ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1056 ความก้าวหน้า (2)
ตูม!
ครืน…
ชิ้นส่วนเปลือกมากมายกระจายออกไป เลือดและของเหลวระหว่างเซลล์ผสมกัน เมล็ดพฤกษาลวงตามึนงง ยังไม่ทันตอบสนอง ก็รู้สึกเจ็บก้น ร่างกายหมุนคว้างและลอยสูงขึ้น พริบตาเดียวก็หมดสติไป
ก่อนตาย มันมองดูก้อนกลมเล็กๆ พวกนั้นพากันมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างสับสน แล้วล้อมรอบจุดที่มันตกไว้อย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็แบะท้องออก เผยให้เห็นใบหน้าใบเดียวกับหวังมู่…
…
เปรี้ยง!
ไป๋ซ่งเตี๋ยเจ็บตา ส่งเสียงร้องเบาๆ จากนั้นก็รู้สึกหัวสมองลั่นอึงอล
เธอถอยหลังหลายก้าวอย่างควบคุมไม่ได้ คิดจะยื่นมือไปเกาะบางอย่าง
“ระวังด้วย” มือใหญ่ข้างหนึ่งโอบเอวกิ่วของเธออย่างแผ่วเบาแล้วประคองเธอให้ยืนตรง
‘ราชาพฤกษาหรือ’ ไป๋ซ่งเตี๋ยพลันลนลานอย่างไร้สาเหตุ
เธอรีบร้องเรียกในก้นบึ้งจิตใจ
ในอดีตขอแค่เธอตะโกนในใจ ไม่นานราชาพฤกษาก็จะตอบกลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จะใช้พลังจิตช่วยเธอ
แต่เวลานี้ ส่วนลึกในจิตใจไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ส่งมา
ลู่เซิ่งเลื่อนมือตามเอวของไป๋ซ่งเตี๋ยขึ้นไปด้านบนอย่างแผ่วเบา แล้วกดหลังเธอไว้
“ไม่ต้องกลัว…เมื่อครู่ตอนฉันสัมผัสกับเธอ ได้ขจัดโรคเรื้อรังที่อยู่นิ่งมาหลายปีให้เธอไปแล้ว วัตถุมีอันตรายบางส่วนที่ฝังกาฝากอยู่ในร่างเธอและคอยสูบกินสารอาหารถูกฉันไล่ไปแล้ว”
“…” ไป๋ซ่งเตี๋ยหน้าซีดก่อนจะฝืนยิ้ม
เธอตะโกนเรียกราชาพฤกษาในส่วนลึกของจิตใจ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีการตอบกลับใดๆ จากส่วนลึกของจิตสำนึก
ตอนนี้เธอรู้สึกว่าการมาด้วยตัวเองเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุด
พึงทราบว่า เธอได้ใช้ความพยายามและโชคไม่รู้นานเท่าไหร่เพื่อเอาพลังพิเศษอย่างราชาพฤกษามาครอง
แต่ตอนนี้ กลับถูกชายตรงหน้าขจัดทิ้งไปง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ เธอไม่เชื่อ
“สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะ เป็นอะไรไป ไม่สบายเหรอ” ลู่เซิ่งปลอบ “ไม่ต้องห่วงหรอก อาจจะเพราะเมื่อครู่อากาศเย็นไปหน่อย พักผ่อนสักพัก ดื่มน้ำซุปเพื่ออบอุ่นร่างกายก็จะดีขึ้นเอง”
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เมล็ดทำลายจิตได้ฝังตัวเข้าไปในส่วนลึกของผู้กลับชาติมาเกิดคนใหม่ตรงหน้านี้ผ่านห้วงจิตสำนึกแล้ว
เขาไม่รู้ว่ามิติเทพเจ้าจะลบผลกระทบที่เหมือนกับการควบคุมจิตมารและจิตใจอย่างนี้ได้หรือไม่ แต่ตอนนี้เป็นโอกาสทดลองพอดี
