ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1050 ร่วมมือ (2)
พรวด!
เลือดพุ่งออกมาจากตา จมูก ปากของเนเซียน
เขาถูกลู่เซิ่งใช้มือข้างหนึ่งจิกผมเหมือนกับตุ๊กตาโทรมๆ
ฟู่ว…ฟู่ว…
ปีกเนื้อยักษ์กระพือช้าๆ ลู่เซิ่งพุ่งสู่ฟ้า ก่อนจะกลับมาทิ้งตัวลงริมธารอย่างแผ่วเบา
“แก…แข็งแกร่งขนาดนี้…ได้ยังไงกัน…!?” เนเซียนขัดขืนพลางกล่าวอย่างเหลือเชื่อ
“นี่แหละพลังที่แท้จริงของฉัน ครั้งก่อนฉันออมมือให้แกเท่านั้น” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ฉันไม่อยากจะเปิดเผยพลังของตัวเองให้ทุกคนเห็น”
“แก…” เนเซียนอ้าปากอย่างไม่ยอม “ชิป…”
“อ่อนแอจริงๆ…” ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงว่า เวลานี้ศัตรูที่ครั้งก่อนมีฝีมือเทียบเท่ากับตนเองจะอ่อนแอถึงขนาดนี้
เป็นเพราะเขาพัฒนาเร็วเกินไป มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเกินไป หรือเพราะอีกฝ่ายพัฒนาช้าเกินไป เขาไม่รู้
ความรู้สึกที่สรรพสิ่งเหมือนเดิมแต่คนเปลี่ยนไปนี้ทำให้เขาอดสะท้อนใจไม่ได้
“รู้ไหมว่าทำไมแกแพ้” เขาทิ้งเนเซียนไปบนพื้น
“เป็นเพราะ แกยังพยายามไม่พอ…ตอนฉันฝึกฝน แกเอาแต่เที่ยวเล่น ตอนฉันพยายาม แกเอาแต่เล่น ตอนฉันใคร่ครวญตรึกตรอง แกก็ยังเอาแต่เที่ยวเล่น”
ลู่เซิ่งเงื้อกำปั้นขวาขึ้น แล้วต่อยใส่เนเซียนอย่างรุนแรงโดยเมินใบหน้าขอชีวิตของเขา
เปรี้ยง!
พื้นดินระเบิด ก้อนหินดินโคลนกระจัดกระจาย
เนเซียนกรีดร้อง ท่อนร่างร้อนขึ้น ปัสสาวะราดซะแล้ว…
เขาทั้งอับอายทั้งโมโห สองตาเหลือกขาว ก่อนสลบไสลไป
ลู่เซิ่งชักหมัดกลับ แล้วอุ้มเนเซียนที่สลบขึ้นจากไป
ทะเลสาบเทียมที่ตอนแรกกระจ่างใส ทิวทัศน์งดงาม เวลานี้เละเทะเหมือนกับไต้ฝุ่นเพิ่งพัดผ่านไป
หลังลู่เซิ่งจากไปได้ไม่นาน
ดินโคลนที่อยู่ไม่ไกลออกไปถูกพลิก สถานที่ที่ถูกปลอมแปลงบนพื้นถูกเปิดออก
ซูฉินปีนออกมาจากหลุมลึกใต้ดินโคลนอย่างยากลำบาก
จากนั้นเธอก็คลานไปยังอีกที่หนึ่ง แล้วออกแรงเคาะดินโคลนบนพื้น
“เต๋อเอิ้น เต๋อเอิ้น ยังมีชีวิตอยู่ไหม” เธอหน้าโชกเลือด เลือดไหลลงมาจากบาดแผลบนศีรษะ
ข้างใต้ดินโคลนไร้การตอบสนอง
ซูฉินใช้มือขุดดินโคลนกองนี้อย่างบ้าคลั่ง ด้านล่างกองดินคือที่ว่างเล็กๆ เวลานี้ด้านในมีชายหนุ่มร่างโชกเลือกและไร้ลมหายใจนอนอยู่
พอซูฉินเห็นคนคนนี้ก็ตัวสั่นทันที
“เต๋อเอิ้น…” น้ำตารวมกันที่เบ้าตาของเธอ
“เต๋อเอิ้น” เธอกอดศพพร้อมร้องไห้โฮ
…
สองชั่วโมงต่อมา
ซูฉินจุดธูปดอกหนึ่งให้แก่หลุมศพด้านหน้าเงียบๆ สมาชิกอีกสองคนพันผ้าพันแผลไว้เต็มแขน คนหนึ่งสวมขาเทียมจักรกลไว้ข้างหนึ่งและตาหายไปดวงหนึ่ง
ตัวซูฉินนับว่าโชคดี อวัยวะภายในถูกกระแทกจนย้ายตำแหน่ง ตับมีเลือดออก กระเพาะฉีก และกระดูกสันหลังหักสี่ท่อนเท่านั้น เทียบกับคนอื่นแล้ว ไม่ถือว่าบาดเจ็บอะไรนัก
“ฉันนี่มันโง่…โง่จริงๆ…” ใบหน้าซูฉินเต็มไปด้วยน้ำตา
“ตอนที่ถูกกระแทกจนบาดเจ็บสาหัส ฉันน่าจะให้พวกเธอละทิ้งปฏิบัติการณ์แต่แรก...”
