลายจ้องมองลู่เซิ่ง “เธออาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่เธอยอมรับเหรอ ไม่ เ เธอไม่ยอมรับ…เธอมีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาก่อน เธอมีความสามารถด้านการต่อสู้ที่ไม่มีใครเทียบได้ ทำไ ไมขุนนางของจักรวรรดิที่สูงส่งและเน่าเฟะพวกนั้นถึงสามารถกดหัวเธอไว้ตลอดชีวิตได้กัน เธอเพียรพยายามมาตลอดชีวิต บ บางทีอาจเทียบกับค่าใช้จ่ายที่พวกมันใช้ซื้อกับข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำ เธอยินยอมเหรอ”
“คุณอยากบอกอะไร” ลู่เซิ่งถามพลางขมวดคิ้ว
“เธอพัฒนาองค์กรที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งปี ฉันว่า เธอไม่ใช่คนที่ยอมติดอยู่กับสภาพปัจจุบันเ เด็ดขาด ดังนั้น พวกเราจึงมาเชิญเธอเข้าร่วมกับพวกเรา” ชายชรายิ้มอีกครั้ง ความน้อยเนื้อต่ำใจก่อนหน้าเหมือนกับเป็น เพียงภาพหลอนชั่วขณะ
“พวกคุณเป็นใคร” ลู่เซิ่งถามกลับ “จะให้อะไรผมได้”
เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะสู้จนตัวตายเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคของคนอื่น หากไม่เห็นผลประโยชน์ที่จับต้องได้ ก็อย่าคิดจะ ะให้เขาร่วมมือด้วยเลย
“พวกเรา คือแสงดาวสีคราม” ชายชราตอบยิ้มๆ “ตอนแรกสุด พวกเราคือทูตสั่งการส่วนหนึ่งที่แตกแยกออกมาจากสหพันธ์ผู ใช้พลังจิต พวกเราได้สร้างองค์กรต่อต้านที่มีชื่อเสียงอย่างแสงดาวสีครามขึ้นมาเพราะไม่พอใจต่อการกดขี่ของขุนน นาง”
เขายกแก้วขึ้นดื่มคำหนึ่ง
“ต่อมาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขึ้น องค์กรของพวกเราถูกมองเป็นองค์กรก่อการร้าย และโดนตามล่าไปด้วย แต่…”
“เข้าประเด็นสักที!” ลู่เซิ่งเหลืออดอยู่บ้าง
มันก็องค์กรก่อการร้ายไม่ใช่เหรอไง พูดอะไรตั้งมากมาย ใครจะอดทนมาฟังคุณพล่ามกัน ถ้าพล่ามอีกผมจะฆ่าคุณซะ!
ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาเล่นเกมทายปริศนากับใคร
“ก็ได้ๆ…” ชายชราพยักหน้าอย่างจนปัญญา การถูกตัดบทขณะกำลังพูดอย่างเพลิดเพลินเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีนัก
“พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเราจะช่วยเธอหักล้างผลกระทบเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ได้ แต่เธอก็ต้องช่วยพวกเราคุ้ม มครองและบ่มเพาะสมาชิกองค์กรบางส่วนในระดับหนึ่งด้วย การแลกเปลี่ยนนี้ เธอจะรับไหม”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งกำลังเป็นกังวลอยู่เลยว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาให้การช่วยเหลือถึงที่
