ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1055 ความก้าวหน้า (1)
ณ บริษัทค่วงอวิ๋น
ตึกระฟ้าสูงสามร้อยห้าสิบชั้นแทงขึ้นด้านบนเหมือนกับดาบคมสีเงินเล่มหนึ่ง
ทิวทัศน์ทั้งหมดในเมืองม่ออวิ๋นสามารถมองเห็นได้ทั้งหมดจากยอดตึก
ไป๋ซ่งเตี๋ยนอนอยู่บนโซฟาอย่างเกียจคร้าน ถือเหล้าผลไม้สีชมพูแวววาวในมือ เหล้ากระเพื่อมเบาๆ สายตามองทิวทัศน์กว้างขวางด้านล่างหน้าต่างติดพื้นอย่างเรียบเฉย
เธอเป็นผู้หญิงที่รู้จักหาความสุขคนหนึ่ง
ข้อนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ก่อนที่เธอจะเข้ามิติเทพเจ้า และหลังจากรอดมาได้อย่างโชคช่วยในภารกิจพิเศษครั้งหนึ่ง เธอก็ได้รับความสามารถพิเศษชนิดหนึ่งมาอย่างโชคดี
ความสามารถพิเศษที่เข้าไปในห้วงจิตสำนึกของคนอื่นๆ แล้วเพาะตราประทับทาสผ่านพลังจิต
ห้วงจิตสำนึกไม่ใช่ห้วงจิตใจ มันคือสถานที่พิเศษที่ทุกคนมี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของพลังจิต หากแต่เกี่ยวข้องกับพลังความตั้งใจ
ยอดฝีมือหลายคนมีกองกำลังแข็งแกร่ง พลังเหี้ยมหาญ และพลังจิตยิ่งใหญ่ แต่ความแข็งแกร่งของห้วงจิตสำนึกอาจจะแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาไม่เท่าไหร่
เธอใช้พรสวรรค์จากสภาพแวดล้อมพิเศษวางแผนการ ในที่สุดก็สะสมเงินทุนตั้งตัวก้อนแรกได้
จากนั้นก็เป็นการเริ่มต้นชีวิตที่กล้าแข็งของตัวเธอ
“หัวหน้า จองตั๋วเครื่องบินตอนบ่ายเรียบร้อยแล้วครับ” ชายวัยกลางคนผู้ผ่านโลกมามากเจ้าของผมสั้นสีดำเดินเข้ามาแจ้งเบาๆ
เขากวาดสายตาผ่านร่างที่สมบูรณ์แบบของไป๋ซ่งเตี๋ยอย่างอดไม่ได้
ร่างกายอวบอิ่มที่อยู่ใต้กี่เพ้าสีดำ ทรวงอกตั้งตระหง่านและเอวคอดกิ่ว ต่างก็น่าหลงไหล
จากมุมมองของเขา จะเห็นส่วนต้นขาและส่วนลึกลับโผล่มาวับแวมใต้ชายกี่เพ้าส่วนที่เว้าได้ สองขาสีขาวหิมะสมบูรณ์แบบไร้รอยตำหนิเหมือนหยกขาว ทั้งยังเรียวยาวกลมกลึง
ไป๋ซ่งเตี๋ยพาดขาท่อนปลายไว้ข้างโซฟา นอนตะแคงเล็กน้อย ผมยาวสีดำที่นุ่มสลวยและสว่างไสวห้อยตกลงมาจากโซฟาอย่างแผ่วเบา
“ถึงสุดท้ายโถงเก้าชีวิตจะถูกทำลาย แต่ก็อดทนอยู่ระหว่างสององค์กรใหญ่ได้นาน แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีพลัง หลังจากรับเป็นพวกแล้ว จะมีส่วนช่วยต่อฉันอย่างมาก”
“หัวหน้าไม่ต้องห่วงครับ” ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่สมบูรณ์แบบและขาวผ่อง ดวงตาฉายแววหลงไหล
