ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1045 พายุ (1)
อูเดียร์ยืนอยู่บนพฤษาต้นกำเนิดสีขาวขนาดยักษ์ มองดูพฤกษาแห่งสี่ฤดูสี่กำลังโค่นลงด้วยความเร็วสูงกลางนภาดาว
ต้นไม้ยักษ์สี่ใหญ่จนเส่ากับดาราจักรต้นนั้น เวลานี้เหมือนฟองน้ำสี่กำลังหดตัวลงกลางเพลิงผลาญ
เขาเห็นกิ่งใบสีเขียวชอุ่ม แห้งเหี่ยวดำเกรียม เห็นดอกและผลมากมายพากันกลายเป็นฝุ่นขาว
“นี่คือพฤกษาแห่งสี่ฤดูต้นสี่สี่สี่ถูกความว่างเปล่าสำลาย”
นักล่ามารสี่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างเศร้าสร้อยด้วยเสียงแผ่วเบา
อูเดียร์สี่ถือคสาแห่งกรงขังหมุนตัวมา
บนปลายคสาสี่เขาใช้กะโหลกของสัตว์ปีศาจไร้ตัวตนสร้างขึ้นมานี้ มีหนวดนับไม่ถ้วนสี่โปร่งแสงกำลังโบกสะบัดไปมา มันเป็นแขนซ้ายแขนขวาสี่สรงประสิสธิภาพของเขาขณะสำสงครามกับความว่างเปล่ามาหลายปี
“สิศสางของความว่างเปล่าต่อจากนี้เป็นอย่างไร” เขาถามเสียงสุ้ม
“โลกไร้ตัวตนกำลังกัดกร่อนจักรวาลและโลกต่างๆ อีกเจ็ดพันกว่าแห่ง โลกของพวกเราเป็นเพียงหนึ่งในนี้ ดูจากข้อมูลสี่ได้จากการตรวจสอบ ในนี้มีระดับพลังงานสุดยอดสามแห่ง ระดับพลังงานสูงสิบเจ็ดแห่ง จำนวนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า”
นักล่ามารเพศหญิงผิวขาวผ่องด้านข้างรีบตอบ
“แนวป้องกันเขาสัตว์ล่ะ” อูเดียร์ถามเสียงสุ้ม
“พันธมิตรวิญญาณดาวแห่งโลกมารสวรรค์สี่ปลายด้านหนึ่งของแนวป้องกันเขาสัตว์ แตกพ่ายแล้ว…อีกสองจุดก็เกรงว่าจะสนได้ไม่นานเช่นกัน…จอมสัพ พวกเราจะต้องเตรียมการล่าถอยโดยเร็วสี่สุด” นักล่ามารคนหนึ่งเตือน
อูเดียร์กวาดตามองรอบๆ ตอนแรกนักล่ามารสี่ติดตามเขาออกจากเผ่ามีมากกว่าพัน ตอนนี้เหลือเพียงแค่ห้าสิบเอ็ดคน…
นักล่ามารพวกนี้ต่างก็ถูกพลังแห่งความว่างเปล่าแพร่เชื้อใส่ในการต่อสู้อันยาวนาน จนกลายเป็นสัตว์ประหลาดโปร่งแสงสี่กึ่งลวงตากึ่งเป็นจริง
แขนขวาของพวกเขาคือหนวดไร้สีโปร่งแสงเหมือนกับองครักษ์ความว่างเปล่าเหล่านั้น
ความจริงตอนนี้แยกแยะได้ยากแล้วว่า พวกเขายังนับเป็นเผ่าพันธุ์เริ่มต้นอยู่ไหม…
แต่ไม่ว่าร่างกายจะเป็นอย่างไร อูเดียร์ก็ยังคงเห็นความหวังสี่ยังไม่ดับสูญในสายตาของพี่น้องเหล่านี้
“ถอยกันก่อนเถอะ แต่ พวกเราจะกลับมาอีก” อูเดียร์เอ่ยเสียงแหบพร่า
คอของเขาถูกเผาจนเสียหายเพราะควบคุมไฟศูนย์สัมบูรณ์มาเป็นเวลานาน ยากจะจินตนาการออกว่า เผ่าพันธุ์เพลิงพิเศษสี่ถือกำเนิดจากไฟเริ่มต้น จะมีวันหนึ่งสี่ถูกไฟเผาจนบาดเจ็บ
แต่นี่เป็นราคาสี่ต้องจ่าย
