ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 106 ชุลมุน (2)
ลู่เซิ่งส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก แบกของเร่งฝีเท้าลงจากเรือ เรียกพวกนิ่งซานกับสวีชุยที่รออยู่ รุดไปยังห้องเพาะดอกไม้หยกทอง
พอไปถึงห้องเพาะดอกไม้ เขาก็หาตัวอวี้เหลียนจื่อทันที ให้อีกฝ่ายเตรียมย้ายเข้าเมืองเลียบคีรี ในเมืองมีคนมากมาย มีราชสำนักอยู่ จัตุรัสแดงอาจไม่ลงมืออย่างเหิมเกริม เพื่อไม่ให้ยั่วโทสะของตระกูลขุนนางในใต้หล้า
แต่ชานเมืองรอบนอกก็ไร้ข้อกริ่งเกรงแล้ว
“พี่น้องตระกูลหลิ่วไม่อยู่หรือ หมายความว่าอย่างไร” ลู่เซิ่งมองดูบริวารที่ไปเรียกคน ก่อนกลับมา พลันงงงัน
“เรียนหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก ข้าน้อยไปเคาะประตูแล้วพบว่าไม่มีเสียงตอบ จึงให้พลพรรคหญิงพังหน้าต่างเข้าไป เห็นจดหมายฉบับนี้อยู่บนโต๊ะ ยังมีกล่องเล็กๆ ใบนี้ด้วย” บริวารส่งสิ่งของให้อย่างเคารพ
ลู่เซิ่งนั่งในห้องโถงใหญ่ รับจดหมายและกล่องใบเล็กที่ส่งมาให้
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ กล่องใบเล็กกล่องนี้เป็นกล่องหยก พอสัมผัสก็เย็นเฉียบไม่ธรรมดา ไม่ทราบว่าเป็นของดีที่พี่น้องตระกูลหลิ่วนำออกมาจากบ้านหรือไม่
“เจ้าไปเถอะ ไปเอาเงินสิบตำลึงที่ห้องบัญชี” ช่วงนี้ราคาสินค้าขึ้น หนึ่งตำลึงเงินเทียบเท่ากับแปดส่วนของยามปกติ เงินสิบตำลึงเท่ากับแปดพันหยวน เทียบกับรายรับประจำเดือนของคนธรรมดา นับว่าไม่เลวแล้ว
“ขอบคุณใต้เท้า” บริวารค่อยๆ จากไป
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ในโถงใหญ่คนเดียว เปิดจดหมายออกดู
‘คุณชายลู่มีคุณธรรมสูงส่ง พวกเราสองพี่น้องไม่มีอะไรตอบแทน มีแค่โอสถโฉมบุปผาเม็ดหนึ่ง มีสรรพคุณผนึกรวมพลัง ช่วยให้คุณชายรุดหน้าได้ หลายวันก่อนหน้า พวกเราสังหรณ์ได้ว่ามีอันตรายถูกดึงดูดมา เพื่อไม่ให้คนอื่นๆ โดนลูกหลง จึงได้แต่ไปก่อน คุณชายอย่าได้ตามหา ภายภาคหน้าถ้ามีวันได้พบกันจะต้องทดแทนบุญคุณนี้-หลิ่วไฉ่อวิ๋น หลิ่วฉิน’
ลู่เซิ่งวางจดหมายลง ถอนใจเฮือกหนึ่ง จากไปในเวลานี้ ด้วยความสามารถของพี่น้องตระกูลหลิ่วอาจหลบพ้นภัยพิบัติได้ เช่นนี้ก็ดี
ทั้งสองคนสามารถเดินทางเป็นหมื่นลี้จากแคว้นเมฆามาถึงที่นี่ได้ ฝีมืออ่อนหัดขนาดนั้น ยังปลอดภัยไร้เรื่องราว บนตัวจะต้องมีความลับและที่พึ่งพาแน่ แต่เขาในตอนนี้ไม่มีเวลามาห่วงเรื่องนี้
‘จำเป็นต้องเริ่มยกระดับวิชาแข็งกร้าวให้เร็วที่สุด เรามีวัตถุปราณหยินที่ได้มาก่อนหน้า ยังพัฒนาได้อีกก้าว!’