“ครั้งนี้ต้องการให้พวกเราไปเป็นเพื่อนท่านไหมครับ”
“ไมโลล่ะ ให้เขาไปด้วย ไม่ได้ชิมเค้กหิมะที่เขาทำมานานแล้ว” ไป๋ซ่งเตี๋ยยิ้มหยาดเยิ้มจนชายวัยกลางคนตาค้างและเกือบสติหลุด
“เข้า…เข้าใจแล้วครับ” เขาค่อยๆ ถอยไป
ไป๋ซ่งเตี๋ยลุกขึ้นจากโซฟา เครื่องหน้าของเธอเหมือนคนตะวันออก ให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูและไร้เดียงสา เพียงแค่จ้องมองคนอื่น ก็ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเธอเหมือนกับกำลังวิงวอนอย่างน่าสงสารอยู่
นี่เป็นเหตุให้คนอื่นๆ ไม่สามารถปฏิเสธคำขอใดๆ ของเธอได้
แต่ตอนที่เธอเม้มปากสีชมพู บุคลิกไร้เดียงสานี้กลับกลายเป็นความยั่วยวนทันที
ยามยิ้มและยามขมวดคิ้วต่างมีจุดที่ชวนให้คนใจเต้น
นี่คืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอ
หวังมู่แห่งโถงเก้าชีวิต หลีเฉ่าจงแห่งบริษัทจวี้อี สองคนนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องเอามาครองให้ได้
เธอจิบเหล้าในแก้วอย่างแผ่วเบา
ดวงตาของเธอเหม่อลอยอยู่บ้าง ในเมื่อเธอตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการเดินหมากกับทีมปีศาจและทีมเทวทูตในครั้งนี้ ก็ต้องชิงความได้เปรียบโดยการรวบรวมสิ่งที่รวบรวมได้ไว้ก่อน
ทีมกระบี่กางเขนมีพลังโดยรวมไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ จะต้องดูดซับและกำจัดทีมเล็กๆ ที่ทำลายได้ให้หมด จากนั้นค่อยรวบรวมกองกำลังที่มี ไม่ว่าจะเป็นผู้กลับชาติมาเกิดใหม่หรือตัวประกอบต่างก็ไม่เกี่ยวทั้งสิ้น
ควบคุมตัวหวังมู่ก่อน จากนั้นค่อยไปหาหลี่เฉ่าจง ตามการคาดการณ์ โอกาสที่ใหญ่ที่สุดบนดาวเคราะห์ดวงนี้น่าจะอยู่ที่หลี่เฉ่าจง
การรอให้ตัวละครหลักไปเจอโอกาสโดยไม่ทำอะไร แล้วค่อยไปแย่งเหมือนคนอื่นๆ นั้นโง่เง่าเกินไป
“ราชาพฤกษา ครั้งนี้ต้องพึ่งคุณอีกแล้ว” เธอกล่าวเสียงแผ่ว
“ไว้ใจข้าได้เลย” กิ่งไม้โปร่งแสงนับไม่ถ้วนเกี่ยวกระหวัดออกมาแล้วสานกันเป็นสัตว์ประหลาดสีดำสูงใหญ่ที่น่ากลัวด้านหลังของเธอ
…
สาขาโถงเก้าชีวิต
ณ ชั้นบนสุดของโรงแรมเยี่ยนเป่ย เมืองอันหมิง
ลู่เซิ่งกำลังละเลียดกินควายดำย่างตัวหนึ่งอยู่ในภัตตาคารหมุนที่สร้างขึ้นบนชั้นสูงสุดของโรงแรม
เนื้อขนาดใหญ่กองพะเนินอยู่ในจานด้านหน้าเขา ขนาดของมันยังใหญ่กว่าเขาเสียอีก
เขาใช้มีดหั่นเนื้อควายขนาดเท่ากำปั้นออกมาเบาๆ จากนั้นเขาก็ยัดมันใส่ปากพร้อมกับค่อยๆ เคี้ยว ก่อนจะกลืนลงคออย่างสบายๆ