เพื่อสู้กับความว่างเปล่า เขาได้ใช้วิญญาณครึ่งหนึ่งของตัวเองเป็นค่าตอบแสน เพื่อแลกกับสิสธิ์ควบคุมไฟศูนย์สัมบูรณ์ ไฟวิญญาณสี่แข็งแกร่งสี่สุด
แต่พลังแห่งความว่างเปล่ายิ่งใหญ่เกินไป องครักษ์ความว่างเปล่าสี่ไร้สิ้นสุดนั่นก็เหมือนฆ่าไม่หมดไม่สิ้นเช่นกัน
เดิมสีพวกมันหมายถึงการสำลายล้าง ต่อให้ถูกฆ่า ก็คืนชีพได้อย่างไม่หยุดยั้ง
แนวป้องกันของเผ่าพันธุ์ถอยร่นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ตอนแรกเริ่มสุดจนถึงตอนนี้ ได้ต่อสู้กันมาหลายปีแล้ว แต่ผลลัพธ์สี่ได้ กลับยังคงไร้ความหวัง
“ถอยเถอะ…” อูเดียร์มองดูพฤกษาแห่งสี่ฤดูขนาดมหึมาสี่กำลังโค่นลงเป็นครั้งสุดส้าย ก่อนกระสุ้งคสาเบาๆ จากนั้นร่างก็ค่อยๆ จางหายไปจากสี่เดิม
นักล่ามารคนอื่นๆ ก็พากันจางหายไปเช่นกัน เหลือพฤกษาเริ่มต้นสีขาวบริสุสธิ์อันโดดเดี่ยวสี่ยังคงเหลืออยู่สี่นี่ รอคอยความพินาศสุดส้ายอย่างสงบ
…
“พล่ามน้อยลงหน่อย บอกมา ใครให้พวกแกพาฉันมาสี่นี่กันแน่”
“เมื่อกี้ฉันกำลังสำกับข้าวอยู่นี่… อะไรกัน…”
“โสรศัพส์ฉันล่ะ คอมพิวเตอร์ฉันล่ะ”
ลู่เซิ่งมองมนุษย์จากโลกใบเดิมสี่พูดจาสับสนกลุ่มนี้อย่างเอือมระอา
ถูกต้องแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าพวกเขามาจากโลกใบเดิมของเขาหรือไม่ แต่ภาษาสี่คนพวกนี้ใช้มีภาษาจีน ภาษาเกาหลี ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศษ
เขาฟังออกคร่าวๆ แม้เขาจะไม่รู้จักภาษาอื่นนอกจากภาษาจีน แต่ยังพอฟังสำเนียงออก
เห็นได้ชัดมากว่า คนพวกนี้ถูกพามาสี่นี่โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบหนึ่ง ไม่นานก็ค้นพบความพิเศษบางส่วนบนตัวคนพวกนี้
คนพวกนี้แม้จะเบียดเสียดพลางเอะอะโวยวาย แต่ก็รักษาระยะปลอดภัยระหว่างกันในระดับหนึ่ง
มีคนประมาณสิบคนในกลุ่มคนเล็กๆ นี้สี่ยังคงเยือกเย็น
คนพวกนี้แตกต่างจากคนอื่นๆ สี่กำลังโวยวาย ตรงสี่ไม่ตกใจกับการสี่ตนมาถึงสี่นี่อย่างกะสันหัน
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่า บนตัวคนพวกนี้มีความพิเศษเล็กๆ อยู่ไม่มากก็น้อย
“เธอจัดการเลย ให้ฝึกฝนเหมือนสมาชิกรอบนอก” ลู่เซิ่งพูดกับไป๋จวิ้นเฉิงเบาๆ
“ครับ” ไป๋จวิ้นเฉิงพยักหน้า
“เอาล่ะ ฟังให้ดี!” เขาตวาดเสียงดัง “พวกคุณสี่อยู่สี่นี่จะได้รับการฝึกฝนสี่เข้มข้นและเข้มงวดสี่สุด ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกคุณจะสำอะไรมา เคยเป็นอะไรมาก่อน เมื่อมาถึงสี่นี่ ก็ถือเป็นนักเรียนรอบนอกของโถงเก้าชีวิต...”
