ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1059 การต่อสู้ทางอากาศ (1)
นานแล้วที่ไม่มีใครกล้ามาอาละวาดในถิ่นของเขาแบบนี้
ลู่เซิ่งหยีตามองนาฬิกาแขวนบนผนังด้านหน้าในสภาพใจลอย
“ประมุขโถง ตอนนี้พวกเราควรจัดการอย่างไรดี!” อันซาลุกขึ้นถามเสียงดัง “ต้องการให้ผมไปจัดการพวกมันไหมครับ”
“ฉันเอง!” หงซื่อที่สูงสามเมตรกว่าๆ สวมเกราะหนักสีดำสนิทที่หนักอึ้งไว้ทั่วทั้งตัว ใส่หน้ากาก บนหน้ากากมีท่ออ่อนสีเขียวเข้มติดอยู่มากมาย พวกมันคอยส่งของเหลวสีเขียวให้เธออย่างต่อเนื่อง
ดูเหมือนเธอจะเลื่อนระดับอีกแล้ว
แต่ครั้งนี้ ก่อนที่จะมั่นใจว่าเอาชนะลู่เซิ่งได้แน่ เธอไม่มีทางทำตัวมุทะลุเหมือนครั้งก่อนอีกแล้ว
“พอดีเลย ฉันอยากจะทดสอบกระบวนท่าพิเศษที่คิดค้นขึ้นล่าสุดพอดี!” หงซื่อหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ ภาพลักษณ์เหมือนกับปีศาจในเทพนิยาย
“จวิ้นเฉิงล่ะ” ลู่เซิ่งถามอย่างราบเรียบ
“ตระกูลไป๋เกิดปัญหาใหญ่ ตอนนี้พวกเขาสองพี่น้องกำลังจัดการอยู่ พวกที่มีความสามารถแปลกประหลาดมากส่วนหนึ่งได้ปิดผนึกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของที่นั่น เลยส่งข่าวเข้าไปไม่ได้” เว่ยเจินอวี๋อธิบาย “ฉันส่งคนเดินเท้าไปส่งข้อความแล้วค่ะ”
“หน่วยหลักมากันกี่คนแล้ว” ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ อย่างผ่านๆ
“ทั้งสามหน่วยมารวมกันแล้วสามสิบเอ็ดคน สองร้อยห้าสิบคน และหกร้อยยี่สิบคนตามลำดับโดยประมาณ นี่เป็นตัวเลขประมาณการ จำนวนกำลังเพิ่มขึ้น ศูนย์ใหญ่ที่อยู่รอบๆ เริ่มสร้างแนวป้องกันขั้นต้นเพื่อป้องกันพวกบ้าคลั่งด้านนอกแล้ว” เว่ยหานตงรีบตอบ
“ประมุขโถง! ออกคำสั่งเถอะ พวกเราไปฆ่าไอ้เวรตะไลพวกนั้นกัน”
“นี่เป็นเมืองของพวกเรา ถิ่นของพวกเรา!”
“ฆ่าพวกมันให้หมด! กำจัดพวกสัปปะรังเคพวกนี้ทิ้งซะ”
“ออกคำสั่งเถอะครับประมุขโถง!”
