ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1053 แลกเปลี่ยน (1)
ลู่เซิ่งเดินออกจากเขตได้ไม่นาน หวังรั่วจิ้งก็ตามมา
“ต่อจากนี้จะไปอีกที่ไหมคะ”
“แน่นอน” ลู่เซิ่งพยักหน้า
คำพูดและการกระทำของหวังอวี๋หมินได้แสดงความตั้งใจให้เห็นแล้ว
ครอบครัวใหม่กับครอบครัวเก่า ช่างน้ำหนักดู แค่มองดูก็เข้าใจ
“ถ้าพี่อยากจะไปหาแม่ของพี่…ฉันว่าพี่ไม่ต้องไปแล้วก็ได้ค่ะ” หวังรั่วจิ้งพลันชะงักฝีเท้า
ลู่เซิ่งหยุดเดินแล้วหันมามองเธอ
หวังรั่วจิ้งชี้คาเฟ่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป
หญิงชราผมหงอกคนหนึ่งยืนมองมาทางลู่เซิ่งผ่านกระจกร้านคาเฟ่
“ฉันโทรศัพท์ไว้แล้วค่ะ คุณป้ามารอตรงนั้นมานานแล้ว” หวังรั่วจิ้งยักไหล่ “ฉันคุยกับคุณป้าเรื่องพี่ตั้งแต่ก่อน นพี่จะมาแล้ว”
ลู่เซิ่งจำได้ทันทีว่าหญิงชราเป็นใคร เขาเคยเห็นจากข้อมูลที่ได้รับ
อีกฝ่ายก็คือแม่ของหวังมู่นั่นเอง
เทียบกับพ่อหวังอวี๋หมินที่ธรรมดาแล้ว ชีวิตของแม่คนนี้มีการผกผันเล็กน้อย
แม้ตอนนี้เธอจะสร้างครอบครัวใหม่เช่นกัน แต่เธอแตกต่างจากหวังอวี๋หมินตรงที่ลูกชายที่เธอให้กำเนิดเสียชีวิตก่อน นวัยอันควร ต่อมาเพราะอุบัติเหตุ ทำให้เธอและสามีในปัจจุบันมีลูกด้วยกันอีกไม่ได้
หมายความว่า ลูกเพียงคนเดียวของเธอในตอนนี้ก็คือหวังมู่
ลู่เซิ่งมองดูใบหน้ากระวนกระวายของแม่หวังมู่อย่างเงียบๆ อยู่สักพัก
“ไปเถอะ ในเมื่อมาแล้ว ก็ลองคุยกันดู”
หวังรั่งจิ้งรีบพยักหน้า
ทั้งสองทยอยเดินเข้าคาเฟ่
พวกเขาเดินตามทางมาถึงข้างโต๊ะแม่หวังมู่
“จิ้งจิ้ง…พวก…พวกหลานมาแล้วเหรอ” แม่หวังมู่เป็นหญิงชราที่สวมเสื้อผ้าค่อนข้างหรู ดูมีชีวิตดีกว่าหวังอวี๋ห มินอยู่บ้าง แต่ก็ดูแก่ไปหน่อย อาจเป็นเพราะชีวิตในหลายปีมานี้ไม่ค่อยมีความสุขนัก
ลู่เซิ่งกับหวังรั่วจิ้งนั่งลงแล้วสั่งกาแฟกันคนละแก้ว
ทั้งสามนั่งเงียบๆ แม่หวังมู่รองแก้วกาแฟเอาไว้ในมือ ก้มหน้าไม่ทราบจะพูดอะไรดี
“หลายปีมานี้…ลูกยังสบายดีไหม” เธอถามเบาๆ
“สบายดีครับ…” ลู่เซิ่งพยักหน้า
หลังจากโจวเย่แม่ของหวังมู่หย่าก็ไม่เคยมีความสุขอีกเลย
ถึงสามีคนที่สองของเธอจะมีเงินมากมาย แต่การไม่มีทายาทเป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอมาโดยตลอด
โจวเย่ยกกาแฟขึ้นขณะมองลู่เซิ่ง เกิดความรู้สึกเหมือนมองดูสามีคนแรกตอนวัยเยาว์
“ลูก ยังอยากจะอยู่กับแม่ไหม” โจวเย่ถามเสียงแผ่ว
“ไม่ ผมก็แค่มายืนยันเรื่องบางเรื่องเท่านั้น” ลู่เซิ่งตอบเรียบๆ “ผมไม่อยากจะเสียใจทีหลัง”
“เสียใจหรือ” โจวเย่งุนงง
ลู่เซิ่งไม่พูดอะไรอีก เพียงยกกาแฟขึ้นจิบเท่านั้น
ทั้งสามต่างก็เงียบเสียง
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับโจวเย่ดี แม้ว่าจะเป็นแม่ของหวังมู่ แต่ปัญหาคือไม่ใช่แม่ของเขา