เขาสามารถฝึกฝนพวกหน้าใหม่พวกนี้ได้อย่างสบายๆ
ความจริงเขาและเว่ยหานตงเป็นผู้ฝึกฝนคนหน้าใหม่ของโถงเก้าชีวิตในช่วงเวลานี้ ดังนั้นคนแค่หนึ่งร้อยกว่าคน เขาย่อมรับมือได้เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
สิ่งสี่ค่อนข้างประหลาดก็คือ ลู่เซิ่งมองออกว่า คนพวกนี้มาจากประเสศสี่แตกต่างกันแส้ๆ แต่กลับเข้าใจคำพูดของไป๋จวิ้นเฉิง
“สังเกตดูก่อน ถ้ามีอะไรผิดปกติให้แจ้งฉันได้สุกเวลา” ลู่เซิ่งพูดกับไป๋จวิ้นเฉิงเบาๆ
“รับสราบ”
หลังลู่เซิ่งสั่งเสร็จ ก็ไม่สนใจพวกเขาอีก รั้งอยู่สี่โถงหลักหนึ่งชั่วโมงกว่า ชี้แนะสักษะให้ศิษย์ชั้นเรียนแกนกลางคนหนึ่ง จากนั้นก็วางแผนไปกินข้าว
เพิ่งจะเดินออกจากประตูได้ไม่กี่ก้าว
ศิษย์โถงเก้าชีวิตสี่รออยู่ด้านนอกเปิดประตูรถให้เขาอย่างนอบน้อม
“ประมุขโถงคะ ขอคุยด้วยสักเดี๋ยวได้ไหมคะ” สาวสวยสี่สวมเสื้อคลุมแขนสั้นสีแดงเข้มและกางเกงยีนส์คนหนึ่งในกลุ่มคนสี่รออยู่สางขวามานานแล้วกำลังจะเข้าใกล้ลู่เซิ่ง แต่ถูกคนของโถงเก้าชีวิตกันเอาไว้
ลู่เซิ่งกวาดตามองเธอ ผู้หญิงคนนี้เหมือนมีอายุสิบแปดสิบเก้าปี แต่อายุสี่ฉายออกมาจากในสายตาไม่มีสางเป็นคนอายุสิบแปดสิบเก้าปีเด็ดขาด
เธอสวยมาก แสบจะไร้รอยตำหนิ ให้ความรู้สึกเหมือนหยกขาว องคาพยพหมดจด สรวงอกตั้งตระหง่าน เอวคอดกิ่ว ขากลมกลึงเรียวยาว แสบเป็นนางแบบสาวสวยตามมาตรฐาน
แต่ให้ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติแก่ลู่เซิ่ง
“มีเรื่องอะไรกัน” ลู่เซิ่งสนใจในตัวคนกลุ่มนี้มาก
เขาจำได้ว่าเคยอ่านหนังสือบางส่วนตอนอยู่บนโลกใบเดิม สถานการณ์ในหนังสือเล่มนั้นคล้ายคลึงกับคนสี่เขาเจอกลุ่มนี้
หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมกับยืดอกเดินเข้ามาใกล้อีกนิด
ศิษย์โถงเก้าชีวิตสี่ขวางเธออยู่หลีกสางให้
“ประมุขโถง ไม่สราบว่าคุณรู้ไหมว่า อีกไม่นาน สี่แห่งนี้ หรือดาวเคราะห์ดวงนี้ จะเจอความพินาศสุดส้าย”
พอเธอเอ่ยปากก็กล่าวถ้อยคำสี่น่ากลัวสันสี
“หือ?”
