ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1062 ศึกสับสน (2)
“อยากฟันอีกสักครั้งสองครั้งไหม” เว่ยหานตงดีดหัวขวานที่อยู่บนศีรษะเบาๆ
เปรี้ยง!
ขวานใหญ่ระเบิดแหลก คนคนนั้นปลิวออกไปด้านหลัง
แม้คนคนนั้นจะรีบเคลื่อนไหวในพริบตา แต่ก็ยังโดนถากๆ แค่นเสียงทีหนึ่ง เลือดหลายหยดกระจายไปกลางอากาศ
เว่ยหานตงผุดสีหน้าเมินเฉย ก่อนจะลากผู้หญิงเดินไปยังทางอื่น
วรยุทธ์ของเขาไม่มีจุดอ่อน
จะพูดให้ถูกคือ เขาเหมือนลู่เซิ่งฉบับย่อส่วน
พละกำลังเทียบกับหงซื่อไม่ได้ ความเร็วเทียบกับพี่น้องตระกูลไป๋ไม่ได้ พลังป้องกันและความเร็วในการฟื้นตัวเทียบอันซาไม่ได้ แต่ทุกอย่างสมดุล แค่ด้อยกว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้น น
เมื่อสิ่งเหล่านี้ผสานกัน ก็กลายเป็นตัวตนที่น่ากลัวถึงขีดสุด
เขาเร็วกว่าหงซื่อ แข็งแรงกว่าพี่น้องตระกูลไป๋ การป้องกันแกร่งกว่าอันซาเล็กน้อย คนอื่นๆ สู้ไม่ได้ เมื่อผสมผสานกัน ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหน เขาก็ปลอดโปร่งเป็นอิสระ ไร้สิ งใดยากเย็น
และนี่ก็ยังเป็นสภาพขีดจำกัดที่เว่ยหานตงแสวงหามาโดยตลอด เหมือนกับอาจารย์ลู่เซิ่งที่เขาเคารพ
“พวกแก…อ่อนแอเหลือเกิน” เขาเช็ดเลือดที่ติดอยู่บนผมอย่างเงียบๆ “แม้แต่หนังหัวหนึ่งในร้อยส่วนของฉันก็ยังไม่ถลอก ความอ่อนแอแบบนี้อยู่เหนือจินตนาการของฉันเสียอีก”
เขาเหมือนลู่เซิ่งมาก
แม้แต่ไอ้ความหน้าไม่อายนี้ก็ยังเหมือน
“อ๊าก! ไปตายเสียเถอะ!” ในที่สุดคนอื่นๆ ก็ทนไม่ไหว เผยโฉมร่างออกมาและพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างบ้าคลั่ง
…
การระเบิดและการปะทะกันเล็กๆ เกิดขึ้นในเมืองด้านล่างเป็นระยะ
แม้สิ่งก่อสร้างจะยังคงถูกทำลายเป็นบริเวณเล็กๆ แต่ดีกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว
ชายร่างผอมสูงที่สวมเสื้อโคตสีดำคนหนึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศ พลางก้มมองเมืองที่สับสน
ชายหญิงห้าคนที่ใส่เสื้อโคตสีดำเหมือนเขา ลอยอยู่ด้านหลัง ด้านหลังเสื้อของพวกเขามีคำว่าเก้าตัวใหญ่ติดอยู่
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือ ตาขวาของผู้ชายปิดผ้าปิดตาสีดำเอาไว้ ใบหน้าฉายแววเกียจคร้านเบื่อหน่าย
“หัวหน้า มีการเคลื่อนไหวแล้วค่ะ” ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเบาๆ
ผู้ชายหยิบบุหรี่ที่ยับยู่ตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะดีดนิ้ว สะเก็ดไฟกระจายออกมาจุดบุหรี่
เขากัดบุหรี่ไว้ในปากพลางอัดควัน
“เป็นคนฝั่งไหน”
“คนของสหพันธ์พลังจิตค่ะ แสงดาวสีครามก็อยู่เหมือนกัน พวกเขา พวกเขาทยอยมาแล้ว”
“ให้พวกเขากลับไป ที่นี่ไม่ต้องการให้พวกเขาลงมือ” ผู้ชายเอ่ยอย่างราบเรียบ
“หา? ตอบตรงๆ แบบนี้เหรอคะ” หญิงสาวงุนงงเล็กน้อย