เนื้อควายขนาดใหญ่กำลังลดลงด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้
ศิษย์ของโถงเก้าชีวิตกระจายกำลังคุ้มกันอยู่นอกภัตตาคาร คอยเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวทุกอย่าง
กริ๊งๆๆๆ
นาฬิกาดิจิตอลบนผนังส่งเสียงเตือน
แกร๊ก
ประตูภัตตาคารเปิดออก หญิงสาวร่างสะโอดสะองที่คลุมผ้าปิดหน้าสีดำ เดินนวยนาดเข้าโถงใหญ่ภายใต้การคุ้มครองของคนสองคน
เธออำพรางใบหน้าส่วนล่างด้วยผ้าคลุมหน้า เพียงเผยดวงตาน่าเอ็นดูที่เหมือนพูดได้ออกมาด้านนอก
กี่เพ้าสีดำบนร่างเธอขับรูปร่างที่มีส่วนโค้งส่วนเว้าของเธออย่างสมบูรณ์แบบ ขางามที่เรียวยาวและขาวผ่องปรากฏให้เห็นวับแวมใต้กี่เพ้าขณะก้าวเดิน
“เธอคือไป๋ซ่งเตี๋ยเหรอ” ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่หยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ด้านข้างขึ้นเช็ดปากเบาๆ
“ค่ะ ฉันไป๋ซ่งเตี๋ย ขอคำนับประมุขโถงเก้าชีวิต ปรมาจารย์หวัง” ไป๋ซ่งเตี๋ยถอนสายบัวน้อยๆ สายตาหยุดอยู่บนเนื้อควายที่ใหญ่โตเกินจริงของลู่เซิ่งอย่างตกใจอยู่บ้าง
“ฉันให้ความสำคัญกับบารมีของโถงเก้าชีวิตมาโดยตลอด นับตั้งแต่เข้ามาในวงการ ก็ได้ยินชื่อของประมุขโถงตลอดเวลา ดังนั้นครั้งนี้จึงมาเยี่ยมเยือน และหวังว่าจะเพิ่มบริษัทค่วงอวิ๋นเข้าระบบธุรกิจในสังกัดโถงเก้าชีวิตได้” เธอเอ่ยเบาๆ
“หือ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างแปลกใจ บนโลกยังมีเรื่องง่ายๆ แบบที่นั่งอยู่ในบ้านก็มีคนเอาเงินมาให้แบบนี้ด้วยเหรอ
“เพียงแต่ ฉันตรวจสอบข้อมูลของเธอมาแล้ว สองสามเดือนก่อนหน้านี้ เธอยังเป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาๆ อยู่เลยนี่…อะไรที่ทำให้เธอก้าวหน้ามาถึงระดับนี้ได้ล่ะ” ลู่เซิ่งถามอย่างตรงไปตรงมา
เขาอยากจะรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าจะตอบว่าอย่างไร
ไป๋ซ่งเตี๋ยยิ้มน้อยๆ
“เพราะความรักค่ะ”
“หา”
ลู่เซิ่งไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไร
“ล้อเล่นค่ะ” ไป๋ซ่งเตี๋ยแก้คำพูดด้วยสีหน้าคงเดิม
“ของอย่างโชคชะตามันก็ไม่แน่นนอนแบบนี้แหละค่ะ ถ้าคุณสนใจ แล้วพวกเรามีเวลา สามารถคุยกันตามลำพังได้นะคะ…ดูเหมือนคุณจะ…บึกบึนจริงๆ”
ดวงตาเธอพร่ามัวอยู่บ้าง ความยั่วยวนค่อยๆ ปรากฏขึ้นในความไร้เดียงสา
“ได้สิ อีกเดี๋ยวพวกเรามาคุยกันตามลำพัง” ลู่เซิ่งมีความคิดนี้อยู่พอดี