“ความจริง…ทุกอย่างนี้เป็นความผิดของแม่เอง…” โจวเย่ก้มหน้าลง หยดน้ำตาร่วงผล็อย
“ตอนนั้น สาเหตุที่พวกเราหย่ากัน สาเหตุที่ ต่อมาหวังอวี๋หมินไม่ยอมรับลูก…ความจริงเป็นความผิดของแม่เอง…”
เธอเล่าอย่างละเอียด ค่อยๆ สารภาพความจริงที่ปิดไว้มานานหลายปี
เดิมทีตอนนั้น เธอกับหวังอวิ๋นหมินมีชีวิตแต่งงานที่สวยงาม ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยรวมนับว่าไม่เลว
เพียงแต่ต่อมา เธอออกไปพบเพื่อนทางอินเทอร์เน็ต จากนั้นก็เกิดความสัมพันธ์กันขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะฤทธิ์เหล้า า
ภายหลังหวังอวี๋หมินรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรก็ไม่ทราบ
และต่อจากนั้นโจวเย่ก็ท้องพอดี
ทั้งสองอยู่ด้วยกันสักพักจนกระทั่งลูกเกิดออกมา ในที่สุดก็ทนอยู่ไม่ได้อีกต่อไป ทั้งสองจึงประกาศหย่า
แม้การตรวจสอบดีเอ็นเอจะบอกว่าเป็นลูกของตัวเอง
แต่หวังอวี๋หมินรู้สึกว่าภรรยาไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป ต่อให้ลูกคนนี้จะเป็นลูกของตัวเอง ก็เป็นไปได้มากว่ายีนส่ วนหนึ่งจะมียีนของคนอื่นอยู่ด้วย
จากนั้นทั้งสองก็หย่ากันและไม่ต้องการลูกเพราะสาเหตุนี้
หวังอวี๋หมินรู้สึกว่าลูกสกปรก ส่วนโจวเย่คิดว่าลูกคือหวังอวี๋หมิน เธอเห็นลูกชายเหมือนกับหวังอวี๋หมิน จึง งทนไม่ไหว
ตอนนั้นทั้งสองจึงไม่ต้องการหวังมู่
นี่ทำให้ชีวิตวัยเด็กของหวังมู่ลำบากอย่างมาก
โจวเย่เล่าเรื่องนี้ออกมา ความจริงโผล่พ้นน้ำ เป็นเพราะความผิดบาปและความหวังที่ตัวเองไม่มีลูก เธอจึงอยากให้ห หวังมู่เปลี่ยนความคิดไปอยู่กับเธอ
“ตอนนี้แม่เองก็ตัวคนเดียว สามีของแม่…จากไปหลายปีแล้ว…เหลือแค่แม่คนเดียว…เขาเองก็ไม่มีญาติ…” โจวเย่ปาด ดน้ำตาพลางก้มหน้ากล่าวเสียงอ่อน
“ผมพอเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว วันนี้พอแค่นี้เถอะ” ลู่เซิ่งลุกขึ้นช้าๆ “ผมโตขึ้นมาตัวคนเดียว ถ้าจะให้กลับไปอ อยู่ด้วยกันเหมือนก่อนหน้า ก็ผิดกับโลกความจริงเกินไปหน่อย ให้เวลาทุกฝ่ายได้ไต่ตรองและปรับตัวเถอะครับ”
เขามองทะลุพวกหวังอวี๋หมินและโจวเย่
ความจริงสองคนนี้เป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก ไม่อย่างนั้นตอนนั้นคงไม่ตั้งใจหย่ากันแล้วทิ้งเด็กอายุไม่กี่ขวบหรอก
ตอนนี้หวังอวี๋หมินไม่ยอมรับเขา แต่ที่โจวเย่ยอมรับเขาก็เพราะตัวเองล้วนๆ
มิน่าหวังมู่เลยมีนิสัยประหลาดและไม่เข้าสังคมอย่างนั้น
ลู่เซิ่งเดินออกจากคาเฟ่โดยไม่สนใจโจวเย่ที่สะอึกสะอื้น ตอนนี้ข้างนอกเป็นเวลาเที่ยงแล้ว
แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิเข้าฤดูหนาวกระจ่างใสและอ่อนบาง ไร้ความอบอุ่นเหมือนความสัมพันธ์ในครอบครัวของหวังมู่ที่เ เขาเพิ่งเจอมา