ตกดึก ลู่เซิ่งกับอวี้เหลียนจื่อพาพลพรรคมากกว่าร้อยคนที่อยู่ที่ห้องเพาะดอกไม้หยกทอง รวมถึงนิ่งซาน สวีชุย และต้วนเหมิ่งอัน กลับเมืองเลียบคีรีด้วยกัน ไปพักที่บ่อนพนันร่ำรวยจรัส บ่อนที่ใหญ่ที่สุด
ลู่เซิ่งหาเวลาว่ากลับบ้าน เตือนลู่เฉวียนอันว่าช่วงนี้อย่าได้ออกนอกเมืองเด็ดขาด ภายหลังค่อยกลับไปบ่อนพนัน
ลู่เฉวียนอันก่อนหน้าได้ยินคำเตือนของเขา กักตุนเสบียงพวกธัญพืชและน้ำมันไม่น้อยไว้ในบ้าน เขาลงมือสุดกำลัง ธัญพืชและน้ำมันที่เตรียมไว้มากพอจะให้คนหลายร้อยคนกินมากกว่าหนึ่งปี นี่ยังเป็นเพราะเวลาน้อยเกินไป จึงตุนไม่ได้มากกว่านี้ แต่ก็รับประกันทางถอยได้อย่างไร้อุปสรรค
จากนั้นลู่เซิ่งสั่งบริวารในพรรคทั้งหมด รวมถึงโถงอินทรีเหินที่อยู่ในเมือง เร่งจังหวะกักตุนเสบียง ขณะเดียวกันก็ให้ความสนใจข่าวของค่ายพรรคชุมนุมสำนักอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกเป็นหลัก
ตัวเขามอบหน้าที่ให้อวี้เหลียนจื่อ บอกให้อีกฝ่ายอย่าออกจากเมือง จากนั้นประกาศปิดด่าน
…
ในห้องสงบใจ
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิ อักษรคำว่า สงบใจ ตัวใหญ่ติดอยู่บนกำแพงด้านหลัง รอบๆ เป็นกำแพงหินสีดำสนิท ราคาแพง
ขี้ผึ้งสีเหลืองกระปุกเล็กๆ ใบหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า ไอร้อนกับกลิ่นยาที่เข้มข้นกระจายจากด้านใน
“นี่เป็นยาขี้ผึ้งที่ต้มใหม่ ไม่ธรรมดาจริงๆ สมกับที่เป็นยาชุดหนึ่งมีราคาพันตำลึง” ลู่เซิ่งมองมองยาขี้ผึ้งตรงหน้า กล่าวอย่างสะท้อนใจ
ยาขี้ผึ้งที่ใช้ฝึกวิชากระปุกเล็กๆ นี้ใช้ได้เพียงสามครั้ง แต่ว่าต้องจ่ายเงินพันตำลึงอย่างน่าตกตะลึง
เปลี่ยนเป็นโลกก่อน เท่ากับมากกว่าสิบล้านหยวน ราคานี้ วัตถุดิบยาเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่เขามีตำแหน่งสูง กุมอำนาจอยู่ มีเงินก็ไม่แน่ว่าจะซื้อวัตถุดิบยาที่มากพอได้
‘นี่เป็นขี้ผึ้งสุคนธ์ทอง ของชั้นยอดที่ใช้ฝึกวิชาแข็งกร้าว กินหนึ่งครั้งขณะฝึกฝน สามารถแปลงเป็นพลังงาน หล่อเลี้ยงหยินและบำรุงทั่วร่างได้’
ลู่เซิ่งหาในห้องโอสถพักหนึ่ง ค่อยติดบัญชีนำขี้ผึ้งสุคนธ์ทองกระปุกเดียวจากมือผู้ดูแลมาได้
เดิมทีสิ่งนี้ต้องเจือจางในน้ำหรือน้ำแกง แบ่งหนึ่งส่วนเป็นหลายร้อยส่วน ให้คนหลายร้อยคนรับประทาน
แต่ว่าเขาคนเดียวเอามาทั้งหมด
หลังเตรียมตัวเรียบร้อย ลู่เซิ่งก็ล้วงวิชาแข็งกร้าวที่จะฝึกเป็นเล่มแรกออกมาจากอกเสื้อ
