ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1048 พิธีกรรม (2)
“พวกเราต้องดูอะไร” ลู่เซิ่งไม่เข้าใจความคิดของชายชราคนนี้โดยสิ้นเชิง ให้เขาบินมาตั้งไกลเพื่อให้เขาดูว่าดวงดาวหมุนรอบตัวเองอย่างนั้นหรือ
“ไม่ต้องรีบ...” ชายชรายิ้มพลางส่ายหน้า “ดูสิ เริ่มแล้ว…”
เขาเลื่อนนิ้วชี้ไปยังอวกาศทางขวาของดาวเคราะห์ ตรงนั้นมีวัตถุโลหะสีดำอ่อนที่กำลังหมุนอยู่กลุ่มหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
ลู่เซิ่งพิจารณาดู สิ่งนั้นเหมือนเป็นหนามแหลม และเหมือนร่มคันหนึ่ง โครงร่มที่อยู่รอบๆ หมุนวนด้วยความเร็วสูงพร้อมส่องแสงสีเขียวอ่อนจางๆ
ตัวมันเร็วถึงขีดสุด ตั้งแต่เขาเห็นจนพุ่งเข้าไปในดาวเคราะห์ยักษ์ ใช้เวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“ดาวเคราะห์ดวงนี้มีผู้อยู่อาศัยราวสามพันล้านคน ครึ่งหนึ่งในนี้คือชาวมอธ อีกครึ่งคือชาวโมเตล พวกเขาพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอยู่ที่นี่ สร้างโรงแรม โรงเหล้า และสถานที่ท่องเที่ยวเทียม ไม่ขัดแย้งกับใคร ไม่มีการแก่งแย่งชิงดีรุนแรงอะไรนัก” ชายชราเริ่มแนะนำดาวเคราะห์ดวงนี้อย่างไร้สาเหตุ
ลู่เซิ่งมองเขาแวบหนึ่งแต่ไม่ได้ส่งเสียง
“ดูสิ พิธีกรรม เริ่มแล้ว…” ชายชราชี้ตำแหน่งที่หนามโลหะสีดำก้อนนั้นพุ่งเข้าไป
ลู่เซิ่งมองตามไปอย่างสงสัย กลับไม่เห็นอะไรเลย ขณะกำลังจะถามนั่นเอง
ทันใดนั้นเขาก็งุนงงแล้วพิจารณาดาวเคราะห์ดวงนี้อีกครั้ง
เมื่อครู่นี้เอง สายตาเขาเหมือนเห็นภาพหลอน
ไม่สิ…
“ไม่ใช่ภาพหลอน...” ลู่เซิ่งมองดาวเคราะห์สีเหลืองตุ่นนอกหน้าต่างอย่างสงสัย ก่อนเกิดความโกรธขึ้นในใจอย่างไม่อาจควบคุม
ดาวเคราะห์สีเหลืองตุ่นดวงนั้นเริ่มโปร่งแสงอย่างไม่มีเค้าลาง
มันไม่ได้ระเบิดและไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรรุนแรงนัก ทุกอย่างเหมือนกับละครใบ้
ดาวเคราะห์สีเหลืองตุ่นจางหายไปกลางอวกาศในเวลาเพียงสิบห้านาที
ลู่เซิ่งถึงขั้นไม่เจอซากดาวเคราะห์ เขาพยายามค้นหาทั่วอวกาศซึ่งอยู่นอกหน้าต่างติดพื้นอย่างละเอียด แต่ก็หาอะไรไม่เจอ
“ตัวตนของพวกเขาได้กลับคืนสู่ความว่างเปล่าแล้ว…” ชายชราตอบพร้อมหัวเราะ “พลังแห่งความไม่มี รู้ทุกสิ่ง ห่อหุ้มทุกสิ่ง และรองรับทุกสิ่ง”
“ไปต่อที่ดาวดวงถัดไปกันเถอะ”
เขาไม่ขยับตัว แต่โถงทั้งโถงสั่นไหว ก่อนลอยไปหาดาวเคราะห์อีกดวง
ในระบบดาวเดียวกัน ดาวเคราะห์ดวงที่สองนี้เป็นสีแดงฉาน ราวกับไข่มุกสีแดงชั้นยอด
ของสีดำที่เหมือนกับร่มโลหะนั้น พุ่งเข้าไปในชั้นผิวของดาวเคราะห์ แล้วเกิดเหตุการณ์เดิม ดาวเคราะห์ทั้งดวงกลายเป็นภาพลวงตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะค่อยๆ จางหายไป ไม่เหลืออะไรอยู่อีก
ลู่เซิ่งเห็นสถานีอวกาศและดาวเทียมที่โคจรรอบดาวเคราะห์บางส่วนหายตามดาวเคราะห์ไปด้วย
เขาที่ยืนอยู่ในโถงใหญ่ผุดสีหน้าไร้อารมณ์