“เป็นความผิดของฉันเอง…” เธอร้องไห้อย่างโทษตัวเอง
“หัวหน้า”
“พี่ใหญ่”
คนอีกสองคนก็โศกเศร้าเสียใจเช่นกัน เดินเข้ามาประคับประคองกัน ก้มหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวด
“พวกเขากำลังใช้ดินบำบัดอยู่เหรอ” ไป๋จวิ้นเฉิงและอันซาที่อยู่ไม่ไกลมองคนพวกนี้ร้องไห้อย่างแปลกใจ
“คนตายไปแล้ว ใช้ดินบำบัดแบบนี้ยังมีประโยชน์เหรอ” อันซาผุดสีหน้าสงสัย
ลู่เซิ่งบอกให้พวกเขาสองคน มาพาพวกซูฉินไปรักษา
โดยเฉพาะคนที่ใกล้ตายแต่ยังไม่ตาย หากไม่เร่งมือคงได้ไปโลกหน้าจริงๆ แน่
เพียงแต่พอพวกเขามาถึง ก็เห็นคนพวกนี้ฝังคนคนนั้นไปแล้ว
“บางทีนี่อาจเป็นวิธีการรักษาในบ้านเกิดพวกเขาก็ได้” อันซาเดา
พิธีศพของจักรวรรดิมอธจะใช้การเผา ไม่เคยฝังดิน
“อย่างนั้น…พวกเรารออีกสักพักไหม” ไป๋จวิ้นเฉิงถาม
“ได้”
สิบนาทีต่อมา พวกซูฉินก็ทำท่าจะจากไป
พวกไป๋จวิ้นเฉิงมองดูพวกเขาบ่ายหน้าลงเขาตาปริบๆ ทิ้งคนที่ยังไม่ตายสนิทคนนั้นไว้ในดินบนภูเขา
ทั้งสองพลันกระจ่างแจ้ง รีบเรียกคนมาขุดดิน จากนั้นก็หามผู้บาดเจ็บตรงดิ่งไปยังโถงเก้าชีวิต
…
ณ ศูนย์ใหญ่โถงเก้าชีวิต
‘หรือว่าพวกพระเจ้าจะไม่มีกลไกปกติในการตัดสินความเป็นความตาย พวกเขาไม่รู้เหรอว่าเพื่อนตัวเองตายหรือไม่ตาย’
ลู่เซิ่งค่อนข้างสงสัย ขณะกดนิ้วบนร่างคนที่ยังไม่ตายดีตรงหน้า
วิถีแรงหลายวิถีที่ใช้แรงต่างกันซึมผ่านเสื้อผ้าและผิวหนังเข้าไปในกล้ามเนื้อ กระตุ้นอวัยวะสำคัญในตัวคนคนนี้
ครู่ต่อมาเขาก็หยุดวิชา
“หามลงไปเถอะ” ลู่เซิ่งลุกขึ้นจากข้างเตียงคนป่วย
พวกศิษย์หลายคนเข้ามาหามคนที่ชื่อเต๋อเอิ้นลงไป
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในโถงใหญ่
ไขกระดูกอันเป็นชีวิตที่ห้าซึ่งอยู่ต่อจากเลือดทำให้ร่างกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดิน การเปลี่ยนแปลงของไขกระดูกกำลังวางรากฐานให้แก่การวิวัฒนาการไขสมอง ทำให้คุณสมบัติชีวิตของเขาวิวัฒนาการสูงขึ้นกว่าเดิม
‘เพียงแต่ ถ้าดูจากข้อมูลที่ซูฉินบอก อีกหนึ่งปี ดาวเคราะห์ดวงนี้จะถูกทำลาย สหพันธ์พลังจิตกับแสงดาวสีครามต่างก็มีทูตพลังงานมืดที่เหนือกว่าทูตควบคุมอยู่ ถ้าตอนนี้เราไปสู้ด้วยตรงๆ เราคนเดียวไม่กลัว แต่คนรอบตัวน่าจะถูกฆ่าทิ้งหมด’
ลู่เซิ่งใคร่ครวญอย่างรอบคอบ
สิ่งที่เขาต้องการคือโครงข่ายเส้นสายและโครงข่ายขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ ลู่หนิงจะต้องอยู่ที่นี่แน่ หากจะหาตัวลูกชายให้เจอ ถ้าไม่มีขุมกำลังที่แกร่งพอในเขตดาวที่ใหญ่แบบนี้ ก็ไม่มีวันหาใครเจอ
‘ถ้าไม่ใช้เงินเป็นรางวัล ก็ต้องใช้อำนาจตัวเองตรวจสอบ หรือไม่ก็ทำทั้งสองอย่างพร้อมๆ กัน’ ลู่เซิ่งคำนวณในใจ
“ประมุขพรรค พวกซูฉินรอพบอยู่ครับ” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ ตรงประตู
