ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 105 ชุลมุน (1)
“หนีไปแล้ว?”
ลู่เซิ่งยืนทวนประโยคนี้เบาๆ กลางสวนดอกไม้
ตระกูลเจินมีความสำคัญขนาดไหนต่อแดนเหนือ ไม่ต้องพูดถึงบทสรุปก็เข้าใจได้
เมื่อไม่มีการสะกดจากตระกูลเจิน แดนเหนือก็ไม่ต่างจากแคว้นเมฆาที่เกิดภัยแล้งมากเท่าไหร่ ภูตผีปีศาจอาละวาด มนุษย์เกรงว่าแม้แต่การดำรงชีวิตพื้นฐานก็คงลำบาก
แน่นอนว่ามนุษย์มีประโยชน์ต่อตระกูลขุนนาง ดังนั้นจะต้องมีตระกูลขุนนางอื่นๆ สอดมือเข้ามายึดครองที่นี่ แต่ผู้ใดจะทราบว่า ก่อนที่ตระกูลขุนนางอื่นๆ จะลงมือ แดนเหนือจะเสียหายขนาดไหน
ลู่เซิ่งจิตใจเคร่งเครียดถึงขีดสุด
เขาไม่ห่วงคนแปลกหน้าคนอื่น หากห่วงตัวเองและพรรควาฬแดง
พรรควาฬแดงในฐานะขุมกำลังสายตรงของตระกูลเจิน เรียกได้ว่าเป็นขุมกำลังใกล้ชิดที่มีความสามารถที่สุด ทราบข้อมูลของตระกูลเจินมากมาย
ถ้าข่าวหลุดออกไปว่าตระกูลเจินหนี ผู้ที่จัตุรัสแดงจะจัดการเป็นอันดับแรกก็คือพรรควาฬแดง
เมื่อนึกถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ ลู่เซิ่งเดินเข้าไป อ้าปาก กลับไม่ทราบว่าควรพูดอะไรดี
“ตระกูลเจินไปแล้ว หมายความว่าทุกอย่างต่อจากนี้ต้องพึ่งพวกเราเอง” หงหมิงจือน้ำเสียงอ่อนแอและชราภาพ
“ข้าออกคำสั่งให้คนสนิทที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ นำคน วัสดุ และกองทุนออกไปจงหยวนแล้ว บางทีวันนั้นเขาบูรพาอาจโผล่ขึ้น[1]อีกครั้ง”
“ศิษย์พี่เหตุใดมองโลกในแง่ร้ายแบบนี้ ยังไม่ถึงที่สุด อาจมีโอกาสพลิกสถานการณ์!” ลู่เซิ่งสีหน้าแน่วแน่ กล่าวเสียงทุ้มต่ำ
ระหว่างเวลาที่ผ่านมา จากคนบ้านรวยคนหนึ่งสู่ผู้มีอำนาจแห่งค่ายพรรคในตอนนี้ ใช้เวลาแค่หนึ่งปีกว่าๆ
สำหรับคนปกติ เขาไม่แสดงออกก็แล้วกันไป พอแสดงออกก็น่าตกตะลึง ตัวอย่างเช่นการแอบฝึกวิทยายุทธ์ตั้งแต่เด็ก แล้วระเบิดในครั้งเดียว แต่มีเพียงตัวเองที่ทราบว่า ความสามารถของเขาใช้เวลาแค่หนึ่งปีจริงๆ
นี่เป็นสาเหตุที่เขาไม่กล้าบอกระดับวรยุทธ์ที่แท้จริงของตัวเองกับที่บ้าน เป็นเพราะเกินจริงเกินไป
ตั้งแต่เผชิญภูตผีตัวคนเดียว ฟาดตายด้วยหนึ่งฝ่ามือ ถึงปัจจุบัน เขาไม่ใช่คุณชายอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ไม่ถึงช่วงเวลาสุดท้าย เขาไม่มีทางยอมแพ้