“พวกคุณแก้ไขได้ถึงระดับไหนล่ะ” เขาสงสัยเล็กน้อย
“เหมือนทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ชายชราตอบด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งนิ่งไป หัวสมองคำนวณผลดีผลเสียด้วยความรวดเร็ว
คนคนนี้โผล่มาอย่างไม่มีสาเหตุ ทั้งยังพูดแทงใจดำเขาอีก
แสดงให้เห็นชัดมากว่า ถ้าพวกเขาเป็นองค์กรหนึ่งจริงๆ อย่างนั้นความสามารถด้านข่าวสารและพลังส่วนบุคคลของพวกเขาก็ ล้วนไม่อาจมองข้ามได้
หากจะจัดการเรื่องราวในตอนนี้ ไม่แน่ว่าจะทำได้จริงๆ
“ฝึกคนจำนวนเท่าไหร่ แล้วทำถึงขนาดไหน” ลู่เซิ่งถามอีก
“ราวหนึ่งร้อยคน ต้องฝึกจนมีความแข็งแกร่งทางร่างกายเท่าสมาชิกรอบนอกในสังกัดของเธอ” ชายชราร้องขอ
“ถ้าพวกพวกคุณจัดการได้จริงๆ อย่างนั้น ตกลง!” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ได้! ตรงไปตรงมาดี” ฝ่ามือผอมแห้งเหมือนฟืนของชายชรากดลงบนโต๊ะ บนโต๊ะมีการ์ดสามเหลี่ยมสีดำโผล่มา
“อีกไม่นานสภาพการณ์จะถูกทำให้สงบลง หลังจากนั้น จะมีคนที่ถือการ์ดสามเหลี่ยมมาติดต่อกับเธอ” เขายิ้มอย่างลึกลับ บ
“หวังว่าคุณจะไม่หลอกผม ไม่อย่างนั้นผมยินดีจะหักคอทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณ” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงอึมครึม
“อย่าทำอย่างนั้นเลย ฉันรับคำขู่ไม่ไหวหรอกนะ อายุมากแล้ว ไม่เหมือนพวกหนุ่มๆ” ชายชราเบือนหน้าไปมองนอกหน้าต่ าง
“ชีวิตที่ดีจริงๆ นะ สงบสุข สันติ เกียจคร้าน เธอก็คิดแบบนี้ใช่ไหม” เขายิ้มพลางหันกลับมามองลู่เซิ่ง
จากนั้นตัวเขาก็ค่อยๆ จางหายไป เหมือนกับไม่เคยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมาก่อน
ลู่เซิ่งมองเห็นกาแฟที่อยู่ตรงหน้าเย็นลงอย่างรวดเร็ว ไอร้อนตรงนั้นเหมือนกับถูกเร่งความเร็วขึ้นให้ผ่านไปหลายเ เท่าตัว วินาทีก่อนยังมีไอร้อนลอยกรุ่น วินาทีถัดมากลับเย็นลงเสียแล้ว
ตัวเขาเหมือนอยู่ในสภาพหยุดนิ่งอันไม่อาจบรรยาย
“ตา…เฒ่า…” กล้ามเนื้อทั่วร่างเขากระตุกอย่างรุนแรง พลังที่เหมือนภูเขาไฟในตัวกระแทกพลังจากโลกภายนอกที่ตร รึงตัวเขาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ลู่เซิ่งที่เชี่ยวชาญการควบคุมประสาทสัมผัสเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายทำอะไรลงไป
อีกฝ่ายควบคุมสัมผัสของเขา!