‘เรามีวิชาโซ่เก้าสินธุกับหัตถ์หมีขยุ้ม ต่างเป็นขอบเขตที่สำเร็จแล้ว หัตถ์หมีขยุ้มนับว่าไม่สมบูรณ์ แต่ว่าวิชาโซ่เก้าสินธุกลับเป็นวิชาแข็งกร้าวระดับพลังปลอดโปร่ง หลังจากสำเร็จยังมีอานุภาพอยู่บ้าง ป้องการการฟาดด้วยอาวุธไร้คมของคนทั่วไปได้’
‘อย่างนั้น ต่อจากนี้ สิ่งที่เราควรฝึกคือวิชาด้ายทองที่เน้นการโจมตีด้วยอาวุธมีคม’
จากนั้นลู่เซิ่งก็ลุกขึ้นสั่นกระดิ่ง
ไม่ทันไรคนจากด้านนอกก็ยกน้ำแกงโอสถสีดำข้นถังหนึ่งเข้ามาตามคำสั่ง น้ำแกงโอสถบรรจุอยู่ในถังอาบน้ำมากกว่าครึ่ง
ลู่เซิ่งรอให้คนออกไป รีบถอดเสื้อผ้า แล้วกระโดดเข้าไปในถังอาบน้ำ
ซี่…
กระแสความร้อนไหลจากผิวเข้าสู่ในร่างกายอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่อยู่ในตัวลู่เซิ่งโคจรโดยอัตโนมัติ ป้องกันพลังความร้อน ผิวเขาแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนกับกุ้งที่ถูกต้มสุก จมูกปากพ่นไอน้ำสีขาวไม่หยุด ร้อนลวกสุดเปรียบปาน
วิชาด้ายทองเป็นวิชาแข็งกร้าวระดับพลังปลอดโปร่ง มีทั้งหมดสองระดับ แยกเป็นด่านด้ายเงินกับด้ายทอง สิ่งที่ฝึกฝนเป็นหลักคือเนื้อเยื่อผิวด้านนอก หลังสำเร็จ ผิวหนังจะทนทานถึงขีดสุด ป้องกันการโจมตีและการหั่นเฉือนด้วยอาวุธมีคม แต่ไม่มีผลต่ออาวุธไร้คม
สิ่งที่ลู่เซิ่งสนใจก็คือผลต้านอาวุธมีคมของมัน
เขาแช่ตัวในน้ำโอสถ ใช้แปรงเหล็กที่แช่อยู่ในน้ำ ค่อยๆ ขัดผิวตามวิธีในวิชาด้ายทอง
ลักษณะของแปรงนี้ไม่ต่างจากแปรงอาบน้ำ แต่กลับสร้างด้วยเหล็กดำ ปลายแหลมคมสุดขีด เป็นของที่จำเป็นต่อการฝึกวิชานี้โดยเฉพาะตามที่วิชาด้ายทองพูดถึง
ลู่เซิ่งนั่งในถังอาบน้ำ ขัดแปรงเหล็กไปๆ มาๆ บนทรวงอก ท้อง และด้านหลัง
เขาเคลื่อนไหวเบามาก แต่หลังเวลาผ่านไป ก็เร่งความเร็วอย่างต่อเนื่อง ผิวแดงขึ้นเรื่อยๆ
เดิมเขามีวิชาแข็งกร้าวที่สำเร็จสองวิชา ร่างกายแข็งแกร่งถึกทน ตอนนี้มาฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวระดับพลังปลอดโปร่งเช่นวิชาด้ายทองอีก ย่อมเบาแรงลงครึ่งหนึ่ง
อย่างรวดเร็ว หลังเวลาผ่านไป ลู่เซิ่งก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีความเย็นลอยขึ้นมาที่ท้องน้อย จากนั้นรูขุมขนทั่วร่างหดตัว กำลังเกิดปฏิกิริยาทีละนิดละน้อยโดยสัญชาตญาณ ดูดซับฤทธิ์ยาในน้ำโอสถพร้อมกับการกระตุ้นของแปรงเหล็ก
…
“ช่วยดับไฟ! ช่วยดับไฟหน่อย!”
