ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1043 กระแสคลื่น (1)
มนุษย์หมอกเลือดเพิ่งบินออกมา พลังอาวรณ์นับไม่ถ้วนก็ทะลักไหลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหลอมรวมเข้าไปในโครงกระดูกของลู่เซิ่งในสองสามวินาทีสั้นๆ
ในขณะเดียวกัน กรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนในสายตาของเขาก็แสดงเนื้อหาใหม่
[วิชาเกลียวเก้าชีวิต: ชีวิตที่ห้า (คุณสมบัติพิเศษ: ผิวแข็งแกร่งขึ้น, พลังกล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น, ต่อมไร้ท่อทำงานดีขึ้น, เลือดกลายพันธุ์, กระดูกแยกจากเลือด)]
อย่างอื่นเป็นเหมือนเดิม มีเพียงกระดูกแยกจากเลือดที่โผล่มาตอนสุดท้าย
ลู่เซิ่งสัมผัสอย่างละเอียดโดยกวาดจิตไปในตัวรอบหนึ่ง กลับค้นพบอย่างตื่นตระหนกว่า ไขกระดูกของเขาในตอนนี้กำลังดิ้นรนออกมาด้านนอกเหมือนกับสิ่งมีชีวิต
เขาเคยเห็นเผ่าพันธุ์และพลังงานที่แปลกประหลาดมามาก แม้เขาจะตกใจ แต่ก็ไม่สับสน
พอเขาผลักดันจิตไปตามเส้นเลือดอย่างมีสติ ก็พลันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
‘จิตมาร...อย่างนั้นเหรอ’
เหล่ามนุษย์หมอกเลือดเมื่อครู่เกิดจากความคิดในจิตใจของเขาเอง เป็นมารในหมู่มารที่อยู่ในจิตของเขาอีกที หรือควรบอกว่า เป็นจิตมารของหวังมู่
มนุษย์หมอกเลือดพวกนั้นเป็นศึกจิตมารที่ร่างกายร่างนี้ของเขาต้องเผชิญหลังจากบรรลุถึงขอบเขตนี้ มีแต่ต้องชนะมนุษย์หมอกเลือดพวกนี้ให้ได้ เขาถึงจะสำเร็จชีวิตที่ห้า
สิ่งที่ลำบากที่สุดก็คือ มนุษย์หมอกเลือดพวกนี้มีขอบเขตและประสบการณ์การต่อสู้เหมือนกับเขาไม่ผิดเพี้ยน ถึงขั้นที่พรสวรรค์ คุณลักษณ์พิเศษ ล้วนไม่ต่างกัน
หากจัดการไม่ทันเวลา ปล่อยให้พวกมันเติบโต ก็จะเกิดเพทภัยไม่จบสิ้น
‘จิตมาร...ครั้งนี้แย่แล้ว…ถ้าจัดการไม่ทัน ก็จะกลายเป็นคู่ต่อสู้หลายคนที่เหมือนกับตัวเองอย่างสมบูรณ์’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมุ่น
‘นึกไม่ถึงว่าตัวเราจะมีจิตมารเหมือนชาวบ้านเขาด้วย…’
เขาค่อยๆ ยืดตัวขึ้น ร่างกายอ่อนแออย่างมาก หมอกเลือดเมื่อครู่มีไขกระดูกของเขาแทรกอยู่เกือบหมด ครั้งนี้ถูกพ่นออกมา หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาคงใกล้ตายแล้ว
‘ดูเหมือนต้องให้ร่างหลักลงมือจัดการเรื่องนี้แล้ว…’ เขาเริ่มปรับร่างกาย เพื่อให้พลังงานของร่างหลักกระจายออกมาดำเนินการปรับเปลี่ยนเล็กๆ ด้านในร่างกายร่างนี้
ขณะเดียวกันก็ดำเนินการรักษาอาการบาดเจ็บเมื่อครู่ไปด้วย
เวลาค่อยๆ เลื่อนไหล ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ ลู่เซิ่งก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมลุกขึ้นจากพื้น
การยกระดับก่อนหน้านี้ผลาญพลังมากมายเกินไป เขาชดเชยสารอาหารและเลือดเป็นจำนวนมากต่อทันที
เขาเปิดประตูห้องครัว ตรงดิ่งไปยังตู้เย็น ด้านในมียาสำหรับเอาไว้ใช้ชดเชยความบกพร่องของร่างกายอยู่
แกร่ก