“ไม่ไหวหรอก…ไม่มีตระกูลขุนนาง…พวกเราไม่อาจรับมือจัตุรัสแดงได้แล้ว…” หงหมิงจือคล้ายหมดกำลังใจ ส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์พี่เหตุใดกล่าววาจานี้ เรื่องราวมากมายไม่ลองดูจะรู้ผลลัพธ์ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ตาย พวกเราก็ต้องลากคนอื่นมารับเคราะห์ด้วย!” ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก กล่าวเสียงดุดัน
แต่หงหมิงจือกลับทำท่าเหนื่อยล้า ไม่ฮึกเหิมแม้แต่น้อย
“เจ้าไม่ทราบความร้ายกาจของความประหลาดลี้ลับ…เจ้าไม่ทราบ…คนที่ไม่เคยเห็น นึกว่าพวกมันเหมือนกับภูตผี แต่ความจริงภูตผีแตกต่างจากพวกมันมากมายนัก…” หงหมิงจือถอนใจ “ข้าจัดขบวนรถไปจงหยวนไว้แล้ว ถ้าศิษย์น้องต้องการก็เข้าร่วมได้ เจ้าเป็นระดับสูงที่เพิ่งเลื่อนระดับ จัตุรัสแดงอาจไม่จัดเจ้าเข้ารายชื่อเป้าหมาย…”
“อาจจะ แต่ข้าไม่ฝากความหวังไว้กับโชค” ลู่เซิ่งเยือกเย็น
จัตุรัสแดงเหมือนขุมกำลังยิ่งใหญ่ กดทับศีรษะเขาและกดทับจิตใจของระดับสูงทั้งหมดในพรรควาฬแดง
ถึงแม้ตอนนี้ลู่เซิ่งจะใกล้เคียงกับระดับพันธนาการ แต่พันธนาการก็เป็นเพียงสภาพและระดับพื้นฐานของตระกูลขุนนางกับความประหลาดลี้ลับ ถ้าคิดจะปกป้องตัวเองอย่างปลอดภัยในภัยพิบัติครั้งนี้ ขีดความสามารถแค่นี้ไม่พอ ยังห่างไกลยิ่ง!
“ศิษย์น้องคิดจะทำอันใด” หงหมิงจือมองลู่เซิ่ง สำหรับเขา ตอนนี้ทำอะไรก็เปล่าประโยชน์ คนธรรมดาคิดสู้กับความประหลาดลี้ลับ เหมือนกระต่ายวางแผนจะกัดเสือให้ตาย เดิมก็ไม่ใช่ระดับเดียวกัน ไม่มีความเป็นไปได้ใดๆ
“ไม่คิดทำอะไร” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ “ศิษย์พี่ให้ข้ายืมระดับคุณูปการของพรรคบางส่วนได้หรือไม่ ข้าจะอ่านคัมภีร์ลับวรยุทธ์ ขยายโลกทัศน์”
“นี่มันเวลาอะไร เจ้ายัง…!” หงหมิงจือพลันระอา แต่ยามมองลู่เซิ่ง กลับพบว่าสายตาเขาแน่วแน่ ในใจมีแผนการ จึงไม่พูดอะไรต่อ
“ก็ได้ อย่างไรข้าก็ไม่ใช้แล้ว ให้ผลงานงานใหญ่แก่เจ้าสามผลงาน มากพอจะแลกเปลี่ยนคัมภีร์ลับวรยุทธ์หลายวิชาในศาลาประกาศยุทธ์แล้ว”
“ในเมื่อพรรคกำลังจะล่มสลาย เหตุใดยังต้องปฏิบัติตามกฎเหล่านี้อีก เปิดศาลาประกาศยุทธ์เลยไม่ดีกว่าหรือ” ลู่เซิ่งถามกลับ แค่สามผลงานใหญ่ เขาย่อมไม่พอใจ
“นี่เป็นกฎ เป็นตระกูลเจินในตอนนั้น…” กล่าวไม่ทันจบ ประมุขพรรคเฒ่าก็นิ่งอึ้ง สักครู่หนึ่งก็ค่อยๆ หลับตาลง โบกมือ “แล้วแต่เจ้า แล้วแต่เจ้า…ขอแค่เฒ่าในศาลาเห็นด้วยก็พอ…”
