ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1063 ลาก่อน (1)
พวกลู่เซิ่งเดินไปตามเส้นทางใต้ดิน แล้วโดยสารลิฟท์ลงด้านล่าง
ลิฟท์ใหญ่ที่เก่าอยู่บ้าง ส่งเสียงดังกึงกังๆ เบาๆ
ลู่เซิ่งจัดเสื้อผ้าตัวเอง
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”
“ครอบครัวของอาจารย์ยังสบายดีครับ อยู่ภายใต้การคุ้มครองของยอดฝีมือจากหน่วยพลังจิต ทำให้รอดมาได้ เพียงแต่…มีลูกๆ ของญาติห่างๆ ติดเชื้อไปแล้ว”
“พวกเธอพยายามแล้ว” ลู่เซิ่งเงยหน้ามองตัวเลขชั้นที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
“บ้านลุงใหญ่ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรครับ พวกเราใช้มาตรการกักตัวทันที” เว่ยหานตงตอบ
ซู่…
ประตูลิฟท์เปิดออกช้าๆ ด้านนอกมีทหารสวมเกราะเฝ้าอยู่
พวกเขาสวมชุดเกราะอัลลอยด์ทางทหารแบบปิดคลุมในรูปแบบเกราะเต็มตัว เกราะแบบนี้บางกว่าหุ่นยนต์มาก แต่พลังป้องกันเหนือกว่าเกราะกันกระสุนทั่วไป เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ดีที่สุดสำหรับใช้ตอนเมืองเกิดจราจล
“ยืนตรง! ทำความเคารพ!”
ทหารสวมเกราะที่เป็นผู้นำลดปืนพลังงานจลน์ลง แล้วกดหน้าอกก้มหน้าให้แก่ลู่เซิ่ง
ทหารที่เหลือต่างเคลื่อนไหวแบบเดียวกัน
ลู่เซิ่งกวาดตามองชั้นนี้
ในชั้นว่างเปล่า นอกจากทหารสวมเกราะแล้ว ก็มีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยวิทยาการสูงหลากหลายชนิด
“พวกเราติดตั้งแนวป้องกันยี่สิบห้าแนวไว้ที่นี่ สามารถรับมือวิธีการโจมตีต่างๆ เช่น การหมอบซุ่ม การบุกทะลวง การทำลายจากภายนอก การระเบิดระยะไกล และการลอบโจมตีของมือสังหารได้ครับ” หัวหน้าทหารสวมเกราะคนนั้นรีบอธิบาย
“ดีมาก” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“จากตรงนี้ไปด้านล่างไม่มีลิฟท์ จำเป็นต้องตัดผ่านชั้นนี้ ค่อยไปถึงเขตหลบภัยชั้นถัดไปได้” เว่ยหานตงเสริม
“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งสาวเท้าออกจากลิฟท์ พวกทหารแบ่งเจ้าหน้าที่พิเศษคนหนึ่งออกมานำทางเขา ตัดผ่านแนวป้องกันแต่ละชนิดอย่างระมัดระวัง อ้อมเป็นวงหลายรอบ ไม่นานก็เข้าไปในประตูลับที่แยกออกบนผนัง
เดินลงไปอีกหนึ่งช่วงบันได ในที่สุดก็ถึงชั้นหลบภัยของจริง
หลังจากประตูโลหะยักษ์ที่ใช้แรงดันปิดผนึกเปิดออก ลู่เซิ่งก็เดินเข้าไป ก่อนจะสัมผัสความปลอดโปร่งกว้างขวางได้ทันที
สิ่งที่เข้าสู่คลองจักษุคือช่องว่างในลักษณะลานกว้างขนาดยักษ์ที่กว้างหลายร้อยเมตร
ด้านในช่อง แบ่งเป็นสามชั้นเหมือนกับไส้คุกกี้ เห็นผู้หลบภัยได้มากมาย
ทุกๆ ชั้นแบ่งเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ ขนาดเท่าๆ กัน
โดรนส่งของขนาดเล็กบางส่วนบินด้วยตัวเองตัดไปมาระหว่างห้องเหมือนกับผึ้ง คอยส่งอาหารและเสบียงให้เป็นจำนวนมาก
“ที่นี่กันเสียงได้ดีมาก” ลู่เซิ่งเพียงได้ยินเสียงพูดคุยเบาๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงเครื่องยนต์ของโดรนที่ดังหึ่งๆ
“ระดับการกันเสียงของที่นี่คือระดับ A ซึ่งเป็นระดับสูงสุด เป็นเพราะต้องป้องกันการสั่นสะเทือนจากอาวุธที่ส่งเสียงดังเป็นวงกว้างบนพื้นดิน ดังนั้นตอนสร้างถึงได้สร้างตามระดับสูงสุดครับ” ทหารสวมเกราะแนะนำ
“ดีมาก คุณไปเถอะ ฉันจะเป็นคนพาไปเอง” เว่ยหานตงพูดกับทหารคนนั้น
“ครับ หัวหน้า!” นายทหารยืนตรง ก่อนจะหมุนตัววิ่งเหยาะๆ จากไป