แม้ร่างหลักของเขาจะทำตัวโหดเหี้ยมไม่สนใจชีวิตคนในโลกมารสวรรค์และโลกใบอื่น แต่เขาลู่เซิ่งเป็นคนที่มีเส้นแบ่ง
คำพูดที่เคยพูดจะต้องเป็นจริง เรื่องที่จะทำต้องได้รับการยอมรับ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่มีทางใช้พลังของตัวเองข่มเหงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ โดยไร้สาเหตุ
เขาลู่เซิ่งไม่มีทางเข่นฆ่าชีวิตมากมายอย่างไร้เหตุผล
นี่ไม่ใช่คนหนึ่งคนสองคน สิบคนร้อยคน แต่เป็นคนจำนวนร้อยล้าน
ลู่เซิ่งเกิดความรู้สึกต่อต้านแนวคิดที่มองคนไม่เป็นคน เพียงมองเป็นวัตถุดิบบางอย่างแบบนี้จากก้นบึ้งจิตใจ
“พิธีกรรมแบบนี้มีความหมายเหรอ ก็แค่การเข่นฆ่าที่ไร้ความเกรงกลัวเท่านั้น” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้มต่ำอย่างเย็นชา
“พวกเขาแพร่พันธุ์เพื่อพิธีกรรมของพวกเราอยู่แล้ว” ชายชราค่อยๆ หุบยิ้มก่อนกล่าวเสียงเรียบ
“นานมาแล้ว ถ้าไม่ใช่พวกเรากระตุ้นให้พวกเขาพัฒนาอารยธรรม บางทีพวกเขาอาจเป็นมนุษย์วานรไร้ปัญญาอยู่ด้วยซ้ำ”
เขาหันไปมองลู่เซิ่ง
“อย่ารู้สึกอึดอัดเลย พวกเราแตกต่างจากพวกเขา เหมือนกับปลูกพืชปลูกผล พวกเราเพียงแค่เก็บเกี่ยวผลของตัวเองเมื่อถึงฤดูที่สุกงอมเท่านั้น”
“ชีวิตต้องยำเกรงและให้ความเคารพ” ลู่เซิ่งโต้
“เหมือนกับจุลินทรีย์มากมายที่เหลืออยู่ในอาหารตอนเธอกินข้าวน่ะเหรอ พวกมันถูกกระเพาะของเธอย่อยกลายเป็นสารอาหาร เธอเคยให้ความเคารพชีวิตของพวกมันเหรอ” ชายชราเถียง
“ผมกินทุกอย่างด้วยความเคารพ อย่าเอาผมไปเทียบกับพวกคุณ” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม
“เคารพ ยำเกรง ซาบซึ้ง นี่คือหลักการในการดำรงชีวิตของพวกเธอเหรอ” ชายชราส่ายหน้าแล้วยิ้มอย่างอดไม่ได้ “แต่เธอเคยคิดมาก่อนไหมว่า ถ้าเธอเป็นเป้าหมายที่ถูกยำเกรงล่ะ ก่อนหน้านี้เธอฆ่าคนไปตั้งมากมาย หรือไม่คิดเคารพชีวิตของพวกเขา”
“บนโลกใบนี้มีสิ่งที่พวกคุณไม่เข้าใจมากมาย ผมก็แค่ทำทุกอย่างด้วยแนวคิดนี้เท่านั้น อะไรควรกินก็กิน เพียงแต่ไม่สิ้นเปลืองหรือใช้ส่งเดช ผมล่าเพราะความจำเป็นของตัวเองเท่านั้น” ลู่เซิ่งอธิบาย
“ผมรับประกันได้ว่า ทุกคนที่ผมฆ่าไปมีความผิดที่สมควรโดน ส่วนคนที่เหลือแค่โดนลูกหลง ผมไม่ได้ตั้งใจ”
ชายชราพลันอ้าปากค้าง ไม่รู้ควรด่ายังไงดี
ผมไม่ได้ตั้งใจเหรอ
คำพูดนี้สามารถมอบรางวัลชนะเลิศการแข่งขันโต้วาทีที่ดีที่สุดประจำปีให้ได้เลยทีเดียว
“เธอ…”
“เมื่อไม่ได้ตั้งใจก็ไม่ถือว่าผิด ผมเข้าใจเหตุผลข้อนี้” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างหนักแน่น
“ปัญหาคือ เธอไปเอาเหตุผลนี้มาจากไหน...” ชายชรากล่าวอย่างอ่อนแรง รู้สึกว่าการสนทนาติดขัดอยู่บ้าง
“หลักปรัชญาที่ผมได้มาจากการศึกษาและสรุปผลอยู่หลายปี” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
เขาหันไปหาอวกาศไร้สิ้นสุดนอกหน้าต่าง เอามือไพล่หลัง