ประตูห้องครัวเพิ่งจะเปิดออก ใบหน้าที่เดิมอึมครึมของลู่เซิ่งกลับพลันงุนงง
น้ำเต้าสีม่วงอมดำเจ็ดใบวางอยู่บนพื้นห้องครัวอย่างเป็นระเบียบ
“คุณตา คุณตา!” น้ำเต้าเจ็ดใบเขย่าอย่างบ้าคลั่งพร้อมส่งเสียงร้องอย่างยินดี
“…”
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่ประตูด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ครู่ต่อมา เขาค่อยได้สติ ข่มความคิดอยากด่าไว้ พร้อมสัมผัสกลิ่นอายที่คุ้นเคยได้จากน้ำเต้าเจ็ดใบนี้
‘นี่…คือสิ่งที่เกิดจากเลือดที่เราพ่นออกมาเมื่อกี้…’ เขาฉุกใจได้ ก่อนเดินเข้าไปหา
ฉับพลันนั้น จิตใจบริสุทธิ์ที่มีความกตัญญูและอาลัยอาวรณ์ก็เชื่อมต่อเข้ามาในจิตของเขาอย่างรวดเร็ว
‘เป็นอย่างที่คิดไว้…’ ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว
นี่คือการหลอกลวงธรรมชาติของมารสวรรค์
จิตมารมาจากกฎพื้นฐานของจักรวาลหรือโลกแห่งนี้ แต่การหลอกลวงธรรมชาติจากร่างมารสวรรค์ของลู่เซิ่งเป็นการหลอกลวงกฎธรรมชาติของโลกใบนี้
ยิ่งอย่าว่าแต่จิตมารไม่กี่ดวง
พวกมันเพิ่งหนีไปได้ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมารสวรรค์ของลู่เซิ่ง จากนั้นก็ถูกการหลอกลวงธรรมชาติล่อกลับมา นึกว่าที่นี่มีครอบครัวของตัวเอง
‘ฉวยโอกาสกินตอนพวกมันยังไม่มีความรู้สึกนึกคิดของตัวเองดีกว่า’ ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าด้านในน้ำเต้าพวกนี้ได้เกิดการแบ่งแยกแตกแขนงที่น่าอัศจรรย์บางอย่างขึ้นแล้ว
น้ำเต้าเจ็ดใบแบ่งเป็นธาตุเจ็ดชนิดที่แตกต่างกัน
เขารักษากลิ่นอายของการหลอกลวงธรรมชาติไปพลาง เดินเข้าหาน้ำเต้าไปพลาง
เพิ่งจะหยิบน้ำเต้าใบแรกขึ้นมาเบาๆ สิ่งที่ลู่เซิ่งรู้สึกก็คือความเย็นยะเยียบ ด้านในเหมือนบรรจุพลังที่มาจากน้ำแข็งบางชนิดเอาไว้
เขายื่นน้ำเต้าเข้าปากอย่างเงียบๆ ก่อนกัดเบาๆ
โผละ
กลิ่นหอมหวนที่ไม่อาจบรรยายได้ชนิดหนึ่งไหลเข้าสู่ช่องปากของเขา
เหมือนกลับคนที่หิวโซไม่ได้กินเนื้อมานาน ได้ลิ้มลองน้ำซุปเนื้อที่อุ่นระอุและเอร็ดเอร่อย
ลู่เซิ่งหลับตาลงอย่างเคลิบเคลิ้ม น้ำเต้าในมือเหลือชิ้นส่วนเล็กๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
รอได้สติกลับมา เขาก็ค้นพบอย่างตื่นตระหนกว่าอาการบาดเจ็บของตนฟื้นฟูเป็นปกติแล้ว ความเสียหายของเลือดและไขกระดูกเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
‘นี่เป็นผลที่เกิดจากการใช้จิตมารของเราเป็นเมล็ดพันธุ์ดูดซับพลังงานธาตุพิเศษของโลกใบนี้เหรอ’ ลู่เซิ่งตระหนักบางอย่างได้
พอน้ำเต้าใบหนึ่งถูกกินไป น้ำเต้าอีกหกใบที่เหลือก็เริ่มกระสับกระส่าย เขย่าตัวเบาๆ เหมือนพร้อมจะหนีทุกเวลา
ลู่เซิ่งรีบเสริมการกระจายตัวให้แก่กลิ่นอายหลอกลวงธรรมชาติ แล้วเดินไปหาน้ำเต้าใบที่สอง
“คุณตาหรือ” เสียงเด็กผู้ชายทุ้มต่ำดังมาจากในน้ำเต้า
“คุณตาจะพาเธอไปที่ดีๆ เอง…” ลู่เซิ่งเว้นเล็กน้อย แสดงสีหน้าไร้อารมณ์
“ไม่ต้องกลัวนะ ตอนเริ่มจะเจ็บหน่อย ต่อจากนั้นจะดีเอง”
พรุ่บ!