“แน่นอน บอกว่าเจิ้งฮวนเป็นคนบอก”
“เข้าใจแล้วค่ะ…” หญิงสาวพยักหน้าอย่างแรงก่อนจะรีบถอยไป แล้วเริ่มใช้อุปกรณ์ติดตัว ติดต่อกับทางสหพันธ์พลังจิต
เจิ้งฮวนสูบบุหรี่อีกหลายครั้ง ทันใดนั้นก็เงยหน้ามองไปยังด้านบนด้วยสายตาเยือกเย็น
ยานสีเงินขนาดยักษ์ที่ใหญ่ยิ่งกว่าครั้งก่อนค่อยๆ ทะลุผ่านชั้นเมฆเหนือเมืองอันหมิงลงมาด้านล่าง
“โง่เง่า!” เขายิ้มอย่างรังเกียจ
ในฐานะผู้ใช้พลังจิตระดับสูง เขาควบคุมยานรบขนาดยักษ์แบบนี้ได้หลายลำมานานแล้ว ยิ่งอย่าว่าแต่ตอนนี้
หลังจากได้รับการชี้แนะและการสั่งสอนจากคนที่น่ากลัวเหมือนปีศาจคนนั้น เขาในตอนนี้ก็ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมไปแล้ว
ไปถึงระดับอันแปลกประหลาดที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งขนาดไหน
“ชิงสิทธิ์การควบคุม ให้มันไสหัวออกไปเอง” เจิ้งฮวนสั่ง
แต่ตอนนี้เขาขี้เกียจลงมือ ยอดฝีมือด้านหลัง จัดการเหตุการณ์เล็กๆ แบบนี้ได้
ยอดฝีมือในหน่วยพลังจิตด้านหลังเขา ซึ่งเป็นสหายที่ได้รับการชี้แนะและสั่งสอนเหมือนกัน ต่างก็เป็นผู้ใช้พลังจิตที่ก้าวข้ามความธรรมดาไปแล้ว
ถ้าสิ่งที่ผู้ใช้พลังจิตทั่วไปเชี่ยวชาญที่สุด คือการควบคุมวัตถุ อย่างนั้นสิ่งที่ผู้ใช้พลังจิตอย่างพวกเขาที่ได้รับการชี้แนะถนัดที่สุดก็กลายเป็นการควบคุมพลังจิต
ควบคุมพลังจิตของผู้ใช้พลังจิตคนอื่น!
“แค่ยานรบระดับเบอร์ธาลำเดียว ฉันจัดการเอง” ผู้ชายคนหนึ่งขยับมาด้านหน้าช้าๆ พร้อมเงยหน้ามองยานรบเหนือศีรษะ
ครืน!
ความบิดเบี้ยวโปร่งใสสายหนึ่งพุ่งออกจากดวงตาของเขาอย่างฉับพลัน จากนั้นก็หายไปในอากาศบนศีรษะในพริบตา
ยานรบพลันสั่นไหว การลงจอดในตอนแรกถูกสะกดไว้ แล้วเริ่มถอยกลับไปด้านบน
“พวกมันมีผู้ใช้พลังจิตไม่น้อย ช่วยที!” ผู้ชายพลันเอ่ยเสียงเร่งรีบ
“ฉันเอง!” อีกสองคนลงมือพร้อมกัน ส่งพลังจิตสองสายสู่ฟากฟ้า
ยานรบถอยหลังกลับไปเร็วกว่าเดิม
ไม่นานนัก ท้องฟ้าก็กลับมาเป็นสีครามเหมือนเดิม
บุหรี่ในปากเจิ้งฮวนหายไปเป็นส่วนเล็กๆ เขาหมุนตัวมา
“ไปแล้วเหรอ”
“ค่ะ ไปแล้ว ผู้ใช้พลังจิตอย่างน้อยห้าคนของสหพันธ์พลังจิตถูกทำลายพลังจิต ได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกมันถอยไปเพราะสู้ไม่ได้” ผู้ใช้พลังจิตหญิงเมื่อก่อนหน้านี้รีบตอบ
“แสงดาวสีครามก็ถอยไปแล้วเหมือนกัน พวกเขาส่งข้อความมาอย่างเป็นมิตร บอกว่าถ้าพวกเราต้องการความช่วยเหลือ สามารถส่งข้อความถึงพวกเขาได้ตลอดเวลา”
ผู้ชายอีกคนกล่าวอย่างรวบรัด
“ส่งข้อความกลับไปขอบคุณ” เจิ้งฮวนสั่ง
“ครับ”
เจิ้งฮวนกลับมาเหม่อลอยเหมือนเดิม มองดูเมืองที่ระเบิดอย่างต่อเนื่องด้านล่างอย่างใจลอยเล็กน้อย
ภารกิจของเขาคือการขัดขวางไม่ให้ขุมกำลังภายนอกเข้ามาแทรกแซง
หากเป็นเขาคนเดิม นี่อาจเป็นภารกิจที่ยากเย็นจนไม่อาจทำสำเร็จ แต่สำหรับเขาในตอนนี้ ภารกิจนี้ช่างง่ายดายเหลือแสน