“ออกคำสั่งเถอะ”
ศิษย์ของโถงเก้าชีวิตพากันลุกขึ้นด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
ลู่เซิ่งไม่พูดอะไรสักคำเดียว
ฟ้าว…
ทันใดนั้นก็มีเสียงลมดังมาจากท้องฟ้าด้านนอก
ก้อนสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ลอยอยู่เหนือเมืองทั้งเมือง วิญญาณของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนถูกดูดซับเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับฝนสีขาวนับไม่ถ้วนที่ลอยขึ้นฟ้า
ยานรบขนาดยักษ์หลายลำเริ่มลอยขึ้นจากที่ไกล เลเซอร์จากปืนใหญ่สีขาวอันเจิดจ้าระดมยิงใส่ก้อนกลมไม่หยุด
แต่ก็ไร้ประโยชน์ ก้อนกลมเหมือนต้านทานการโจมตีจากพลังงานทุกชนิดได้ เลเซอร์ทั้งหมดยิงทะลุก้อนกลมไปโดนพื้นและอากาศด้านหลัง
“ประมุขโถง! หน่วยสนับสนุนในเมืองเกิดการบาดเจ็บล้มตายขนาดใหญ่ พวกเขาถูกลูกหลงจากการต่อสู้ของผู้เข้มแข็งไม่ทราบชื่อ พลังแตกต่างกันมากเกินไป”
“เชื่อมการสื่อสาร!” อันซากล่าวเสียงเย็น
ไม่นานเว่ยเจินอวี๋ก็เชื่อมกับโทรศัพท์ที่ส่งมาและเปิดลำโพง
“ที่นี่คือทีมช่วยเหลือที่เจ็ด ที่นี่คือทีมช่วยเหลือที่เจ็ด พวกเราถูกสิ่งมีชีวิตไม่ทราบชนิดโจมตี! ขอกำลังหนุนด่วนๆ”
“ที่นี่ทีมช่วยเหลือที่สิบ พวกเราและทีมพิเศษของกองทัพติดอยู่ชั้นใต้ดินชั้นที่สองของตึกเซิ่งหัว! มีสัตว์ประหลาดที่มองไม่เห็นกำลังล่าพวกเรา ขอกำลังหนุนด่วน! กำลังหนุน!”
“ที่นี่ทีมช่วยเหลือที่สอง…”
“ที่นี่ทีมช่วยเหลือที่สิบเจ็ด…”
ข่าวสารมากมายดังออกมาอย่างแน่นขนัด
ได้ยินเสียงร้องโหยหวนอันแผ่วเบาดังมาจากในโทรศัพท์ได้เป็นระยะ
“ประมุขโถง! ท่านกำลังรออะไรอยู่กัน?!” หงซื่อสาวเท้าออกมาและกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “ให้ฉันไปฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆ เถอะ!ฉันจะปั้นเลือดเนื้อกับกระดูกของแมลงพวกนี้เป็นลูกโบว์ลิ่งเลย!”
“ฉันว่า ถ้าใช้เลือดผสมกับปูนซีเมนต์สร้างสวนเล็กๆ อาจจะไม่เลวเท่าไหร่” อันซาเอ่ยอย่างเย็นชา
ลู่เซิ่งยังคงไม่พูดอะไร แต่สายตาเย็นเยียบขึ้นเล็กน้อย
“ประมุขโถง!”
สมาชิกหลักคนหนึ่งก้าวออกมา ทรวงอกของเขาสะท้อนขึ้นลงด้วยความเร็วสูง ร่างกลายเป็นสีแดงเข้มจางๆ กล้ามเนื้อพองตัว การหายใจเร่งเร็ว ร่างกำยำขนาดยักษ์เหมือนกับกระทิงที่พร้อมคลั่งได้ทุกเวลา
“ผมอยากกระทืบพวกมันให้ตาย!กระทืบพวกมันให้เละ!”