“ประมาจารย์หวัง…ฉัน…จู่ๆ ก็นึกบางอย่างได้…ต้องกลับไปจัดการ...วันนี้คง…” ไป๋ซ่งเตี๋ยกัดฟัน รู้สึกว่าตัวเองเกิดความรู้สึกพิเศษอันน่าอัศจรรย์ต่อชายตรงหน้าอย่างควบคุมไม่ได้
ความรู้สึกนั้น เหมือนกับคนธรรมดาได้เจอพระพุทธเจ้าบนถนนใหญ่ และตนเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธพอดี
เป็นความคลั่งไคล้ซึ่งระคนด้วยความรู้สึกโชคดีและตกตะลึง รวมถึงความต้องการจะถวายทุกสิ่งให้แก่อีกฝ่ายอย่างเลือนราง
มาถึงตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองเกิดปัญหา จึงดิ้นออกจากอ้อมอกลู่เซิ่งสุดแรงทันที
น่าเสียดายที่สำหสับลู่เซิ่งแล้ว แรงของเธอไม่ต่างอะไรจากการไม่ขยับตัว
แต่การเสียดสีทางร่างกายกลับทำให้ลมหายใจเธอเร่งร้อน ทั่วร่างร้อนระอุ สองขาเบียดถูกันอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่ต้องกลัว เข้าไปพักผ่อนสักหน่อย พอฟื้นมาเธอจะได้รับชีวิตใหม่เอง…” ลู่เซิ่งล่อลวงเสียแผ่ว
เขาอุ้มเธอเดินไปวางลงบนโซฟาห้องรับแขก
ไป๋ซ่งเตี๋ยสลบไสลก่อนจะหลับลึกอย่างง่ายดาย
ลู่เซิ่งนั่งลงด้านหน้าเธอ จากนั้นก็กดมือกับหว่างคิ้วเธอเบาๆ
“ชื่อของเธอคืออะไร” วิชาจิตโน้มนำทำงานอย่างเงียบงัน
“เหอเซียว” ไป๋ซ่งเตี๋ยที่หลับตาตอบโดยไม่รู้สึกตัว
“มาทำอะไรที่นี่” ลู่เซิ่งถามอีก
“ทำภารกิจให้สำเร็จ”
“ภารกิจอะไร ใครเป็นคนประกาศภารกิจ”
ไป่ซ่งเตี๋ยพลันแสดงสีหน้าขัดขืน หน้าผากปรากฏเหงื่อเกาะพราว
“เธอมีพลังระดับไหนในกลุ่ม” ลู่เซิ่งเปลี่ยนคำถาม
“ราชาพฤกษานั้นไร้เทียมทาน!” สีหน้าของไป๋ซ่งเตี๋ยกลับเป็นปกติ
“รูปแบบการปฏิบัติการของพวกเธอเป็นยังไง ปกติมีกี่คนทำภารกิจด้วยกัน” ลู่เซิ่งใคร่ครวญก่อนถามอีก
“ทีมแต่ละทีมมีจำนวนไม่เหมือนกัน พวกเราต้องทำภารกิจให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นจะถูกฆ่า ปกติฉันจะปฏิบัติการร่วมกับคนห้าคน”
“หลังทำภารกิจเสร็จ จะกลับยังไง…”
ลู่เซิ่งเริ่มหยั่งเชิงพร้อมกับขุดค้นข้อมูลที่เขาต้องการจากไป๋ซ่งเตี๋ยทีละนิดๆ
ไม่นานเขาก็รู้ว่า ความสามารถที่ผู้หญิงคนนี้ใช้ควบคุมและล่อลวงคนอื่นๆ ก็คือเมล็ดกาฝากชื่อราชาพฤกษา
ในตอนที่เธอล่วงลวงให้จิตใจอีกฝ่ายปั่นป่วน ห้วงจิตสำนึกจะอยู่ในสภาพผ่อนคลายที่สุด ราชาพฤกษาจะฉวยโอกาสนี้บุกเข้าไป แล้วฝังตัวในส่วนลึกของจิตสำนึก จากนั้นก็จะแอบทำให้อีกฝ่ายหลงรักเธอหัวปักหัวปำ
เธออาศัยความสามารถนี้ควบคุมผู้เข้มแข็งในภาคเอกชนจำนวนไม่น้อยเพื่อเอาไว้ใช้งาน
แต่การควบคุมของราชาพฤกษามีข้อจำกัด จะควบคุมได้ทั้งหมดห้าคน
ดังนั้นตัวเลือกห้ารายชื่อจะต้องเลือกอย่างระมัดระวัง