พลังหรือ
ของแบบนี้ต้องพิจารณาด้วยเหรอ
เขาในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่าตัว แต่ก็ยังไม่หลุดพ้นจากเงาของคนคนนั้น
หากไม่มีพลังถึงเงื่อนไขที่กำหนด ก็ล้วนอ่อนแอ
“ดีที่แข็งแกร่งพอจะไปแก้แค้นได้แล้ว” เขาพึมพำ ตระกูลโฮรัสเป็นผู้ทรงอำนาจในดาวแฝดคู่ แต่เมื่ออยู่ในสหพันธ์พลังจิต กลับเป็นเพียงงูเจ้าถิ่นตัวเล็กๆ ที่ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง
“หัวหน้า นั่นมันอะไรกัน!?” อยู่ๆ ลูกน้องคนหนึ่งก็ร้องอย่างตกใจ
เจิ้งฮวนหยุดย้อนระลึกความหลังก่อนจะเลื่อนสายตาไป
“หือ นั่นมันอะไร” เขามองดูลวดลายสีฟ้ากลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นกลางท้องฟ้าอย่างสงสัยเล็กน้อย
ลวดลายเป็นทรงกลม ตอนแรกมีเส้นสายไม่เยอะมาก ทั้งยังเป็นเพียงโครงสร้างแนวระนาบ ต่อมากลับมากขึ้นและหนาขึ้นเรื่อยๆ
“ช่างเถอะ ไปสนใจทำไม ทำลายทิ้งก็พอ” เจิ้งฮวนกล่าวอย่างไม่นำพา
เขายื่นมือเล็งไปยังบริเวณนั้น พลังจิตทะลักไหลด้วยความเร็วสูง พลังจิตอันมหาศาลที่เยอะกว่าเขาคนเดิมห้าเท่าตัวรวมตัวกันกลายเป็นทรงกลมบิดเบี้ยวกลุ่มหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“ระดับ A หรือ!?” เสียงตกใจของผู้ชายดังมาจากลวดลายทรงกลมนั้น
“รอเดี๋ยวก่อน พวกเราไม่มีเจตนาร้าย พวกเรามาที่นี่เพื่อกวาดล้างผู้มีเจตนาร้ายซึ่งสร้างความเสียหายให้เมืองของพวกคุณ” เขารีบอธิบาย
“นอกจากนี้ ในฐานะผู้เข้มแข็งระดับ A เหมือนกัน คุณคงอยากจะรู้ความลับการอุบัติของไวรัสเมื่อก่อนหน้านี้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ พวกเรามอบเบาะแสให้ได้นะ”
“แต่ฉันไม่สนใจ” เจิ้งฮวนเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
“ครั้งนี้พวกเราจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยในการวาร์ปมา เพื่อแลกเปลี่ยน ขอแค่คุณไม่ทำลายกระบวนการวาร์ป พวกเราจะตอบรับคำขอข้อหนึ่งของคุณแบบมีเงื่อนไข” ผู้ชายเสนอต่อ
“ไม่สนใจ” เจิ้งฮวนสลัดเถ้าบุหรี่ทิ้ง แล้วรวมพลังจิตต่อไป พลังของอีกฝ่ายทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการคุกคามเหมือนกัน แต่นี่เกี่ยวอะไรกันล่ะ
“เพื่อน พวกเราไม่มีความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ แม้ที่นี่จะเป็นเมืองของคุณ แต่พวกเราไม่มีเจตนาร้าย ถ้าคุณยังดึงดันจะขัดขวางการวาร์ป คุณจะต้องตระหนักถึงผลที่จะตามมาด้วย พวกเรา มีระดับ A ไม่ต่ำกว่าหนึ่งคน” ทางผู้ชายเริ่มเหลืออดบ้างแล้ว
“การมาถึงระดับ A ในสถานที่บ้านนอกแบบนี้ได้ ถือว่าน่านับถือแล้ว แต่ถ้าคุณยังคงยืนกรานจะทำแบบเดิม พวกเราก็ไม่ใช่ไม่เคยทำลายดาวเคราะห์อย่างดาวแฝดคู่มาก่อน”
เจิ้งฮวนอัดควันบุหรี่อีกรอบ
“คำพูดนี้นายไปพูดกับหัวหน้าฉันก็แล้วกัน ฉันไม่เกี่ยว”
“อะไรนะ” เสียงในวงแหวนเวทพลันชะงัก