ครุ่นคิดเล็กน้อย ลู่เซิ่งยังคงกดเบอร์โทรศัพท์
หลังจากเสียงรอสายดังสองครั้งก็มีคนรับโทรศัพท์
“อาจารย์หรือ” เสียงของเว่ยหานตงดังมาจากอีกฝั่ง
“จัดการรายชื่อ หวังอวี๋หมินและโจวเย่…” ลู่เซิ่งเว้นเล็กน้อยก่อนหันกลับไปเห็นโจวเย่ที่ยังยืนอยู่ในคาเฟ่พ พลางมองตนผ่านกระจก
“เก็บที่ไว้ให้พวกเขาด้วย”
“สมาชิกครอบครัวในตอนนี้ด้วยไหมครับ”
“ใช่”
“เข้าใจแล้วครับ อาจารย์ รักษาตัวด้วยนะครับ” เว่ยหานตงเข้าใจสถานการณ์ของหวังมู่เล็กน้อย จึงปลอบเบาๆ
“ไม่เป็นไร”
ลู่เซิ่งวางสาย เขาทำแบบนี้เพราะเห็นแก่บุญคุณให้กำเนิดของทั้งสอง
ต่อจากนี้ทางใครทางมัน
เขาหันหลังกลับพลางสาวเท้าเดินไปยังที่ไกล
หวังรั่วจิ้งรีบตามมา
“พี่ ตอนนี้จะไปไหนเหรอคะ” เธอตามมาอย่างเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย
“มีอะไรเหรอ” ลู่เซิ่งมองเธอพร้อมลดความเร็วลง
“เปล่าค่ะ แค่ถามเฉยๆ…” หวังรั่วจิ้งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตนถึงได้เข้าใจหวังมู่ขนาดนี้
“ป้าโจว…ยอมรับพี่จากใจจริงนะคะ พี่ให้เวลาป้าเขาหน่อยได้หรือเปล่าคะ…”
เธออดเกลี้ยกล่อมไม่ได้
“ฉันก็ทำเพื่อแม่นั่นแหละ” ลู่เซิ่งกล่าวเรียบๆ “ฉันกินข้าวเยอะ แม่เลี้ยงฉันไม่ไหวหรอก”
“หา” หวังรั่วจิ้งไม่เข้าใจว่านี่เกี่ยวอะไรกับการกินเยอะ ต่อให้จะกินเยอะสักขนาดไหน ตอนนี้ป้าโจวเย่ก็เป็นค คนรวยตัวจริงเสียงจริง เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ราคาหลายสิบล้านจะเลี้ยงคนกินจุคนหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ
“ป้าโจวรวยนะคะ น่าจะไม่ถึงกับ…”
“เห็นร้านร้านนี้ไหม”
จู่ๆ ลู่เซิ่งก็หยุดฝีเท้าแล้วชี้ร้านก๋วยเตี๋ยวขนาดใหญ่แห่งหนึ่งริมทาง
“ทำไมคะ”
“วันหนึ่งฉันต้องกินร้านแบบนี้สิบร้าน” ลู่เซิ่งกล่าวจบก็หมุนตัวผละไป
“?!”
หวังรั่วจิ้งตกตะลึง
ที่นี่คือเขตเมืองนะ ร้านแบบนี้ราคาอย่างต่ำก็ปาไปหลายล้านแล้ว
วันหนึ่งกินสิบร้านหรือ ก็เท่ากับเป็นเงินหลายสิบล้านไม่ใช่เหรอลู่เซิ่งไม่ได้โกหกจริงๆ
สิ่งที่เขากินในตอนนี้เป็นอาหารเหลวและก้อนสารอาหารความเข้มข้นสูง พูดถึงมูลค่าอย่างเดียว หากบอกว่าวันเดียวต้ องจ่ายหลายสิบล้านก็ไม่ถือว่าโม้จริงๆ
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ตอนนี้ขอบเขตที่ศิษย์แกนกลางของเขาฝึกถึง ก็ต้องการปริมาณอาหารมากสุดขีดเช่นกัน
ครอบครัวทั่วไปช่วยเหลือไม่ไหวหรอก
อาหารเหลวที่พวกเขากิน หากคนธรรมดาดื่มลงไป กระเพราะได้ถูกเผาทะลุเป็นรูแน่
เนื่องจากความเข้มข้นสูงเกินไป ระดับความเป็นกรดจึงเพิ่มขึ้นถึงขั้นอลังการเช่นกัน
หวังรั่วจิ้งได้สติกลับมา ก่อนจะรีบไล่ตามลู่เซิ่งที่อยู่ไกลไป