เขาใช้มือคว้าน้ำเต้าขึ้นมายัดใส่ปากด้วยความเร็วที่ว่องไวเหมือนสายฟ้าแลบ
น้ำเต้าขนาดเท่าฝ่ามือถูกเคี้ยวและกลืนลงคอ
แสงสีดำกลุ่มหนึ่งกะพริบบนผิว ลู่เซิ่งพลันรู้สึกว่ากระดูกของตนกำลังแข็งแกร่งและทรงพลังขึ้นด้วยความเร็วสูง
ไขกระดูกและไขสมองเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์บางอย่างอย่างรวดเร็ว
น้ำเต้าใบที่สามและใบที่สี่ถูกลู่เซิ่งกินทีละใบๆ โดยไม่ตอบสนอง
กลิ่นอายบนตัวเขาขยายขึ้นเป็นสี่เท่าตัว
พลังน่ากลัวที่ยิ่งใหญ่จนแทบระเบิดกำลังไหลเวียนในตัวเขาด้วยความเร็วสูงพร้อมกับเลือดและต่อมไร้ท่อ
พลังชนิดนี้บ้าคลั่งและรุนแรง กระตุ้นให้ไขกระดูกบนตัวลู่เซิ่งพลุ่งพล่านเหมือนกับน้ำเดือด
เขาเดินไปหาน้ำเต้าใบที่ห้าอย่างแน่วแน่
ซู่…
น้ำเต้าอีกสองใบที่เหลือเหมือนรู้สึกผิดปกติ เริ่มเขย่าอย่างรุนแรง
“ไม่ต้องกลัว…ตาจะพาพวกเธอไปดูของดี” ลู่เซิ่งกระจายกลิ่นมารของร่างหลักอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้น้ำเต้าสองใบสุดท้ายใจเย็น
น้ำเต้าทั้งสองใบเชื่อมั่นในตัวเขาเป็นอย่างยิ่ง ไม่นานก็กลับเป็นปกติ
เวลานี้กลิ่นอายของลู่เซิ่งแข็งแกร่งขึ้นเป็นห้าเท่า และนี่ยังเป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น ไขกระดูกกำลังสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงเซลล์ใหม่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยปรับปรุงจากเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ก่อนหน้านี้แข็งแกร่งถึงขีดสุด
ลู่เซิ่งหยิบน้ำเต้าใบหนึ่งขึ้นใส่ปากอีกครั้ง เคี้ยวสองสามทีก่อนจะกลืนลงคอ กลิ่นอายบนตัวเข้มข้นขึ้นว่าเดิมไม่น้อย
เขามองน้ำเต้าใบสุดท้าย
จากนั้นก็เดินเข้าไปหา แต่ขณะกำลังยื่นมือเข้าหานั่นเอง
น้ำเต้าใบนั้นพลันเขย่าอย่างฉับพลัน
“คุณจะกินฉันด้วยใช่ไหม” ในน้ำเต้ามีเสียงดังมา
ลู่เซิ่งชะงักมือ
“ใช่แล้ว ตัวเธอเป็นส่วนหนึ่งที่แยกจากฉัน นี่ไม่เรียกกิน แต่เรียกว่ากลับคืน” ลู่เซิ่งพูดแก้
“ฉันแตกต่าง” น้ำเต้าใบนี้เหมือนแปลกประหลาดอยู่บ้าง
“ในเวลาหนึ่งชั่วโมงสามสิบสองนาทีที่ฉันเกิดมา ฉันได้เห็นความจริงของมิติแห่งโลก...มีบางอย่างเกาะติดอยู่บนตัวฉัน” น้ำเต้าบรรยายอย่างชัดเจน “ถ้าคุณรับปากว่าจะไม่กินฉัน ฉันจะบอกความลับยิ่งใหญ่ให้คุณฟัง”
“ความลับยิ่งใหญ่หรือ” ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย
“ถูกต้อง คุณอยากจะทำความเข้าใจมาโดยตลอด แต่ไม่มีวิธีและความลับของเส้นทาง” น้ำเต้าว่าต่อ
ลู่เซิ่งสังหรณ์ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายบอกน่าจะเป็นความจริง
เขาหยุดชะงัก
“เธอบอกมาก่อน”
น้ำเต้านิ่งไป
“เป็นความลับเกี่ยวกับความว่างเปล่า”
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ในที่สุดก็สงบจิตใจ
“ได้ ฉันรับปากเธอ”
“คุณสาบานไหม!”