ลู่เซิ่งบรรลุจุดประสงค์แล้ว ปลอบหงหมิงจือหลายคำ ค่อยถอยออกมาจากสวนดอกไม้
หงหมิงจือไม่ไปสำนักแปรผัน แสดงว่าทราบเบื้องหลังแล้ว หรือควรบอกว่า เขาพิสูจน์คำตอบที่เขาต้องการเห็นด้วยตัวเองแล้ว
‘น่าเสียดาย…ระดับสูงของพรรคที่ทราบเรื่องในตอนนี้คงสิ้นหวังกันหมดแล้ว’ เขาออกจากสวนดอกไม้ ลงบันไดระเบียง ไปยังศาลาประกาศยุทธ์
‘ถ้าเราไม่มีเครื่องมือปรับเปลี่ยน ไม่มีปราณหยินในมือ ไม่มีคัมภีร์ลับมากพอจะฝึกฝนยกระดับ เกรงว่าคงจะสิ้นหวังเหมือนกับพวกเขาที่เป็นคนธรรมดา…’
เทียบกับคนเหล่านั้น พวกเขาฝึกฝนวิทยายุทธหลายสิบปีเหมือนหนึ่งวัน แต่พลังฝึกปรือจากการฝึกฝนตลอดชีวิต เมื่อเผชิญหน้ากับความประหลาดลี้ลับ กลับยังรับการโจมตีสักครั้งไม่ได้
ในสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้ในเวลาสั้นๆ จะพยายามอย่างไร ความแตกต่างนี้ก็ไม่มีโอกาสช่วยแม้แต่น้อย
แต่เป็นข้ายังมีโอกาส!
ลู่เซิ่งจิตใจตั้งมั่น ถ้าเขายกระดับพลังฝึกปรือสุดกำลัง ใช้โอสถเสริมกับปราณหยินช่วยเหลือในระยะเวลาสั้นๆ อาจจะมีการยกระดับครั้งใหญ่สักครั้ง
‘ถ้าไม่ไหวก็พาคนที่บ้านออกจากแดนเหนือ ต่อให้ถูกไล่ตามก็คงประเมินพลังของเราผิด หาโอกาสรอดชีวิตได้
เพียงแต่…’ ลู่เซิ่งในดวงตาปรากฏความดุร้าย “เพียงแต่นี่เป็นแผนการที่แย่ที่สุด ถ้าเราอยู่ในรายชื่อของหอแดงจริงๆ คงจะไม่ถูกปล่อยไปง่ายๆ การออกจากเมืองเลียบคีรีอาจอันตรายกว่าเดิม”
ความคิดของเขาทำงานอย่างหนัก ความเป็นไปได้ต่างๆ ผุดขึ้นในใจ แต่สุดท้ายก็เหลือเพียงอย่างเดียว
‘ไม่ว่าอย่างไร การเพิ่มพลังต่อสู้ตามความเป็นจริงให้เร็วที่สุดก็เป็นทางหลัก!’ ถึงอย่างไรเขาในตอนนี้ก็มีศักยภาพมากมายให้ขุดค้น
ออกจากสวนดอกไม้ เขามาถึงศาลาประกาศยุทธ์ด้านล่าง
ตอนนี้ศาลาประกาศยุทธ์ไม่มีคน มีแค่ชายชราที่โต๊ะยาวนั่งสลึมสลือบนที่นั่ง
ประตูศาลาเปิดอยู่ ด้านในแสงตะเกียงสว่างโร่
ลู่เซิ่งค่อยๆ เดินเข้าไป
“เฒ่าเฝ้าศาลาเหตุใดยังอยู่ที่นี่อีก ตอนนี้ประสบ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ใยท่านไม่หนีไปที่จงหยวน” ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะยาว กล่าวพลางมองชายชราที่ง่วงเหงา
“หนีหรือ” เฒ่าเฝ้าศาลาลืมตาขุ่นมัวมองลู่เซิ่ง “ไม่มีประโยชน์ พวกเรากับตระกูลเจินเกาะเกี่ยวกันล้ำลึกเกินไป เจ้าเองก็น่าจะทราบ หลังเกิดเรื่องแล้วไปหลบซ่อนในเมืองเลียบคีรีดีกว่า”