ลู่เซิ่งได้ทำความเข้าใจรูปแบบภารกิจของทีมกลับชาติมาเกิดใหม่จากเธอ สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ เขาเองก็ให้ภารกิจทีมทำได้เช่นกัน แต่ต่อจากนั้นต้องมอบรางวัลให้
จากนั้นเขาก็ออกจากห้องรับแขก แล้วให้ลูกศิษย์ผู้หญิงสองคนพาไป๋ซ่งเตี๋ยไปพักผ่อนที่โรงแรมใกล้ๆ
เขายังต้องสำรวจผู้หญิงคนนี้อย่างละเอียด เธอจะใช้เทพเจ้าดิ้นหลุดจากการควบคุมของเขาได้หรือไม่ นี่เป็นการทดลอง
ผลพลอยได้ที่สำคัญที่สุดในครั้งนี้ไม่ใช่ผู้หญิงชื่อไป๋ซ่งเตี๋ย แต่เป็นหินกิเลนจำนวนมหาศาลเบื้องหลังเธอ
พอเดินออกมาจากภัตตาคาร ไป๋จวิ้นเฉิงก็รออยู่ด้านนอกแล้ว
“อาจารย์ครับ ตามเอกสารที่เซ็นต์ไป พวกเราจะครอบครองภาคธุรกิจหินกิเลนของบริษัทค่วงอวิ๋นอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป”
“เอาที่อยู่ของโกดังเก็บหินกิเลนให้ฉัน” ลู่เซิ่งถาม
“ได้ครับ” ไป๋จวิ้นเฉิงหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความให้ลู่เซิ่ง
“ทางซูฉินมีปฏิกิริยายังไงบ้าง” ลู่เซิ่งถาม
“พวกเขาเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับกลุ่มอื่นเป็นเวลาสั้นๆ อีกฝ่ายเร็วมาก ตอนที่มือดีของพวกเราไปถึง ก็ล่าถอยไปกันหมดแล้วครับ” ไป๋จวิ้นเฉิงอธิบาย
“พลังเป็นยังไง เจอร่องรอยไหม”
“ตอนนี้ยังไม่เจอครับ ซูฉินได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย คนอื่นๆ ไม่มีปัญหาอะไร เหมือนอีกฝ่ายจะเล็งตัวหัวหน้าอย่างซูฉินตั้งแต่เริ่ม”
“เรื่องอื่นๆ ล่ะ ผู้ใช้พลังจิตพเนจรที่ก่อนหน้านี้ให้ไปจับตาดูคนนั้นล่ะ ตอนนี้ยัง…”
ตูม!
ลู่เซิ่งยังพูดไม่ทันจบ ภัตตาคารหมุนด้านหลังก็ระเบิดอย่างฉับพลัน
เศษโลหะและเศษกระจกนับไม่ถ้วนถูกฉีกกระชากจนหักละเอียดและโปรยปรายอยู่กลางกองเพลิง ไฟสีแดงฉานขนาดใหญ่พวยพุ่งสู่ฟ้า ครอบคลุมภัตตาคารทั้งหมดเอาไว้
ชั้นบนสุดของโรงแรมกลายเป็นทะเลเพลิง
ลู่เซิ่งยกมือข้างหนึ่งป้องกันไว้ด้านหน้า กำแพงสูงเท่าคนครึ่งลอยมาหาคนทั้งสอง มันถูกไป๋จวิ้นเฉิงรับไว้แล้วโยนทิ้งไปด้านข้าง
“พวกแก…เจ้าคนธรรมดา พวกมดแมลง…จงหมอบกราบ จงสั่นกลัวซะ!”
กลางโฟโหม มนุษย์หินสูงใหญ่ที่ประกอบขึ้นจากลาวาสีแดงที่ลุกไหม้คลานขึ้นจากพื้น
“ฮึ่ม!”
มันก้มหน้าคำรามใส่พวกลู่เซิ่ง คลื่นเสียงที่รุนแรงกระแทกเศษหินรอบๆ ให้สั่นไหวเหมือนกับวัตถุจับต้องได้ ฝุ่นผงและเปลวเพลิงบิดเบี้ยวและเปลี่ยนรูปร่างเหมือนกับถูกกระแสอากาศเป่ากระจาย
บริกรในภัตตาคารรอบๆ ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ของโถงเก้าชีวิตปลอมตัวมา เวลานี้พากันถอดเสื้อบริกรออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหนั่นแน่นที่กำยำจนเกินจริง
“โจมตี อย่าฆ่าทิ้งล่ะ” ลู่เซิ่งยกมือดูเวลา
โอ!
ชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนที่อยู่รอบๆ พากันยิ้มเหี้ยมเกรียม ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินเข้าใส่มนุษย์หินเพลิงนรกที่สูงสี่เมตรกว่าๆ
ร่างกายของพวกเขาเริ่มขยายใหญ่อย่างรุนแรงตามทุกๆ ย่างก้าว ผ่านไปสิบกว่าก้าว ชายฉกรรจ์ที่เดิมสูงหนึ่งเมตรแปดสิบเก้าสิบเซนติเมตรหลายคนก็ตัวใหญ่ขึ้นสามเมตรกว่าๆ ดูเหมือนกับยักษ์ขนาดย่อมๆ
ยักษ์สิบกว่าตัวมองเมินเปลวเพลิงที่แผดเผา พุ่งใส่เพลิงนรกที่กำลังคำรามอย่างรวดเร็ว
หนึ่งนาทีต่อมา
ศีรษะของมนุษย์หินเพลิงนรกก็ถูกไป๋จวิ้นเฉิงถือไว้ในมือแล้วยื่นให้ลู่เซิ่งเบาๆ
“สิ่งมีชีวิตประหลาดนี้เหมือนใช้รังสีไร้รูปร่างบางอย่างเป็นแรงเหนี่ยวนำในการเอาก้อนหินพิเศษจากรอบๆ มาสร้างเป็นร่างกาย” ไป๋จวิ้นเฉิงอธิบาย “พวกเราลองกดหัวของมันไว้ที่ก้น และเด็ดแขนขาของมันลงไปเสียบไว้ที่ส่วนอื่นๆ แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม”
“ตำแหน่งแขนขาของมันถูกกำหนดตายตัว ด้านในร่างกายไม่มีอวัยวะภายใน ส่วนอื่นๆ พวกเราเปิดออกมาดูแล้ว ไม่มีอะไรเลย ตอนนี้เหลือแค่ส่วนหัวเท่านั้น”
ลู่เซิ่งรับหัวของเพลิงนรกมา
มนุษย์หินเพลิงนรกที่เขาเคยเห็นในเกมหลายเกมตอนอยู่บนโลกใบเดิม ความจริงมีชื่อเสียงค่อนข้างโด่งดัง
ว่ากันว่าพวกมันมาจากกองทัพเพลิงผลาญที่แข็งแกร่ง เป็นทหารแนวหน้าของกองทัพ
“บอกมาว่าใครเป็นคนอัญเชิญแก” ลู่เซิ่งทิ้งศีรษะลงไปบนพื้นด้านหน้า
“ตอบตามตรง แล้วฉันจะให้แกตายสบาย”
เพลิงนรกดิ้นรนพลางแผดเสียงคำราม น่าเสียดายที่เหลือแค่ศีรษะข้างเดียว ต่อให้จะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
“คอยดูให้ดีเถอะ…เปลวเพลิงไร้สิ้นสุดจะเผาไหม้ทุกสิ่งของเจ้า ขุนพลกองทัพเพลิงผลาญจะทำลายทุกสิ่ง”
“เจ้านี่เหมือนกับมารร้ายในเทพนิยาย พวกเราอาจจำเป็นต้องทดสอบเพิ่มอีกขั้น” ไป๋จวิ้นเฉิงแนะนำเบาๆ
“ส่งผลการทดสอบต่อจากนี้ให้ฉันทางโทรศัพท์” ลู่เซิ่งไม่สนใจอีก ดูเวลา วันนี้เขาเสียเวลาอยู่ที่นี่มานานแล้ว
“นอกจากนี้ ภัตตาคารถูกทำลายไปแล้ว ให้สาขาตรวจสอบร่องรอยและติดต่อกับซูฉิน ขอให้พวกเขาร่วมมือจับคนร้าย” ลู่เซิ่งเว้นเล็กน้อยก่อนมองเพลิงโหมที่เผาผลาญ
“ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมานาน เป็นเวลาทำให้ทุกคนรู้ว่า การท้าทาย เป็นสิ่งที่มีราคาต้องจ่ายพอดี”
“อาจารย์ไม่ต้องลงมือด้วยตัวเองหรอกครับ พวกศิษย์จะจัดการทุกอย่างเอง” ไป๋จวิ้นเฉิงรีบเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ให้หงซื่อลงมือ ฉันต้องการเห็นผลลัพธ์ในสามวัน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
สามวันต่อจากนั้น เขาควรจะดูดซับหินกิเลนจนหมด
“ไม่ต้องห่วงครับอาจารย์ พวกเราได้ล็อกพิกัดผู้ต้องสงสัยไว้แล้ว ขอแค่ยืนยันเป้าหมายได้ หน่วยหลักจะลงมือทันที”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
มนุษย์หินเพลิงนรกเมื่อครู่ดูเหมือนร้ายกาจ แต่แค่ใช้พละกำลังเข้าปะทะ ศิษย์สองคนของโถงเก้าชีวิตก็จัดการได้
หลังจากได้เรียนรู้ทักษะที่ข้องเกี่ยวกับพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าและการใช้พลังนิวเคลียร์ พลังโดยรวมของโถงเก้าชีวิตก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนจรวด
ปัจจุบันยังมีหน่วยพลังจิตอย่างพวกเจิ้งฮวนอยู่ด้วย เมื่อผสานวรยุทธ์และพลังจิตเข้าด้วยกัน แม้แต่ลู่เซิ่งก็ไม่รู้ว่าพลังไปถึงขั้นไหนแล้ว
ถ้าหากเทียบกับพวกซูฉิน ศิษย์แกนกลางของโถงเก้าชีวิตสามคนสามารถเอาชนะคนหลายคนอย่างซึ่งหน้าได้สบายๆ
เทียบกับโถงเก้าชีวิตในตอนแรก จากคำบอกเล่าพวกซูฉินแล้ว ขุมกำลังของหวังมู่ในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า
……………………………………….