“ไฟลามแล้ว! ถังไม้เล่า คนดับไฟจากหอดับไฟเล่า!?”
“ทางนี้ เร็วๆ!”
เฉินอวิ๋นซียืนมองดูภาพชุลมุนที่อยู่ไกลออกไปบนหอสูง คิ้วงามขมวดเล็กน้อย
ฟ้าขาวเหมือนท้องปลา สีน้ำเงินแทรกสีแดงโผล่ขึ้นมาในอากาศด้านทิศตะวันออก
เฉินอวิ๋นซีสวมกระโปรงขาว ยืนอยู่บนดาดฟ้าสักพักหนึ่งแล้ว ด้านหลังเป็นห้องหนังสือที่ปกตินางใช้ดื่มชาฝึกคัดอักษร อ่านหนังสือ
ที่นี่คือหอสะท้อนจันทร์ เป็นหอน้อยสูงห้าชั้นที่บิดาสร้างไว้ให้นางโดยเฉพาะ ทุกชั้นตั้งแต่บนถึงล่างจัดวางของตกแต่งและสิ่งของของนางหลากหลายประเภท
“ซีซี ยังมองดูไฟอยู่อีกหรือ” ขณะกำลังเหม่อ ชายชราผมขาวหนวดขาวน้ำเสียงเปี่ยมพลัง ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง
“ข้าเห็นประตูไม่ได้ปิด จึงเข้ามาดู” ชายชราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เขาสวมเสื้อคลุมผ้าแพร แขวนไข่มุกหยกลายมัจฉาที่เอว บนมือกลับสวมกำไลจากวัสดุที่ไม่ใช่ทองไม่ใช่เงิน หากเปล่งประกายแวววาว
“ท่านพ่อ…ไฟนั่นน่ากลัวยิ่ง…ไม่เห็นแสงไฟสว่างขนาดนี้ในเมืองเลียบคีรีมาหลายปีแล้ว” เฉินอวิ๋นซีหันกลับมากล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“นั่นไม่ใช่ไฟไหม้…แต่…ตอนนี้นับว่าใช่แล้ว…ได้ยินว่าพรรคใต้ดินด้านนอกพรรคหนึ่งเกิดเรื่อง พวกใต้ดินเหล่านี้ไม่ใช่ตัวดีอันใด ข่มขู่กรรโชกดูดเลือด ตายไปหมดๆ ดีที่สุด” ชายชราผู้เป็นบิดาของเฉินอวิ๋นซี เฉินเต้าเจ่านายผู้เฒ่าเฉินเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเมืองเลียบคีรี
ประวัติของนายผู้เฒ่าคนนี้ราวกับเทพนิยาย เริ่มต้นจากศูนย์ แทบอาศัยสองมือตัวเองสร้างเนื้อสร้างตัวจนกลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเมืองเลียบคีรีในตอนนี้
เขาเดิมชื่อเฉินเต้าเจ่าตนเองเปลี่ยนคำว่าเต้าในชื่อ[1] ความหมายของชื่อเดิมคือเขามาเกิดเร็วไป
คนผู้นี้วัยเด็กยากจนข้นแค้น บิดามารดาไม่ชอบ เพราะเขาทำให้พี่ใหญ่สอบเอาบรรดาศักดิ์ลำบาก
คาดไม่ถึงว่าหลายสิบปีให้หลัง ตระกูลเฉินมีแต่เขาคนเดียวเจริญรุ่งเรือง ถึงจะเป็นพ่อค้า แต่กิจการใหญ่โต เหนือกว่าจินตนาการของบิดามารดา
สิ่งที่น่ายินดีกว่าก็คือ หลังเขามีบุตรคนโต ก็มีอวิ๋นซีบุตรีเพิ่มมาอีกคน นางกตัญญู นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว
“พรุ่งนี้คุณชายหวังผู้นั้นจะมาเป็นแขกบ้านเรา เจ้าต้องแต่งตัวสวยๆ เพราะต้องออกหน้าต้อนรับ” เฉินเต้าเจ่ากำชับ