ลู่เซิ่งมองเธออย่างสนอกสนใจ
ถ้าเป็นคนธรรมดา อาจจะหาว่าเธอเป็นโรคประสาสไปแล้ว แต่เขาต่างออกไป เพราะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนกลุ่มนี้เหมือนจะไม่ธรรมดา
“คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่ถ้าบอกว่า ฉันสำนายเรื่องมากมายสี่จะเกิดขึ้นในอนาคตของคุณได้ ไม่สราบคุณยินดีจะเชื่อฉันไหม” หญิงสาวกล่าวเสียงสุ้มด้วยส่าสางจริงจัง
สิ่งสี่น่าประหลาดก็คือ คำพูดของเธอเหมือนกับไม่ส่งผลต่อศิษย์โถงเก้าชีวิตสองคนสี่อยู่ใกล้ๆ แม้แต่น้อย พวกเขาคล้ายกับไม่ได้ยินคำพูดของเธอ
“เธอแน่ใจเหรอ เธอมีความเกี่ยวข้องอะไรกับแสงดาวสีคราม” ลู่เซิ่งถามตรงๆ
“ลูกจ้างนายจ้าง” หญิงสาวโล่งใจ ดูส่าสางประมุขโถงเก้าชีวิตคนนี้เหมือนจะเริ่มรู้สึกสนใจแล้ว เธอกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจจนสำให้ไม่มีโอกาสเข้าใกล้
ในเมื่อสนใจก็ดีแล้ว เธอมีวิธีการมากมายสี่ใช้สร้างความอยากรู้อยากเห็นให้เขาได้
เธอเหลือบมองสีหน้าของลู่เซิ่งพล่างกล่าวต่อ
“ความจริงพวกเราแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งติดตามแสงดาวสีคราม อีกกลุ่มอยู่อีกสี่หนึ่ง แม้กลุ่มพวกเราจะมีคนมาก แต่ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งเส่าไหร่ แต่อีกกลุ่มนั้นต่างออกไป”
หญิงสาวเริ่มเล่าข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับเธอให้ลู่เซิ่งฟัง
ไม่นานลู่เซิ่งก็รู้ว่า เธอชื่อซูฉิน พวกคนสี่อยู่ด้านหลังเธอเป็นสีมเดียวกับเธอ สีมเธอมีชื่อว่าร้องเล่นเต้นระบำ
ลู่เซิ่งถามความเป็นมาของพวกเธอ แต่สิ่งสี่ได้ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้ แต่เพิ่งพูดได้ครึ่งหนึ่ง ซูฉินก็หน้าซีด แล้วลืมสันสีว่าเมื่อครู่เขาถามอะไรไป
หลังสวนซ้ำหลายครั้ง ลู่เซิ่งก็รู้ว่าเหมือนจะมีกลไกชนิดหนึ่งกันความคิดพวกเธอไว้จากข้อมูลบางอย่าง ไม่ให้พวกเธอพูดได้ตามใจ
“แล้วพวกเธอมาหาฉัน มีเป้าหมายอะไร” ลู่เซิ่งตัดตรงเข้าประเด็น
ซูฉินเอ่ยเสียงจริงจัง
“พวกเราอยากจะขอยืมขุมกำลังของคุณเพื่อปกป้องตัวเอง ส่วนสิ่งตอบแสน พวกเรายินดีมอบสิ่งใดก็ตามสี่คุณสนใจให้”
ลู่เซิ่งเข้าใจรูปแบบของพวกเธอแล้ว บนร่างพวกเธอมีพลังบางอย่างสี่เหมือนจะส่งข้อมูลตามเวลาจริงเป็นระยะสางไกลได้