ไม่นานไป๋จวิ้นเฉิงก็เข้ามา แล้วเริ่มปรึกษาการโอนทรัพย์สินและการแลกเปลี่ยนหุ้นกับนักรบรับจ้างสองคนข้างตัวไป๋ซ่งเตี๋ย
ไป๋ซ่งเตี๋ยได้รับเชิญให้นั่งลงดื่มเครื่องดื่ม เธอคุยเก่งมาก มีความรู้กว้างขวาง อ้างคำพูดในในหนังสือเวลาพูดถึงสิ่งต่างๆ ได้อย่างสบายๆ
ต่อให้ไม่รู้เรื่อง ก็ให้ข้อแนะนำจากมุมมองอื่นได้ ความรู้และความเข้าใจนี้ทำให้ลู่เซิ่งแปลกใจเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง ลู่เซิ่งก็กินเนื้อควายยักษ์ตรงหน้าจนหมด ก่อนจะเช็ดปากเบาๆ ไป๋ซ่งเตี๋ยที่อยู่ด้านข้างและคนทั้งสองที่อยู่อีกฝั่งเซ็นต์สัญญากันเรียบร้อย เอกสารต่างๆ ถูกจัดการจนเสร็จสรรพ
“ปรมาจารย์หวัง ฉันมีของล้ำค่าชิ้นหนึ่งอยากให้คุณช่วยประเมินค่าให้หน่อย ไม่ทราบว่าคุณจะให้เกียรติหาที่สงบๆ สักแห่งได้ไหมคะ” ในที่สุดไป๋ซ่งเตี๋ยก็ทนไม่ไหว กล่าวเสียงออดอ้อน
ลู่เซิ่งมีความคิดนี้อยู่พอดี จึงพยักหน้า
“ไม่มีปัญหา ที่โถงหลักมีห้องรับแขกที่เอาไว้ใช้พักผ่อนอยู่”
“ฉันรู้ค่ะ ฉันเคยมาที่นี่แล้วน่ะ”
ไป๋ซ่งเตี๋ยลุกขึ้น ลู่เซิ่งลุกตาม จากนั้นทั้งสองก็มาถึงประตูห้องรับแขกด้านหลังภัตตาคารภายใต้การนำทางของบริกรอย่างรวดเร็ว
ไป๋ซ่งเตี๋ยบิดลูกบิดประตู ดวงตาเปล่งประกายสีเขียวแวบหนึ่ง
ลู่เซิ่งตามเธอเข้าไป จากนั้นก็ล็อกห้อง
ห้องรับแขกเหลือแค่พวกเขาสองคน
“ประมุขโถง…” ไป๋ซ่งเตี๋ยร้องอุ๊ยก่อนจะทิ้งตัวเข้าหาลู่เซิ่งเบาๆ
ลู่เซิ่งรับเธอไว้อย่างแผ่วเบา ทั้งสองสบตากัน
พรึ่บ
พลังพิเศษไร้รูปร่างหลายสายพุ่งจากดวงตาของไป๋ซ่งเตี๋ยแล้วมุดเข้าหว่างคิ้วของลู่เซิ่ง
พลังจิตของเธอเป็นพลังกาฝากที่ชื่อเมล็ดพฤกษาดวงตา สามารถบุกเข้าห้วงจิตสำนึกของอีกฝ่ายได้ในพริบตา มันจะกลืนกินจิตสำนึกตัวตนของอีกฝ่าย แล้วสับเปลี่ยนตัวเองเข้าไปแทนที่ปณิธานของตัวเอง ก่อนกลายเป็นเจ้านายของอีกฝ่าย
ความจริงเมล็ดพฤกษาเป็นพลังพิเศษที่เธอใช้มาโดยตลอด พลังนี้มองข้ามความแข็งแกร่งทางกายเนื้อและจิตใจ เพียงดูที่พลังป้องกันในห้วงจิตสำนึกเท่านั้น
สิ่งที่ยากลำบากที่สุดและอาจจะมีอันตรายที่สุดของของการบุกรุกแบบนี้ก็คือ พริบตาตอนที่บุกเข้าไป
เกิดอีกฝ่ายระวังตัวหรือห้วงจิตสำนึกฝึกฝนทักษะรับมือพิเศษบางชนิด ก็อาจทำให้ล้มเหลวได้
จนถึงปัจจุบัน เธอล้มเหลวมาทั้งหมดสามครั้ง และสามครั้งนั้น เธอก็เกือบจะเสียตัวให้กับอีกฝ่ายจริงๆ เรียกได้ว่าเสี่ยงมาก