“พวกเธอ…” ในที่สุดลู่เซิ่งก็เอ่ยปาก
“อ่อนแอเกินไป…”
ศูนย์ใหญ่ของโถงเก้าชีวิตพลันเงียบสนิท ทุกคนต่างก็ขอบตาแดงเรื่อ นี่เป็นความอับอาย
หากคนที่พูดไม่ใช่ประมุขโถงเก้าชีวิตลู่เซิ่งที่เป็นผู้นำพวกเขา เปลี่ยนเป็นคนอื่น จะต้องถูกพวกเขาฉีกเป็นชิ้นๆ ในทันทีแน่
“ถ้าฉันปล่อยพวกเธอไป ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะไม่มีใครรอดกลับมาได้สักคน” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ เหมือนกับบอกเล่าความจริงที่แสนธรรมดา
ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนต่างก็อึดอัด ดวงตาเต็มไปด้วยริ้วเลือด กล้ามเนื้อเกร็งโดยไม่รู้ตัว
บรรยากาศกดดันแผ่กระจายไปในอากาศรอบๆ
ในข่าวสารที่เชื่อมต่อยังมีเสียงระเบิดและเสียงร้องโหยหวน รวมถึงเสียงขอความช่วยเหลือที่ต่อเนื่องดังมา
“ได้ยินไหม เสียงร้องของผู้อ่อนแอ”
ลู่เซิ่งลุกขึ้น
“บอกฉันมาสิ พวกเธออยากเป็นผู้อ่อนแอ หรือทำทุกอย่างเพื่อกลายเป็นคนแข็งแกร่งที่สุด” เสียงของเขาไม่ดัง แต่ทุกคนในเวลานี้สั่งสมอารมณ์ถึงขีดสูงสุดจนเหมือนกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดแล้ว
เพียงแค่โดนแตะ ก็จะระเบิดทันที
บุคคลสำคัญสิบกว่าคนของหน่วยหลักต่างก็หายใจแรงขึ้น
“ท่านต้องการให้พวกเราทำอะไร” ชายฉกรรจ์หัวล้านที่บนตัวมีแผลเป็นน่ากลัว กรีดเป็นรอยสามรอยกล่าวพลางหายใจฟืดฟาด
ลู่เซิ่งยื่นกำปั้นขวาออกมาด้วยสายตาคมกริบ
“มาเถอะ ใช้ทุกสิ่งของพวกเธอแลกพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษย์ซะ จากนั้น…มาร่วมเป็นร่วมตาย…กับฉัน !!”
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งพลันกำหมัด ห้านิ้วจมลึกเข้าไปในฝ่ามือ
หมอกเลือดสีแดงเข้มกลุ่มใหญ่ระเบิดออกมาอย่างฉับพลัน แล้วลอยเข้าหาสมาชิกหลักทั้งหมดที่อยู่รอบๆ
“ฉัน! จะแข็งแกร่งที่สุด ส่วนพวกเธอ จะอยู่ร่วมกับฉัน!”
ร่างสูงใหญ่ของลู่เซิ่งบิดเบี้ยวและพองขยายด้วยความเร็วสูงภายใต้แสงไฟ
เงายักษ์สีดำสนิทที่น่ากลัวกว่าเดิมกลุ่มหนึ่งทอทาบลงบนพื้น
…
ท่ามกลางความโกลาหลและความมืดมิดไร้สิ้นสุด
พรุ่บ
ดวงตาคมกริบคู่หนึ่งลืมขึ้น ราวกับมิติทั้งมิติสว่างขึ้นเพราะดวงตาคู่นี้
“น้องชาย…มีอันตราย…” เสียงกระจ่างใสเสียงหนึ่งสะท้อนในอากาศ
มิติสว่างขึ้นตามเสียง
เปลวเพลิงสีขาวกลุ่มหนึ่งลุกไหม้อยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าที่มืดมิดและไร้สิ้นสุด หญิงสาวหน้าตาเย็นชาที่ไว้ผมยาวสีดำคนหนึ่งนั่งอยู่กลางเปลวเพลิง
“เจ้าในตอนนี้ทำอะไรไม่ได้หรอก” ชายชราที่มองเห็นใบหน้าไม่ชัดคนหนึ่งกล่าวขึ้นช้าๆ ในความมืด
“เจ้าจะต้องสืบทอดพลังของข้า มีแต่ต้องสืบทอดนครโอนาเท่านั้น ถึงจะมีพลังควบคุมทุกอย่างได้ เมื่อถึงเวลานั้น พลังของเจ้าจะเหนือกว่าทุกสิ่ง…พลังแห่งนครโอนาจะกลายเป็นของเจ้า เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะเป็นราชาแห่งผู้พยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เจ้าในตอนนี้ยังอ่อนแอเหลือเกิน”