“ผมแตกต่างจากพวกคุณ ทุกครั้งที่ผมฆ่าคนหรือทำใครโดนลูกหลง ความจริงเป็นเพราะถูกบีบบังคับทั้งนั้น ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้ แต่ถูกโลกภายนอกผลักดันจนจำใจทำ”
เขาเหมือนจะสะท้อนใจอยู่ชั่วขณะ นึกถึงอันตรายและอุปสรรคมากมายที่เจอหลังจากจุติไปยังโลกต่างๆ
“ฟังดูเหมือนมีเหตุผล แต่รู้สึกมีตรงไหนไม่ถูกสักที่” ชายชรางุนงงเล็กน้อย
“ช่างเถอะ พิธีกรรมทำให้ดาวเคราะห์หายไปทั้งหมดสามสิบสามดวง แสงดาวสีครามของพวกเรากำลังเริ่มเปิดศึกเต็มอัตรากับสหพันธ์พลังจิตจริงอย่างเป็นทางการ เพื่อความยุติธรรม เพื่อประชาชนนับไม่ถ้วน เพื่อปวงประชาแห่งจักรวรรดิที่ถวายชีวิตตัวเอง เพื่อการปลดปล่อยบนดาวเคราะห์สามสิบสามดวง พวกเรา…”
“การกระทำของพวกคุณมันต่างจากผู้ก่อการร้ายตรงไหน” ลู่เซิ่งกับกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
ถ้าไม่ใช่เห็นรากฐานที่มีศักยภาพยิ่งใหญ่เบื้องหลังแสงดาวสีครามมาก่อน เขาคงฟาดชายชราผอมแห้งที่มีตรรกะผิดเพี้ยนคนนี้จนตายไปแล้ว ทำไมต้องมามัววิพากษ์วิจารณ์กันอีก
ชายชราก็เห็นว่าลู่เซิ่งไม่ปกติเช่นกัน
เจ้าหมอนี่มันคนบ้าชัดๆ ยังมีหน้ามาว่าพวกเขาอีก
พวกเขายึดมั่นในหลักการ ต่อสู้เพื่ออุดมคติของตัวเองมาโดยตลอด
เจ้าหมอนี่ล่ะ ทำไมต้องพยายามด้วย เงินหรือ ผู้หญิงหรือ ความรู้สึกประสบความสำเร็จหริอ เหมือนจะไม่ใช่สักข้อ
“พวกเราไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ขอย้ำอีกรอบนะ พวกคนบนดาวเคราะห์เหล่านั้นสมัครใจทำพิธีกรรมนี้เอง ยอมถวายร่างกายเพื่ออุดมคติอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา นี่คือคุณธรรม” ชายชราโต้
“เวลาผมกินอะไรก็ไม่เคยบอกว่าอาหารมันสมัครใจเองเหมือนกัน” ลู่เซิ่งเถียง “สิ่งที่พวกคุณแตกต่างจากผมที่สุดก็คือ ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่พวกคุณตั้งใจ พวกคุณกำลังบิดเบือนความคิดของคนอื่นอยู่”
ช่างเถอะ เขาเหนื่อยแล้ว ขี้คร้านจะถกเหตุผลกับชายชราคนนี้อีก องค์กรอย่างแสงดาวสีครามน่าจะมีปัญหาจริงๆ
และพวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาราวกับถูกล้างสมอง
ชายชราอ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก
เขาก็รู้สึกเหนื่อยมากเหมือนกัน
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจก็คือ หวังมู่ไม่ได้รู้สึกสะท้านสะเทือนและยำเกรงต่อการทำให้ดาวเคราะห์หายไปของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ
หนามแหลมชนิดนั้น แค่ร่างหลักเขาสัมผัสเล็กน้อยก็รู้ทันทีว่ามันคืออะไร
โดยพื้นฐานแล้ว พิธีกรรมพวกนี้ไม่ใช่การทำลายในทันที แต่เป็นการลากเข้าไปในมิติอื่นๆ หรือจักรวาลมิติรองที่คล้ายๆ โลกรูปจิตของเขา
เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างจากมิติรูปจิตของเขาก็คือ ด้านในมิติจักรวาลที่ดาวเคราะห์พวกนี้ถูกลากเข้าไปมีความว่างเปล่าบริสุทธิ์อยู่ผืนหนึ่ง