เพิ่งเดินเข้าใกล้ เธอก็เห็นลู่เซิ่งหันกลับมา
“วันนี้รบกวนเธอแล้ว ฉันยังมีธุระ ไม่ส่งเธอกลับบ้านนะ ถ้ามีปัญหาอะไรให้โทรศัพท์หาฉันได้เลย”
“เอ๋…?” หวังรั่วจิ้งยังคิดพูดอะไรสักอย่าง แต่เห็นลู่เซิ่งโบกมือมาด้านหลัง หยิบกุญแจออกมากด จากนั้นรถสีดำ คันใหญ่ที่จอดอยู่ริมทางก็ส่งเสียงปิ๊บๆ
เธอเพ่งมองไป นั่นมันรถคันใหญ่ที่ไหนกัน นี่มันรถกันกระสุนขนาดหนักชัดๆ หลังคารถมีรางยิงจรวดที่เพิ่งถอดทิ้ งสองราง
“…” หวังรั่วจิ้งอ้าปาก มองลู่เซิ่งปิดประตูรถดังปังแล้วค่อยๆ ขับรถออกไปอย่างตกตะลึง สมองประมวลผลไม่ทัน
…
พอจัดการเรื่องครอบครัวเสร็จ ลู่เซิ่งก็กลับโถงหลัก ก่อนจะได้รับคำขอใหม่
ไป๋จวิ้นเฉิงเจอคู่ต่อสู้ที่ค่อนข้างตึงมือตอนซื้ออุตสาหกรรมหินกิเลน ตอนนี้เขารับผิดชอบการซื้อธุรกิจอย่างถูกต้ อง เพราะลู่เซิ่งสั่งเอาไว้ว่า พยายามทำตามกฎหมายในตอนที่ซื้อทุกครั้ง
ดังนั้นไป๋จวิ้นเฉิงจึงยึดหลักการนี้มาโดยตลอด ใช้เส้นสายและเงินทุนจากทั้งเส้นทางขาว เส้นทางดำ และเส้นทางเทาของ งโถงเก้าชีวิตที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ซื้ออุตสาหกรรมเมืองแร่ของคนอื่นอย่างถูกต้อง
แต่ครั้งนี้เขาเจอคู่ต่อสู้แล้วจริงๆ
อีกฝ่ายเป็นประธานบอร์ดบริหารควบตำแหน่งผู้จัดการของบริษัทเหมืองแร่
หลังจากสู้กับไป๋จวิ้นเฉิงหลายกระบวนท่า อีกฝ่ายได้ใช้ความสามารถพิเศษ ทำให้ไม่แพ้
และตอนนี้ หญิงแกร่งแห่งบริษัทเหมืองแร่คนนี้ก็ได้เสนอคำขอแลกเปลี่ยนโดยจะมอบเหมืองหินกิเลนให้ฟรีๆ
คำขอคือต้องการพบลู่เซิ่ง หวังจะใช้อุตสาหกรรมหินกิเลนเป็นแต้มต่อในการทำธุรกิจกับหวังมู่
ลู่เซิ่งค่อนข้างสนใจเช่นกัน
เป็นเพราะเขาได้รู้จากไป๋จวิ้นเฉิงว่า หญิงแกร่งคนนี้มีชื่อว่าไป๋ซ่งเตี๋ย เป็นอัจฉริยะที่เพิ่งมีอายุได้ยี่สิบ บหกปี
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ สองสามเดือนก่อนเธอยังเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาที่ไร้ชื่อเสียง ชอบเล่นเปียโน รักการวิ่ง หน้าตาโดดเด่น ทั้งยังเตรียมตัวออกจากดาวแฝดคู่ไปเรียนที่ดาวอื่นด้วย
ผลคือเพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน เธอก็กลายเป็นผู้บริหารควบตำแหน่งผู้จัดการของบริษัทเหมืองแร่ขนาดใหญ่
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจไปพบเธอ
เป็นเพราะแฟ้มข้อมูลของเธอคล้ายกับคนจากทีมเทพเจ้าอย่างซูฉินมาก
อีกฝ่ายไม่สนใจวิธีการ ใช้ผลประโยชน์มากมายขนาดนี้เพื่อขอพบหน้าตน ลู่เซิ่งมีเหตุผลให้เชื่อว่า ผู้หญิงคนนี้จะ ะต้องมีเป้าหมายและวิธีการพิเศษบางอย่าง เธออยากจะบรรลุจุดประสงค์บางอย่างจากตน
ความจริง เขาสนใจในตัวคนจากทีมเทพเจ้าพวกนี้เป็นอย่างยิ่ง