เปลวเพลิงในใจหวังจิ้งค่อยๆ มอดดับลง
นางกัดฟันพลางกำหมัดอย่างแผ่วเบา สุดท้าย นางก็ค่อยๆ หลับตาลง กลับไปฝึกฝนต่อ
…
ซูฉินพลิกร่างทีหนึ่ง กระโดดหลบสัตว์ที่มีเงาสีดำตัวหนึ่งที่พุ่งมา กระบี่คู่หนึ่งมือปักลงใส่ศีรษะของสัตว์เงาจากมุมที่เป็นไปไม่ได้ดังสวบ
จากนั้นเธอก็กระชากกระบี่ออก สัตว์เงาระเบิดแหลกเป็นชิ้นๆ ทันที
เธอเหินร่างทิ้งตัวลงพื้น ก่อนจะพุ่งไปยังที่ไกลด้วยความเร็วสูง
ถนนอยู่ในสภาพโกลาหล กลางท้องฟ้ายานรบและเครื่องบินรบของฝ่ายทหารกำลังต่อสู้กับสัตว์อัญเชิญที่ไม่รู้จักกลุ่มใหญ่ ก้อนกลมสีดำขนาดยักษ์กำลังดูดซับวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดด้านล่างไม่หยุด
การดูดซับรุนแรงขึ้นตามกาลเวลา
“จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้! ต้องหาวิธีต่อต้าน ถ้าไม่ออกจากที่นี่ ก็ต้องทำลายก้อนกลมขนาดใหญ่นั่น”
ซูฉินกับทีมของตัวเองแยกย้ายกันในการต่อสู้ครั้งหนึ่ง
อีกฝ่ายเป็นผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ที่มีความเป็นมาปริศนา พลังเหี้ยมหาญทว่าเชื่องช้า พวกเธอจึงได้แต่แยกกันหนีด้วยความจนปัญญา
ขณะกำลังวิ่งอยู่ ด้านหน้าเธอก็เปล่งแสงสีเงินแวบหนึ่ง
เส้นสีเงินสายหนึ่งพุ่งมาจากด้านหน้าใกล้ๆ เธออย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งเข้าห้างสรรพสินค้าเล็กๆ บนถนน
ตูม!
ห้างสรรพสินค้าระเบิด หลังคาเหมือนถูกมือใหญ่ไร้รูปร่างรื้อออก แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้าแล้วระเบิดห้างสรรพสินค้าจนกลายเป็นซาก
“ฮ่าๆๆ! เธอฆ่าฉันไม่ได้หรอก” เสียงหัวเราะอันแก่ชราดังมาจากกลางฝุ่นควัน
ชายชราที่ร่างกายกะพริบแสงสีเงินคนหนึ่ง ลอยขึ้นมาจากซากปรักหักพังอย่างช้าๆ
“พลังแห่งมหาปีศาจคอยคุ้มครองฉัน ไม่ว่าจะเป็นพลังที่แข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่สามารถฆ่าร่างร่างนี้ของฉันได้” ชายชรากล่าวอย่างลำพอง
ร่างที่เปล่งแสงสีขาวอีกร่างหนึ่งบินเข้ามาใกล้ มองทุกสิ่งจากที่สูง
“ดูเหมือนไอ้ก้อนดำๆ นั่นกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่สินะ” ร่างนั้นค่อยๆ เผยใบหน้าออกมา เป็นหญิงคิ้วขาวที่มีหน้าตางดงาม
เธอกอดอกพลางเงยหน้าขึ้นมองก้อนสีดำขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ
ซูฉินสะดุ้งโหยง รีบพุ่งไปทางขวา หลบเข้าไปในตรอกแคบๆ แห่งหนึ่ง
“ลาก่อนนะไบร์ท…กระบี่ฟ้าครามแปลงโลหิต…” หญิงคิ้วขาวชูแขนสองข้างขึ้น แสงสีขาวรอบตัวรวมตัวเป็นกระบี่ยาวขนาดยักษ์ที่มีลวดลายเลือดอยู่กลางสีขาวบริสุทธิ์
กระบี่ทั้งเล่มยาวเท่ากับตัวเธอ
“ครั้งนี้ ฉันจะทำลายวิญญาณของคุณ”
เธอยื่นมือไปคว้าด้ามกระบี่แล้วฟันลงด้านล่าง
ฟ้าว!