เจิ้งฮวนทิ้งบุหรี่ในมือ มังกรยักษ์สีเงินหลายตัวออกมาจากผงสีเงินด้านหลัง พวกมันขดม้วนตัวพร้อมกับพุ่งใส่วังวนการวาร์ปอย่างรุนแรง
เกิดเสียงดังตูม ท้องฟ้ากลับมาสงบเงียบเหมือนเดิม
“วงแหวนวาร์ประหว่างดาวของฉัน! บ้าเอ๊ย!” เหมือนจะมีใครบางคนกระอักเลือด เสียงครางเบาๆ ดังเข้าหูเจิ้งฮวนตามการสั่นสะเทือนสุดท้าย
เขาแคะหูพร้อมดูเวลา
“หัวหน้าบอกให้เฝ้าสามชั่วโมง ตอนนี้ผ่านไปสองชั่วโงครึ่งแล้ว ทุกคนทนหน่อย ความอดทนนำมาซึ่งชัยชนะ อีกเดี๋ยวฉันเลี้ยงพวกนายมื้อใหญ่เอง”
“หัวหน้า…ไม่เอาซาลาเปาทอดของเสี่ยวเจิ้งแล้วนะคะ…ฉันกินจนจะอ๊วกแล้วเนี่ย…” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวอย่างระอา
“เป็นงั้นได้ไง ซาลาเปาทอดอร่อยจะตาย แถมถ้าไปกินร้านประจำ ฉันยังมีคูปองลดราคาด้วย พวกเธอไม่ดีใจเหรอไง” เจิ้งฮวนมองลูกน้องตัวเองด้วยใบหน้าแปลกใจ
“ดะ…ดีใจค่ะ…”
“ดีใจอยู่แล้วครับ…”
ทุกคนตอบอย่างอ่อนแรง
“อย่าลืมใช้คูปองที่ได้ครั้งก่อนด้วยล่ะ ใกล้หมดเขตแล้ว” เจิ้งฮวนเสริมอีกประโยค
ทุกคนหมดคำพูดโดยสิ้นเชิง
…
บนพื้นด้านล่าง
ลู่เซิ่งหุบปีกอย่างช้าๆ พร้อมสาวเท้าเดินเข้าทางเข้าที่หลบภัยใต้ดินแห่งหนึ่ง
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำหลายคนที่สูงสองเมตรติดตามอยู่ด้านหลังเขา รอบๆ มีศิษย์โถงเก้าชีวิตสิบกว่าคนคอยเฝ้าอยู่
ลู่เซิ่งรับเสื้อซึ่งคนที่อยู่ใกล้ๆ ส่งมาให้ เขาสวมใส่มันขณะเดินไปด้วย
“จำไว้ว่า ตอนนี้ฉันเป็นแค่เจ้าหน้าที่ดูแลห้องสมุดธรรมดา! ได้เงินเดือนเดือนละสามพันแปด เธอเป็นคนดูแลอาหารการกินให้” เขาชี้ศิษย์หลักคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ
“หะ…หัวหน้า…ผม่ไม่กล้าครับ…” ศิษย์คนหนึ่งผุดสีหน้าขื่นขม
“เธอมา!” ลู่เซิ่งชี้อีกคน
“ครับ…ครับ!”
คนคนนี้ตอบรับสั่นๆ
“ตั้งแต่นี้ไปให้เรียกฉันว่าเสี่ยวหวัง เสี่ยวหวัง จำได้หรือยัง ไหนลองเรียกดูหน่อย” ลู่เซิ่งรีบบอก
“หะ…หัวหน้าเสี่ยวหวัง!”
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งตบเขากระเด็นออกไปติดอยู่บนกำแพงด้านหลัง ไม่สามารถออกมาได้
“เธอ! เธอมา!” ลู่เซิ่งชี้คนที่สาม
“ต้าหวัง!”
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งตบเขากระเด็นออกไปหลายสิบเมตร ก่อนจะสลบไปบนขั้นบันไดหิน
“ช่างเถอะ เธอมา!” ลู่เซิ่งชี้เว่ยหานตงที่ยิ้มฝาดเป็นคนสุดท้าย
เว่ยหานตงตอบรับด้วยใบหน้าเหยเก
“อาจารย์อย่าไปโทษพวกเขาเลย พวกเขาเคารพอาจารย์เหมือนเทพเจ้า เลยไม่กล้าล่วงเกิน”
“เธอล่ะ เธอทำได้ไหม” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“เอาอย่างนี้ ผมเรียกอาจารย์ว่าพี่ใหญ่ก็แล้วกัน บอกว่าอาจารย์เคยช่วยชีวิตผมไว้ ผมก็เลยดูแลอาจารย์ แบบนี้ได้ไหมครับ”
“ได้ ไปเถอะ” ลู่เซิ่งขี้เกียจพูดมาก แค่รับมือให้ผ่านไปได้ก็พอ