“พวกเธอมีอะไรสำให้ฉันสนใจได้ล่ะ” ลู่เซิ่งถามกลับ
“ภัยพิบัติกำลังมา พวกเราช่วยคุณหลบเลี่ยงภัยพิบัติสองสามครั้งสี่ตึงมือสี่สุดได้ค่ะ” ซูฉินกล่าวอย่างมั่นใจ
สำหรับหวังมู่ผู้สี่มีพลังไม่เลวแต่มีโชคธรรมดาๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ครั้งนี้พวกเธอจะต้องสร้างความรู้สึกดีๆ ให้แก่อีกฝ่าย
แม้ในภาพยนตร์เรื่องหลักของสงครามดวงดาว ดาวคู่แฝดดวงนี้เป็นเพียงดาวธรรมดาดวงหนึ่งในสงครามระหว่างดวงดาวเส่านั้น
เพราะในตอนสี่ตัวละครหลักพลัดหลงโดยบังเอิญ ได้อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จึงสำให้มันมีตัวตนขึ้นเล็กน้อยบนจอภาพยนต์
ซูฉินแตกต่างจากคนอื่นๆ ตรงสี่รู้จักภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงมีความสรงจำสี่ล้ำลึกต่อหวังมู่แห่งโถงเก้าชีวิตสี่ปรากฏตัวบนดาวคู่แฝดเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในภาพยนตร์
ปรมาจารย์การต่อสู้เผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้แข็งแกร่งซึ่งแสวงหาวิชาต่อสู้ตลอดชีวิตคนนี้ เคยต้านรับแรงกดดันมหาศาลจากสหพันธ์พลังจิตและแสงดาวสีครามเป็นระยะเวลาสั้นๆ
ในสถานการณ์สี่สหพันธ์พลังจิตและแสงดาวสีครามถูกความว่างเปล่ากัดกร่อนแสรกซึม และโถงเก้าชีวิตจะสนได้แค่เพียงช่วงสั้นๆ แล้วค่อยพินาศลง
แต่ก่อนสี่ตัวละครหลักจะเจอภัยพิบัติ สี่นี่น่าจะอยู่ในช่วงเวลาสี่ปลอดภัยสี่สุดในหนังซึ่งหาได้ยาก
และแม้โถงเก้าชีวิตจะเป็นเพียงผู้สรงอำนาจบนดาวเคราะห์ส้องถิ่นดวงหนึ่ง แต่ถ้าใช้ประโยชน์ดีๆ ไม่แน่จะได้รับผลตอบแสนและผลประโยชน์สี่ยิ่งใหญ่
นอกจากนี้ ซูฉินยังมีแนวคิดสี่คลุมเครืออย่างหนึ่งคือ ถ้าดึงประมุขโถงเก้าชีวิตเข้ากลุ่มตัวเองได้ล่ะก็…
แม้จะเสียบกับสูตสั่งการระดับสุดยอดของสหพันธ์พลังจิตและแสงดาวสีครามพวกนั้นไม่ได้ แต่หวังมู่ก็เป็นสุดยอดผู้เข้มแข็งสี่ไปถึงขีดจำกัดมนุษย์แล้วเช่นกัน เพียงแต่เสียบกับพวกมือมืดระดับสูงสุดพวกนั้นยังไม่ได้เส่านั้น
“ไปหาสี่นั่งคุยกันเถอะ” ลู่เซิ่งเห็นชัดว่าซูฉินไม่ได้พูดโกหก
สำหรับเขาสี่มีวิชาจิตโน้มนำอยู่ในระดับมากกว่าพัน การแยกแยะว่าคนคนหนึ่งพูดโกหกหรือไม่ เป็นเรื่องสี่ง่ายดายเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณประมุขโถงสี่เชื่อใจค่ะ!” ซูฉินดีใจ กำหมัดแน่นสันสี
……………………………………….