“เมืองเลียบคีรี” ลู่เซิ่งงุนงง
“ใช่แล้ว…ดูว่าจัตุรัสแดงจะยอมไว้หน้าราชวงศ์ขนาดไหน…” เฒ่าเฝ้าศาลาโบกมือ “บอกเจตนาการมาของเจ้าเถอะ”
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ “ปัจจุบันตระกูลเจินไปแล้ว กฎของศาลาประกาศยุทธ์ไม่ต้องรักษาแล้วกระมัง ข้าอยากอ่านคัมภีร์ลับตามชอบใจ เป็นอย่างไร”
เฒ่าเฝ้าศาลางงงัน กลับคาดไม่ถึงว่าลู่เซิ่งจะเสนอคำขอเช่นนี้ เดิมนึกว่าประมุขพรรคหงหมิงจือบอกให้อีกฝ่ายมาเชื้อเชิญให้ตนลงมือ กลับคิดไม่ถึงว่าลู่เซิ่งต้องการสิทธิ์นี้
“กฎก็คือกฎ แต่เจ้าเป็นระดับสูง ปัจจุบันเป็นเวลาไม่ปกติ ถ้ามีเจ้าคนเดียวก็เลือกได้หลายวิชา”
ลู่เซิ่งขอบคุณอีกฝ่าย หมุนตัวเดินไปชั้นที่สอง
“ถึงแม้ไม่ทราบว่าเจ้าเหตุใดจึงมาอ่านคัมภีร์ลับ แต่ข้าขอเตือนให้เร่งมือหน่อย ศาลาประกาศยุทธ์เป็นสถานที่สำคัญของพรรควาฬแดง ทรัพยากรคัมภีร์ลับทั้งหมดจะถูกนำออกไปด้วย อีกเดี๋ยวจะเก็บกวาดแล้ว” เฒ่าเฝ้าศาลาเตือน
“ขอบคุณที่เตือน” ลู่เซิ่งชะงักเท้า จากนั้นก็เร่งความเร็ว
เขาไปยังชั้นหนังสือบนหอหลายแห่งที่เคยดูก่อนหน้า เจอวิชาแข็งกร้าวที่ตนต้องการ
วิชาโอสถกลองพลบค่ำ วิชาด้ายทอง ยังมีวิชาแข็งกร้าวระดับพลังปลอดโปร่งที่พรรควาฬแดงเก็บซ่อนไว้อีกหลายวิชา ส่วนสำนึกปลอดโปร่งกลับไม่มี
ทั้งหมดห้าวิชา ยังเอาวิชาเดินลมปราณกำลังภายในลงมาอีกสองเล่ม
รอลงมาแลกเปลี่ยนคัมภีร์ลับเล่มจริง เฒ่าเฝ้าศาลามองดูจนตากระตุก
“เจ้าจะย้ายโกดังวรยุทธ์วาฬแดงไปหมดหรือ!” เขากล่าวอย่างหมดคำพูด
“อ่านเสร็จภายหลังจะคืน” ลู่เซิ่งตอบอย่างจริงจัง
“เช่นนั้นเจ้ายืมทีละเล่มไม่ดีกว่าหรือ”
“ไม่ได้ ครั้งหน้าข้าเกรงว่าจะไม่มีโอกาสแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างจริงจัง
“เจ้าก็รู้ว่าเจ้าไม่มีโอกาสแล้ว” เฒ่าเฝ้าศาลาอับจนถ้อยคำ
“วิชาแข็งกร้าวเหล่านี้ยืมได้ แต่วิชากำลังภายในสองเล่มนี้ตอนนี้เป็นเวลาไม่ปกติ ได้แต่ให้เจ้ายืมฉบับคัดลอก” เขาเอ่ยอย่างขึงขัง
“ก็ได้” ลู่เซิ่งทราบว่าตอนนี้เป็นเวลาที่พรรควาฬแดงเตรียมเก็บคัมภีร์ลับ ตอนนี้คือช่วงเวลาอันตราย ยืมเล่มจริงออกไปสักเล่ม วรยุทธ์วิชาหนึ่งก็หายไปจากพรรควาฬแดง อนุญาตให้เขายืมมากขนาดนี้ก็มีน้ำใจแล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะเห็นแก่ที่เขาเป็นคนในสำนักอาทิตย์ชาด
แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เขามีพลังภายในเต็มเปี่ยม ถึงขีดจำกัดของเส้นลมปราณจากคุณสมบัติร่าง วิชากำลังภายในเอาไปก็ฝึกไม่ได้อยู่ดี จึงไม่เป็นอะไร
“เช่นนั้นก็ได้” เฒ่าศาลาหยิบวิชาแข็งกร้าวเล่มจริงออกมาทีละเล่ม ไม่ใช่วิชาแข็งกร้าวทั้งหมดจะต้องใช้ภาพสำนึกตรึกตรอง ดังนั้นมีวิชาแข็งกร้าวสองสามเล่มจึงเป็นฉบับคัดลอก
ลู่เซิ่งบ่นอยู่บ้าง แต่ก็ถูกเฒ่าศาลาค้อนตาใส่
“เช่นนี้ข้าขอลาก่อน” ลู่เซิ่งประสานมือ แบกคัมภีร์ลับไว้
“ไปเถอะ…” เฒ่าเฝ้าศาลายังคงนั่งหลังโต๊ะยาว สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนจะเฝ้าอยู่ที่นี่อย่างนี้ตลอดไป
ก่อนไปลู่เซิ่งมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกันแน่
แต่เขามักรู้สึกว่าเฒ่าชราผู้นี้ลี้ลับอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกหลอนหรือไม่
ลู่เซิ่งออกจากศาลาประกาศยุทธ์ ไปยังห้องตำรับยาในเรือวาฬแดง หาตำรับผสมวัตถุดิบยาที่วิชาแข็งกร้าวจำเป็นต้องใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังต้องการหลายชุด ถ้าเกิดปรุงมั่วซั่ว ภายหลังคิดจะทำให้ราบรื่นปลอดภัย อาศัยร้านยาทั่วไปในเมืองเป็นไปไม่ได้ วัตถุดิบยาหลายชนิดเป็นของจำเป็นพิเศษที่มีแต่คนที่ฝึกยุทธ์ต้องการ
ลู่เซิ่งยกของถุงใหญ่ออกจากท้องเรืออย่างรวดเร็ว ตอนยืนบนดาดฟ้าเรือก็เห็นพลพรรควาฬแดงจำนวนไม่น้อยคุ้มครองคนกลุ่มใหญ่ทยอยเข้าเรือวาฬแดง
“นี่เป็นผู้ใดกัน” เขาขมวดคิ้วถามองครักษ์ข้างตัว
“เรียนหัวหน้าภายฝ่ายภารกิจนอก คนเหล่านี้เป็นผู้รอดชีวิตของสำนักแปรผัน…ได้รับบาดเจ็บเพราะไฟใหม้ จึงส่งมารักษาที่นี่ก่อน” องครักษ์ตอบเสียงดัง ด้านนอกเอะอะ ถ้าเขาพูดเบาๆ ก็ได้ยินไม่ชัดสักคำ
“ไม่มีไฟไหม้ไม่ใช่หรือ เหตุใดมีคนถูกเผาบาดเจ็บ เห็นเจ้าสำนักแปรผันหรือไม่” ลู่เซิ่งถามอีก
“เอ่อ…ข้าน้อยก็ไม่แน่ใจ แต่เหมือนว่าหลังจุดไฟส่งคำสั่งระดมพล ไฟได้ลามไปยังอาคารหน่วยหลักโดยไม่ได้ตั้งใจ” องครักษ์ผู้นั้นพลันเว้นเล็กน้อย กระซิบ “ได้ยินว่าแม้แต่เจ้าสำนักก็ถูกเผาทั้งเป็นในกองเพลิง… แยกแยะศพไม่ได้ ศพเหล่านั้นผสมปนเปกับเถ้าคานไม้ในอาคาร น่าอนาถยิ่งนัก…” สำเนียงเขามิใช่คนของเมืองเลียบคีรี หางเสียงยกสูง
……………………………………….
[1] เขาบูรพาโผล่ขึ้น หมายถึง พลิกฟื้นกลับมาใหม่