เวลานี้เมล็ดพฤกษาลวงตาเจาะเข้าหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย ไป๋ซ่งเตี๋ยที่เห็นฉากนี้ใจเย็นลง ทราบว่าสถานการณ์ใหญ่ถูกควบคุมแล้ว
สิ่งที่ยากเย็นที่สุดของเมล็ดพฤกษาลวงตาคือการเจาะชั้นนอก ตอนนี้เข้าไปได้อย่างผ่อนคลายแล้ว ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรอีก จะต้องควบคุมคนตรงหน้าได้อย่างสบายๆ แน่นอน
…
ในห้วงจิตสำนึก
เมล็ดพฤกษาลวงตาที่เหมือนกับแมงมุมมีหนามแหลมแปดแท่งที่น่ากลัว ทะลวงร่างกายสีดำขนาดใหญ่โตผ่านชั้นความคิดที่เบาบาง มุ่งหน้าไปหาเจ้าพวกตัวเล็กที่อยู่ไกลออกไปอย่างละโมบ
พอมันเข้ามา ก็เห็นทันทีว่าที่นี่มีของอย่างอื่นอีก
ปกติแล้ว ในห้วงจิตสำนึกจะเป็นสีดำสนิท คนปกติจะไม่มีอะไรอยู่ด้านใน
ในสถานการณ์ทั่วไป ที่นี่ควรจะเหมือนทะเลทราย เมื่อเกิดจิตสำนึกก็จะเกิดพายุทะเลทราย เมื่อจิตสำนึกหลุดไป ทุกอย่างก็จะสงบราบคาบ
ทว่าเวลานี้ ก้อนขนสีดำเล็กๆ กลับกระจายตัวอยู่ในมิติแห่งนี้เป็นกลุ่มๆ
ก้อนขนเล็กๆ พวกนี้ดูน่ารักมาก มีขนปุกปุย แต่ละตัวมีขนาดเป็นหนึ่งในสิบของเมล็ดพฤกษาลวงตา ตัวเล็กกะจิดริด
เมล็ดพฤกษาลวงตาไม่รู้เลยว่า นี่คือเมล็ดทำลายจิตที่ลู่เซิ่งฝึกฝนไว้ในตัว
มันค่อยๆ เข้าใกล้ก้อนขนที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่ขณะกำลังจะลงมือนั่นเอง
“จี๊ด”
เมล็ดทำลายจิตเม็ดหนึ่งพลันยื่นหนวดเส้นหนึ่งใส่มัน
มันมีตาโตที่แวววาว ดูไม่ต่างจากก้อนไหมพรมสีดำ นวดหลายเส้นพาดอยู่รอบๆ อย่างอ่อนหนุ่มเหมือนไหมพรม ดูน่ารักน่าชัง
“จี้ด” เมล็ดพฤกษาลวงตาตั้งหนามแหลมขึ้นแท่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าพูดอะไร
“จี๊ด”
เมล็ดทำลายจิตขยับดุ๊กดิ๊กก่อนตั้งหนวดอีกเส้นขึ้น
เอ๋
เมล็ดพฤกษาลวงตาทำหน้างง
เมล็ดทำลายจิตหดหนวดกลับ
เปรี้ยง!
จากนั้นก็ฟาดหน้าเมล็ดพฤกษาลวงตาอย่างแรง
หนวดเส้นนั้นดีดออกมาดุจสายฟ้าฟาดแล้วขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง พริบตาเดียวก็ใหญ่ขึ้นสิบกว่าเท่า ฟาดใส่ใบหน้าเมล็ดทำลายจิตอย่างรุนแรง
ครืน
พลังอันน่ากลัว สร้างระลอกคลื่นโปร่งแสงขึ้นกลุ่มหนึ่ง ฟาดเมล็ดพฤกษาลวงตาจนหมุนหลายตลบ ฟันแหลมพุ่งออกมาจากปาก หักไปมากกว่าครึ่ง
“ข้าบอกให้เอ็งแอ่นก้นขึ้นโว้ย ไอ้งั่ง”
หนวดเส้นอื่นๆ ของเมล็ดทำลายจิตขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะใหญ่ขึ้นเป็นหลายเท่าตัวของร่างกาย
เงาขนาดใหญ่ปกคลุมเมล็ดพฤกษาดวงตาที่ล้มอยู่บนพื้นไว้โดยสิ้นเชิง
……………………………………….