ชายชรา ห้างสรรพสินค้า และพื้นด้านหลังถูกฟันเป็นรอยแยกสีดำสนิทที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นเส้นหนึ่ง
แนวกำแพงที่ถูกฟันถล่มลงดังโครมคราม
ซูฉินตกใจ พอชะโงกหัวออกมาเห็นรอยกระบี่ยักษ์ที่ยาวมากกว่าร้อยเมตรบนพื้น ก็พลันอกสั่นขวัญแขน
‘ต้องเป็นผู้เข้มแข็งระดับ B หรือระดับ A แน่นอน ทำไมจู่ๆ ถึงมีผู้เข้มแข็งระดับนี้เข้ามาในฉากนี้ล่ะ’
เธอตกใจระคนโมโห วิกฤติการณ์ทางชีวะเมื่อก่อนหน้านี้ยังพอว่า ตอนนี้ถึงกับมีผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ระดับสูงขนาดนี้เข้าสนามอีก
แล้วระดับ D อย่างพวกเธอจะอยู่ยังไง
‘ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือมีคนเปลี่ยนแปลงโครงเรื่องของหนังอย่างรุนแรง แล้วมันเป็น…’ จู่ๆ เธอก็ฉุกใจนึกถึงวิกฤติการณ์ทางชีวะที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อก่อนหน้านี้
หมายความว่า…
“เคียววิญญาณ!”
เกิดเสียงกรีดร้องดังสนั่น
ครืน!
พื้นรอบๆ แยกออก การสั่นสะเทือนและคลื่นเสียงที่ไร้รูปร่างข้ามขีดจำกัดที่หูคนสามารถได้ยินไปแล้ว
การสั่นสะเทือนที่หนักอึ้งกระแทกพื้นดินและสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่จนถล่ม
ซูฉินรู้สึกหน้ามืด อวัยวะภายในและสมองเจ็บปวด เกือบหมดสติล้มลงกับพื้น
เธอชะโงกหัวออกมา เห็นร่างหนึ่งดำหนึ่งขาวสองร่างถือเคียวและกระบี่ยักษ์ฟันใส่กัน
ทุกๆ ครั้งที่ฟันเคียวออกไป จะเกิดแสงทำลายล้างสีรุ้งขึ้นกลุ่มใหญ่
ส่วนกระบี่ยักษ์สีขาวก็เร็วเป็นพิเศษ ทำลายแสงและสะกดเคียวไว้อย่างต่อเนื่อง
ตูม!
ร่างสีดำถูกพละกำลังมหาศาลฟันจนกระเด็นออกไปชนใส่กำแพงที่รับน้ำหนักของตึกใหญ่จนพังลง
หลังจากกำแพงทะลุไปหลายแนว ในที่สุดตึกใหญ่ก็เอียงลงอย่างช้าๆ ก่อนจะถล่มลงมาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
เกิดเสียงดังกึกก้อง ศิษย์หลายคนของโถงเก้าชีวิตที่กำลังช่วยคนอยู่ด้านข้างตึกต่อยกำปั้นออกสุดแรงหมายจะทำลายกำแพงที่หล่นลงมา
แต่น้ำหนักของตึกใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ธรรมดาอย่างพวกเขาจะรับได้ พวกเขาเหมือนกับมดที่เผชิญกับกระแสคลื่น ถูกสภาวะใหญ่บีบอัดและทำลาย
……………………………………….