“ให้พวกเขาเข้ามา” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงเรียบ
ไม่นานนัก ซูฉินก็พาคนอื่นๆ เร่งฝีเท้าเดินเข้าโถงใหญ่
อาการบาดเจ็บของพวกเขาได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมแล้ว แต่ตาที่บอดก็ยังคงบอด แขนที่ขาดก็ยังคงขาด
เพียงแต่ภายนอกไม่ได้ดูน่าสมเพชเท่าเดิม
พอเข้ามาในโถงใหญ่แล้วเห็นลู่เซิ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง พวกเธอก็หวนนึกถึงภาพอันน่าสะพรึงกลัวตอนคนคนนี้ต่อสู้กับเนเซียนเมื่อก่อนหน้านี้ทันที
แค่คลื่นกระแทกที่เกิดจากการที่ทั้งสองปะทะกัน ก็ทำให้ทีมร้องเล่นเต้นรำของพวกเธอหมดหวังจนเกือบไม่รอดกลับมาแล้ว
ถ้าไม่ใช่ต่อจากนั้นพวกเธอย้ายที่ เกรงว่าทีมของพวกเธอคงพินาศย่อยยับ
“ทำไม…พวกเธอมีสภาพแบบนี้ล่ะ” ลู่เซิ่งแสร้งทำท่าตกใจพร้อมเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเหมือนฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น
“เจอ...อุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ…” ซูฉินข่มความเจ็บปวดและความจนปัญญาในใจพลางเอ่ยเสียงแผ่ว
ความจริงพวกเธอรู้ว่าเรื่องนี้จะโทษลู่เซิ่งไม่ได้
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าพวกเธอซุ่มช่วยเหลืออยู่ จึงลงมือหนักไปบ้าง ว่ากันไม่ได้
“ประมุขโถง ที่พวกเรามา ก็เพราะหวังว่าคุณจะทำตามคำสัญญาที่ได้ตกลงกับพวกเราเมื่อก่อนหน้านี้” ซูฉินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่มีปัญหา” ลู่เซิ่งตอบอย่างตรงไปตรงมา “แต่ว่าพวกเธอไม่รู้ข้อมูลพื้นฐานของทีมอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ไม่มีทั้งรูปภาพ ไม่มีทั้งร่องร่อยใดๆ แบบนี้ฉันก็กำหนดพิกัดไม่ได้หรอกนะ”
“ช่วงนี้เกิดศึกตะลุมบอนเพิ่มขึ้น ข้อมูลข่าวสารทั้งหมดถูกปิดไว้ แม้แต่เพื่อนในทีมของพวกเราเองก็จนปัญญาเหมือนกัน…” สมาชิกทีมคนหนึ่งด้านหลังซูฉินอดอธิบายไม่ได้ แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกซูฉินหยิกอย่างแรง
“เป็นแบบนี้ พวกเราเจอร่องรอยทีมของอีกฝ่ายแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้ พวกเรามีความสามารถต่อต้านการตรวจสอบในระดับหนึ่ง ทำให้แยกแยะสถานะของอีกฝ่ายได้อย่างคร่าวๆ” ซูฉินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในเมื่อพวกเขามาที่เมืองนี้แล้ว แสดงว่าต้องการฆ่าใครบางคน”
“ก็ได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ขอให้พวกเธออยู่ใกล้ๆ ศูนย์ใหญ่ไว้ เกิดมีอันตรายอะไร คนของทางนี้จะได้ช่วยได้ทันที” ลู่เซิ่งกำชับ
เขาเองก็สนใจมากว่า การต่อสู้กันระหว่างสมาชิกทีมเล็กๆ พวกนี้อยู่ในระดับไหน ความจริงเขาไม่ได้เพ้อฝันเรื่องระดับพลังงานมากนัก หลักๆ จะเน้นที่การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์บนโลกต่างๆ ที่มีระบบพลังงานหลายอย่างมากกว่า