เมื่อมีสิ่งใดก็ตามเข้าไป จะถูกแบ่งเป็นอนุภาคพื้นฐานอันสมบูรณ์แล้วถูกความว่างเปล่ากลืนกิน
ตอนนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมแสงดาวสีครามจึงถูกถือให้เป็นองค์กรก่อการร้าย ดูจากตอนนี้ ตำแหน่งนี้จะไม่ผิดพลาดจริงๆ
สิ่งที่ลู่เซิ่งสนใจอย่างแท้จริงก็คือ ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาในตอนนี้สามารถเคลื่อนไหวในอวกาศได้ตามใจแล้ว
ถ้าระเบิดความเร็วสุดกำลัง ก็ไม่กลัวความเร็วของหนามแหลมชนิดนั้น ต่อให้จะถูกโจมตี อย่างมากสุดเขาก็แค่ปล่อยร่างหลักออกมา เขาไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะฆ่าเขาได้หลายแสนครั้งในพริบตา
หลังจากได้ยินว่าองค์กรนี้คือรากแห่งความว่างเปล่า เขาก็เตรียมใจปล่อยร่างหลักเอาไว้แล้ว
ตอนนี้ร่างหลักปรับตัวเข้ากับกฎเกณฑ์ของที่นี่ได้แล้วประมาณหนึ่ง การหนีเป็นเวลาสั้นๆ น่าจะไม่มีปัญหา
“ช่างเถอะ” ชายชราถอนใจอย่างจนปัญญา คุยกับคนคนนี้ไม่รู้เรื่องแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่ไปเอาความมั่นหน้าขนาดนี้มาจากไหน
“เธอรู้ไหมว่าทำไมพวกเราถึงได้ให้ความสำคัญกับเธอ บอกตามตรงนะ ระดับของเธอในตอนนี้ สามารถสู้กับทูตสั่งการคนนั้นได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่ในองค์กรของพวกเราไม่ได้ขาดทูตสั่งการ”
“คุณอยากพูดอะไร” ลู่เซิ่งผุดสีหน้าราบเรียบ
“เป็นเพราะ พวกเราสัมผัสพลังแห่งความว่างเปล่าได้จากร่างของเธอ…” ชายชรายกแขนขวาขึ้นเบาๆ
บนแขนขวาของเขามีตุ่มโปร่งแสงที่ชัดเจนอยู่กลุ่มหนึ่ง
ตุ่มขนาดเท่าถั่วเหลืองเหล่านี้กระจายอยู่บนแขนด้านในของเขาอย่างเท่าๆ กัน เหมือนกับมีไข่แมลงกาฝากงอกออกมา
“พลังแห่งความว่างเปล่า…” ลู่เซิ่งหนังตาซ้ายกระตุกอย่างบรรยายไม่ถูก
ก่อนหน้านี้ตอนเขาเลื่อนระดับ พลังแห่งความว่างเปล่าได้หลอมรวมเข้ากับตาซ้ายของเขา
ดูเหมือนตอนนี้อีกฝ่ายจะสัมผัสได้
“ฉันไม่รู้ว่าเธอหลอมรวมเข้ากับพลังแห่งความว่างเปล่าได้ยังไง แต่ในเมื่อหลอมรวมแล้ว เธอก็ถือเป็นสมาชิกคนหนึ่งของพวกเรา” ชายชรากล่าวอย่างแน่วแน่
“ผมจะพิจารณาดู” ลู่เซิ่งนิ่งไปก่อนตอบ
ชายชราเหลือบมองลู่เซิ่ง รู้สึกชัดกว่าเดิมว่าคนคนนี้แปลกประหลาด
เขารู้สึกว่าขุมกำลังที่แข็งแกร่งขององค์กรไม่น่าจะสนใจคนธรรมดาๆ แบบนี้
ขนาดแสดงความสามารถข่มขวัญที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ให้ดู เจ้าหมอนี่ก็ยังไม่มีความยำเกรงแม้แต่น้อย
แม้ลู่เซิ่งจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่แค่ความสามารถเมื่อครู่ก็อยากทำให้เขายำเกรงแล้วงั้นเหรอ นี่มันเหลวไหลแท้ๆ
ถ้าร่างหลักเขาอยู่ สามารถสร้างสถานการณ์เมื่อครู่ได้อย่างง่ายดายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากด้วยซ้ำ ยิ่งอย่าว่าแต่ที่นี่คือจักรวาลระดับพลังงานสุดยอด
“กลับกันเถอะ ให้เวลาผมหน่อย” ลู่เซิ่งครุ่นคิดก่อนบอก
……………………………………….