“ข้าไม่ชอบหวังซุ่นหย่ง” เฉินอวิ๋นซีเอ่ยเบาๆ
“นั่นทำไม่ได้ พวกเราเป็นคนค้าขาย ชีวิตอยู่ในกำมือครอบครัวขุนนางเช่นพวกเขา ลูกเอ๋ย…พวกเราเกิดในกลียุคเช่นนี้ สุดท้ายร่างกายไม่ใช่ของตนเอง…” เฉินเต้าเจ่ากล่าวอย่างจนใจเช่นกัน
เขาไหนเลยจะอยากให้บุตรสาวตนแต่งเป็นอนุให้แก่บุตรของรองผู้บัญชาการเช่นหวังซุ่นหย่ง แต่มีวิธีใด ก่อนหน้านี้ยามปกติก็ว่าไปอย่าง ตอนนี้เกิดความวุ่นวายติดต่อกัน เส้นทางการค้าใกล้จะหายไป สิ่งของในเมืองขาดแคลนกว่าเดิม ตระกูลเฉินที่กักตุนของไว้มากที่สุดกลายเป็นแพะอวบอ้วนในสายตาคนบนตำแหน่งสูง
ปกติถึงแม้ติดสินบนไม่น้อย แต่เวลานี้เป็นช่วงคับขัน เส้นสายที่อาศัยเงินเพื่อให้ได้มาเหล่านั้นไหนเลยพึ่งพาได้
ดังนั้นแม้การกระทำนี้จะทำให้บุตรีได้รับความอัปยศ แต่ก็ได้แต่อดทน
ถึงเวลาหวังซุ่นหย่งมาถึง เขาเป็นบุตรคนเดียวของตระกูลหวังรองผู้บัญชาการ ขอแค่ใช้ยาเสน่ห์ส่วนหนึ่ง ข้าวดิบก็ต้มเป็นข้าวสุก… บวกกับส่งสินเดิมเป็นอาหารธัญพืชให้เป็นจำนวนมาก สถานะอนุของอวิ๋นซีก็ไม่หนีไปไหน
เฉินอวิ๋นซีจนปัญญา นางไม่ทราบแผนการของบิดา แต่ว่าที่สุดแล้วบิดาบุตรีก็เข้าใจกัน นางมองความคิดของเฉินเต้าเจ่าออกไม่มากก็น้อย
เฉินเจียวหรงพี่ชายเพิ่งหมั้นหมายกับบุตรีของขุนนางลงทัณฑ์แห่งกรมลงทัณฑ์ในเมือง
ขุนนางลงทัณฑ์เป็นขุนนางที่ดูแลคุกในที่ว่าการ ปัจจุบันนับเป็นบุคคลยิ่งใหญ่สิบอันดับแรกของที่ว่าการในเมืองเลียบคีรี สามารถผูกสัมพันธ์กับครอบครัวเช่นนี้ได้ นับว่าพวกเขาตระกูลเฉินคบหากับคนระดับสูงกว่าแล้ว
จะว่าไป ตระกูลเฉินเหมือนกิจการใหญ่โต แต่ความจริงเป็นน้ำใจที่เฉินเต้าเจ่าได้จากการสนับสนุนการเงินแก่ใต้เท้าในที่ว่าการเป็นที่พึ่ง แต่ตอนนี้น้ำใจลดลงทุกวัน ใกล้จะใช้หมดแล้ว เมืองเลียบคีรีประสบเหตุเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่หาผู้สนับสนุน เกรงว่าจะเกิดเรื่อง
“ซีซี พ่อเองก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเงื่อนไขที่อีกฝ่ายเสนอตอนเจียวหรงพี่ของเจ้าขอแต่งงานคืออะไร” เฉินเต้าเจ่าแสดงสีหน้าจนใจและไร้เรี่ยวแรง
“เงื่อนไขใด ไม่ใช่เงินทองหมื่นตำลึง ไข่มุกอีกสิบชุดหรือ ผลงานของคนมีชื่อเสียงอีกตั้งเท่าไหร่” เฉินอวิ๋นซีกล่าวอย่างสงสัย
เฉินเต้าเจ่ามองบุตรีที่ไร้เดียงสาผู้นี้ ยิ้มฝาดพลางส่ายหน้า