เขาถูกโลกทุกใบสะกดจนได้แต่ฝึกฝนใหม่ จึงวางแผนจะสำรวจดูว่าคนพวกนี้จัดการปัญหานี้ยังไง
“ประมุขโถงอย่าประมาทนะคะ บางทีพลังอีกฝ่ายอาจจะสู้คุณไม่ได้ แต่มีความสามารถหลากหลาย ทั้งยังวางแผนร้ายไว้มากมายจนป้องกันไม่ไหว” ซูฉินมองข้อมูล ตรงนั้นไม่มีอะไรชัดๆ แต่เธอกลับเหมือนอ่านเนื้อหาอะไรสักอย่างอยู่
“ตั้งแต่คืนนี้จนถึงวันมะรืนจะมีการปะทะกันเล็กๆ ครั้งหนึ่งเกิดขึ้น ทุกอย่างอยู่ที่ประมุขโถงแล้วค่ะ” ซูฉินกล่าวอย่างจริงจัง
“เพื่อแลกเปลี่ยน ฉันต้องการให้เธอบอกฉันว่า จะหลีกเลี่ยงภัยพิบัติของดาวแฝดคู่ได้ยังไง” ลู่เซิ่งถามกลับ
“เรื่องนี้ พวกเราค่อยๆ พูดกันไปทีละขั้นเถอะค่ะ คุณจะแยกแยะได้แน่ว่าจริงหรือปลอม” ซูฉินกล่าวอย่างหนักแน่น
“นอกจากนี้ ไม่ทราบว่าวิชาพันโซ่ตรึงมังกรฉบับง่ายที่ประมุขโถงมอบให้พวกเรามีฉบับสมบูรณ์ไหมคะ” เธอถามอย่างคาดหวัง
ลู่เซิ่งฉุกใจ ก่อนพิจารณาพวกเธออย่างละเอียด เทียบกับตอนเจอกันครั้งแรก เค้าโครงร่างกายของพวกเขากำยำขึ้นกว่าเดิมมาก
วินิจฉัยจากเสียงหัวใจและเสียงปอด อวัยวะภายในของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าเดิมไม่น้อย
เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน แต่กลับมาถึงขั้นนี้ได้
แต่ลู่เซิ่งทราบว่า สิ่งที่เหมาะกับพวกเขาที่สุดคือวิชาที่สำเร็จเร็วแบบนี้ เพราะอย่างไรพอกลับไปแล้วก็มีเทพเจ้าฟื้นฟูให้
ขณะมองสายตารอคอยด้านหน้า ลู่เซิ่งก็ไตร่ตรองเล็กน้อย
“ฉันถ่ายทอดวิชาพันโซ่ตรึงมังกรฉบับสมบูรณ์ให้พวกเธอได้ แต่ฉันต้องการให้พวกเธอช่วยอย่างหนึ่ง”
ด้านหน้าพวกซูฉินสามคนปรากฏแถบภารกิจขึ้นโดยอัตโนมัติอย่างแทบจะพร้อมกัน
‘ประมุขโถงเก้าชีวิตหวังมู่ ต้องการให้คุณช่วยเหลือ หลังจากจัดการสำเร็จจะมีการตอบแทนอย่างดี รางวัลภารกิจ: วิชาพันโซ่ตรึงมังกรฉบับสมบูรณ์ (ระวัง: หากจ่ายคะแนนศักยภาพเพื่อยกระดับวิชาพันโซ่ตรึงมังกรของหวังมู่ จะไปได้ถึงระดับเจ็ดเท่านั้น)’
ทั้งสามผุดสีหน้ายินดีอย่างปิดไม่อยู่ นี่มันภารกิจสายรองนี่นา
ลู่เซิ่งมองสีหน้าของคนทั้งสามที่เปลี่ยนจากเย็นชาเป็นยินดีและเอาใจอย่างนึกประหลาดใจ
“ภารกิจง่ายมาก ฉันต้องการให้พวกเธอช่วยเหลือในการทดลองทักษะครั้งหนึ่งของฉัน”
เขาอยากจะเห็นมากว่า ตอนนี้คนพวกนี้ได้รับการสะกดจากโลกระดับพลังงานสุดยอดใบนี้ไหม
พึงทราบว่าเขาในตอนแรกสุดถึงขั้นถูกการสะกดของที่นี่สะกดร่างหลักจนใช้การอะไรไม่ได้เลย
พวกซูฉินลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตอบรับ
นี่ไม่ใช่คำขอที่ยุ่งยากอะไร ถือเป็นการทำความเข้าใจพลังของฝ่ายตัวเองก่อนสู้ศัตรูไปในตัว
……………………………………….