ทำให้เขารู้สึกว่าเวลาไหลเร็วขึ้น เวลาหลายชั่วโมง แค่ผ่านไปเพียงสักพักในจิตสำนึกของเขาเท่านั้น
แกร๊ก
ทันใดนั้น ด้านหน้าลู่เซิ่งก็พร่ามัว เหมือนเขาจะหลุดจากมิติที่ปิดผนึกแล้ว
เขาที่นั่งบนที่นั่งมองที่นั่งฝั่งตรงข้ามอีกรอบ ฟ้ามืดแล้ว อีกฝั่งไม่เหลือใครอยู่อีก ตาเฒ่าคนนั้นไปตั้งแต่เ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
‘น่าสนใจ…’ ลู่เซิ่งโงนเงนลุกขึ้น
‘ขอบเขตที่ชีวิตที่สี่ สัมผัสไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายลงมือตอนนั้น ทูตสั่งการสมกับเป็นระดับดาวมรณะ ได้เปิดหูเ เปิดตาแล้วจริงๆ’
เขาก้มมองโต๊ะเป็นครั้งสุดท้าย ตรงนั้นมีธนบัตรใหม่เอี่ยมวางอยู่ปึกหนึ่ง
ลู่เซิ่งหยิบธนบัตรขึ้นมาดม
‘ไปเกินสี่ชั่วโมงแล้ว..เราโดนผลกระทบทางเวลาสี่ชั่วโมงเลยเหรอ’
เขาวางเงินลง ผละจากที่นั่ง แล้วสาวเท้าเดินไปยังนอกประตูคาเฟ่
เขาจะต้องกลับไปเลื่อนระดับชีวิตที่ห้าแล้ว พลังอาวรณ์ที่สั่งสมไว้น่าจะเพียงพอ หนำซ้ำในโลกระดับพลังงานสุดยอด ดแบบนี้ อาศัยเขาคนเดียว เกรงว่าจะบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้ยาก
เขาต้องการเวลาเติบโตที่มากพอ ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น โถงเก้าชีวิตก็เช่นกัน
ลู่เซิ่งกลับถึงห้องอย่างรวดเร็ว ปิดประตู ลากม่านปิด แล้วแจ้งโถงเก้าชีวิตให้จัดวางกองกำลังป้องกันบริเวณรอบๆ
เขาถอดเสื้อผ้าออก พร้อมย้ายอาหารเหลวและอาหารอัดแท่งไปไว้ตรงมุมห้องรับแขก
จากนั้นก็นั่งลงตรงกลางห้องรับแขก
‘ดีปบลู’
เครื่องมือปรับเปลี่ยนเด้งออกมา กรอบด้านบนระบุอย่างชัดเจนว่า
[วิชาเกลียวเก้าชีวิต: ชีวิตที่สี่ (คุณสมบัติพิเศษ: ผิวแข็งแกร่งขึ้น, พลังกล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น, ต่อมไร้ท่อท ทำงานดีขึ้น, เลือดกลายพันธุ์)]
‘ชีวิตที่สี่ผลาญพลังอาวรณ์ไปหลายสิบล้านหน่วย ครั้งนี้เราเตรียมพลังอาวรณ์ไว้ห้าร้อยหกสิบล้านหน่วย น่าจะพอแ แล้ว’
ลู่เซิ่งสั่งความคิดให้กดลงบนปุ่มปรับเปลี่ยน
อินเตอร์เฟซดีปบลูพร่ามัวชั่วขณะ ก่อนจะชัดขึ้นอย่างรวดเร็ว
‘ยกระดับวิชาเกลียวเก้าชีวิตถึงระดับห้า’ เขานึกในใจ
ร่างกายสงบราบเรียบ ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ
ลู่เซิ่งรออีกสักพัก แต่ผ่านไปเกือบห้านาที ดีปบลูกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย
สีหน้าเขาค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้น
เขาเพิ่งเคยเจอสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ได้ดีปบลูมา ความสามารถนี้ก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังสักครั้ง
‘เกิดอะไรขึ้น…’
อั่ก!
ทันใดนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมา
ละอองเลือดสีแดงกลายเป็นร่างคนพร่ามัวร่างหนึ่งกลางอากาศอย่างแปลกประหลาด ร่างนั้นมีหน้าตา มีมือมีเท้า เหมือนกับ ลู่เซิ่งในรูปแบบที่หดร่าง เพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่าง พวกมันก็พุ่งออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะหายไปในชั่วพริบตา
ลู่เซิ่งตกใจ ขณะจะสัมผัสตำแหน่งร่างมนุษย์หมอกเลือดนั่นเอง
เสียงดังกึกก้องปานฟ้าร้องก็ดังขึ้นข้างหูเขาอย่างฉับพลัน
พลังอาวรณ์อันมหาศาลที่บีบอัดจนไม่อาจบรรยายได้ ระเบิดขึ้นกลางทรวงอก
เขาพ่นละอองเลือดออกมาอีกหลายรอบ ละอองเลือดกลายเป็นร่างมนุษย์หลายร่าง พวกมันบินออกจากหน้าต่างแล้วหายไปจาก กคลองจักษุ