“ฉันสาบาน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างจริงจัง
…
ห้านาทีต่อมา
ลู่เซิ่งเดินออกมาจากห้องครัวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พร้อมเช็ดเศษน้ำเต้าตรงมุมปากเบาๆ หลังกินเศษน้ำเต้าชิ้นสุดท้ายลงไป
เขาได้รู้ความลับที่แท้จริงเกี่ยวกับแสงดาวสีครามของโลกใบนี้จากปากของน้ำเต้าใบสุดท้าย
‘นึกไม่ถึงว่า…ที่นี่จะเหมือนกับโลกมารสวรรค์…ไม่สิ…ยุ่งยากยิ่งกว่าอีก’
ลู่เซิ่งจิตใจเคร่งขรึมกว่าเดิม
น้ำเต้าทุกใบที่เขากินต่างมีธาตุแตกต่างกัน น้ำเต้าใบสุดท้ายคือธาตุความว่างเปล่าที่หายากที่สุด
หลังกินน้ำเต้าเจ็ดใบ ก็หมายความว่าในตัวลู่เซิ่งมีธาตุเจ็ดชนิดที่แข็งแกร่งกว่าเดิมเพิ่มมา
ไม่ใช่ร่างหลัก แต่เป็นในร่างของหวังมู่
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าธาตุความว่างเปล่าในตัวเหมือนหลุมดำที่ดูดซับพลังงานอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันพลังชนิดอื่นๆ ก็เหมือนกับอยู่บนเส้นโคจรที่สอดคล้องกับมัน คอยวนเวียนรอบตัวเขาไม่หยุด
สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าก็คือ พลังแห่งความว่างเปล่าและพลังธาตุอีกเจ็ดชนิดเริ่มผสมเข้ากับเจ็ดอวัยวะของร่างกายร่างนี้พร้อมกับการหลอมรวมของพลังอาวรณ์
ความว่างเปล่าหลอมรวมเข้ากับตาซ้ายของเขา
การหลอมรวมนี้รวดเร็วและลึกลับเป็นอย่างยิ่ง ลู่เซิ่งยังไม่ทันตอบสนอง พลังอาวรณ์ก็ห่อหุ้มพลังแห่งธาตุทั้งเจ็ดพร้อมผสมผสานกันอย่างรวดเร็ว
การเลื่อนระดับจบลง ลู่เซิ่งยืนอยู่ในห้องรับแขก มองดูพลังอาวรณ์ที่น่าสงสารเหลืออยู่แค่สองล้านหน่วยบนอินเตอร์เฟซดีปบลู ก่อนจะถอนใจเสียงแผ่ว
ดีที่ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาในเวลานี้ยกระดับขึ้นทุกด้านเจ็ดเท่า
ถ้าเจอเนเซียนนั่นอีก เขามั่นใจว่าจะล้มอีกฝ่ายได้ในสามกระบวนท่า
แต่โลกใบนี้ไม่ได้มีแค่เนเซียนซึ่งเป็นทูตสั่งการเพียงคนเดียว จะต้องมีทูตสั่งการที่แข็งแกร่งกว่าอยู่อีกแน่
ลู่เซิ่งพักผ่อนสักครู่ ปรับลมหายใจในบ้านสักพัก ค่อยเปิดโทรศัพท์รับข้อความและสายโทรศัพท์
การเลื่อนระดับของไขกระดูกเป็นสิ่งที่ต่อเนื่อง อีกนานกว่าการเพิ่มความแข็งแกร่งเจ็ดเท่าจะจบลง ลู่เซิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังยกระดับขึ้นด้วยความเร็วที่ไม่เร็วไม่ช้า
พละกำลัง ความเร็ว ประสาทสัมผัส ความสามารถมากมายกำลังเพิ่มสูงขึ้นแบบองค์รวม
เขาต้องการเวลา เวลาในการเติบโตที่มากกว่านี้
…
เขตสงครามที่เก้า ดาวเฟสฮาวล์อันเป็นศูนย์กลาง
ในพระราชวังขนาดยักษ์สีขาวบริสุทธิ์ที่ทอดยาวเป็นลูกคลื่น
เนเซียนที่สวมเสื้อคลุมขลิบสีทองคำขาวและเกราะสีขาวบินไปยังใจกลางพระราชวังด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ไม่นานนัก เขาก็บินผ่านพระราชวังที่โล่งว่าง แล้วหยุดลงด้านหน้าวังสีฟ้าขนาดยักษ์ที่เหมือนกับพีระมิด
“ใต้เท้าเวรอน” เนเซียนโค้งตัวไปยังประตูวังอย่างนอบน้อม
“ผมกลับมาแล้ว”
“คุณกลับมาสายเกินไป” เสียงผู้ชายที่แหลมสูงดังมาจากด้านในประตูวัง
“เบื้องบนส่งทูตมาเร่งแล้ว พวกเราจะต้องตรวจสอบเขตดาวในสังกัดให้เสร็จก่อนสิ้นเดือน”
……………………………………….