“นั่นเป็นแค่เปลือกนอก สิ่งที่ใต้เท้าขุนนางลงทัณฑ์ต้องการจริงๆ เป็นทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของตระกูลเฉิน…”
“หา!?” เฉินอวิ๋นซีพลันตกตะลึง
ทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่ง…นี่มัน…
“ถ้าครั้งนี้เจ้าทำสำเร็จ กิจการ รากฐานที่เหลืออยู่ของพวกเราอาจรักษาไว้ได้สักสองส่วน แต่ถ้าไม่สำเร็จ…” เฉินเต้าเจ่าหัวเราะหนักใจ คนภายนอกมองเขามีสง่าราศี แต่ความขื่นขมข้างในจะมีสักกี่คนที่รู้
ดูเหมือนมีกิจการใหญ่โต แต่ความจริงเป็นแพะอวบอ้วนในสายตาคนจำนวนมาก
เฉินอวิ๋นซีเงียบงัน
นางก้มหน้า สักพักค่อยๆ เงยขึ้น
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
“เจ้าเขาใจก็ดีแล้ว…” เฉินเต้าเจ่าพยักหน้าเอ่ยปลอบ ที่เลี้ยงบุตรีไม่ใช่เพื่อการเตรียมตัวในวันนี้หรือ
“ข้าอยากไปสถานศึกษาเป็นครั้งสุดท้าย…” เฉินอวิ๋นซีเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“จะไปหาลู่เซิ่งนั่นอีกแล้ว ใช่หรือไม่ เขาไม่ต้องการเจ้า เจ้ายังไปหาเขาทำอะไร แค่คนไม่เอาถ่านจากตระกูลเล็กๆ คนเดียว! ร่ำเรียนวิทยายุทธ์เล็กน้อยก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้ว!” เฉินเต้าเจ่าพลันไม่พอใจ เขาแม้ทำกิจการใหญ่โต แต่สุดท้ายไม่ใช่คนในยุทธภพ ไม่ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของระดับสูงในพรรควาฬแดง ย่อมไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของลู่เซิ่ง หรืออาจได้ยินมา แต่นึกว่าแค่คนชื่อเดียวกัน จึงไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
ยามนี้เห็นบุตรีมีท่าทางดื้อรั้น ในที่สุดเขาก็ใจอ่อน
หวังซุ่นหยงที่จะวางยาล่อลวงเป็นบุตรคนเดียวของรองผู้บัญชาการที่ก่อนหน้าเคยปฏิเสธบุตรีของตนอย่างชัดเจน เรื่องนี้ต่อให้ราบรื่น ตระกูลหวังก็ต้องคิดบัญชี อวิ๋นซีที่แต่งไปจะต้องได้รับความอัปยศเพราะเหตุนี้ บวกกับสถานะอนุแล้ว…ชีวิตในภายหลังจะต้องลำบากยากเข็ญ
คิดถึงตรงนี้ เฉินเต้าเจ่าในที่สุดก็ถอนใจ
“ไปเถอะๆ แต่อย่าได้ใช้อารมณ์เด็ดขาด… ห้ามวู่วาม ไม่อย่างนั้นตระกูลเฉินจะ…” เขาถอนใจ หมุนตัวจากไป ไม่พูดมากอีก
เฉินอวิ๋นซีมองตามจนบิดาออกจากห้อง ในที่สุดก็ข่มกลั้นไม่ไหว ทรุดฮวบลง น้ำตาไหลอาบสองแก้ม
……………………………………….
[1] เฉินเต้าเจ่า เปลี่ยนชื่อเดิมจาก 陈到早 (เฉินผู้มาถึงเร็ว) 陈道早 (เฉินผู้สำเร็จเต๋าเร็ว)