ลู่เซิ่งเดินขึ้นแกนวาร์ปอัตโนมัติภายใต้การนำทางของเว่ยหานตง
ขอแค่ใส่ที่อยู่ไปในแกนวาร์ปพวกนี้ ก็จะวาร์ปคนไปยังสถานที่ที่กำหนดได้
เว่ยหานตงใส่ที่อยู่ไปพลาง แนะนำให้ลู่เซิ่งฟังไปพลาง
“จนถึงตอนนี้ ครอบครัวของอาจารย์ยังนึกว่ารัฐบาลเป็นผู้จัดหาที่อยู่ให้พวกเขา พวกเราไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นกรณีพิเศษแต่อย่างใด พวกเขาไม่สามารถติดต่อกับคนภายนอกได้ หากมีตัวเปรียบเทียบเมื่อไหร่ย่อมสังเกตเห็นเอง การปกปิดด้านนี้จะไร้ความหมายทันที”
ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ “ไปดูก่อนค่อยว่ากัน ไปหาลุงใหญ่ก่อน”
“ครับ”
…
หวังจวินหาวถือกระเป๋าเสบียงตามโควต้าที่เพิ่งไปเอามา เข้าบ้านจัดสรรหลังเล็กที่ครอบครัวตัวเองอยู่ ใบหน้าฉายแววสับสนจางๆ
ตอนแรกพวกเขากำลังทำงานในแผนก ทุกอย่างยังดีๆ อยู่ ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงร้องดังมา ซอมบี้หลากหลายชนิดโผล่มาพร้อมกัน พวกมันได้ทำลายโลกทัศน์ที่เขาสร้างขึ้นและปรับปรุงจนสมบูรณ์แบบมาหลายปีจนพังทลายในพริบตา
ยังไม่รอให้เขาได้สติ ก็มีตำรวจกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามาในแผนก พาพวกเขามารวมตัวกันแล้วตรวจสอบทีละคน จากนั้นก็ใช้รถบรรทุกขนพวกเขามายังที่หลบภัย
ระหว่างอยู่บนรถ พวกเขาเห็นฝูงซอมบี้มากมายที่แทบมีไม่หมดไม่สิ้น ในนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งนับไม่ถ้วนที่มีความสามารถแปลกประหลาดอยู่ด้วย
ท้องฟ้า ผืนดิน และใต้ดินต่างก็มีสัตว์ประหลาดที่อยู่เหนือความเข้าใจบางส่วนโผล่มาอย่างกะทันหัน
“รู้สึกไม่ใช่โลกเดิมที่เคยใช้ชีวิตอีกแล้ว” หวังจวินหาวถอนใจ สิ่งที่โชคดีก็คือลูกสาวและลูกชายของเขายังปลอดภัย เหลือแต่หลานชายเท่านั้นที่ตอนนี้ยังไร้ข่าวคราว
เขาจะจ่ายเงินขอให้คนช่วยถามไถ่ให้ แต่พวกเขาไม่ยอมรับ
“ลุงใหญ่!” ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาประตูดังมาจากด้านนอก
พอหวังจวินหาวได้ยินเสียง สีหน้าก็ฉายแววตื่นเต้น รีบไปเปิดประตูทันที
หวังเฉิงและหวังจื่ออวิ๋นที่อยู่ในห้องรีบเดินออกมา
พวกเขานึกว่าหวังมู่ตายแล้ว การรอดมาจากสภาพที่โกลาหลแบบนั้นได้แทบเป็นปาฏิหาริย์
หากไม่ได้รับการคุ้มครองมากพอ คนธรรมดาก็เป็นได้เพียงอาหารจานหนึ่งเท่านั้น
พอทั้งสามเห็นลู่เซิ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูต่างก็แสดงสีหน้าดีใจ
การมีคนเพิ่มในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ถือว่ามีการช่วยเหลือเพิ่มมาส่วนหนึ่ง
“รีบเข้ามาเร็ว!” หวังจวินหาวลากลู่เซิ่งเข้าห้อง
“แกมาได้ยังไง ตำรวจพวกนั้นมาส่งเหรอ” หวังจวินหาวรีบถาม
ลู่เซิ่งถูกลากเข้าไปนั่งลงในบ้าน
“ผมกับคนของโถงเก้าชีวิตมีมิตรภาพกันอยู่บ้าง พวกเขาช่วยจัดการให้ผม ผมเป็นคนขอให้เพื่อนๆ ดึงพวกลุงเข้ามาในรายชื่อชุดแรกเอง” เขาอธิบายตรงๆ
หวังจวินหาวกระจ่างแจ้ง เขารู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง ตนเองไม่มีเงินไม่มีอำนาจ คนชุดแรกที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นพวกมีเงินมีตำแหน่งกันทั้งนั้น แตกต่างกับครอบครัวเขาโดยสิ้นเชิง
“พี่คะ…” หวังจื่ออวิ๋นเดินเข้ามาช้าๆ และเรียกลู่เซิ่งอย่างว่าง่าย
อุบัติเหตุรถยนต์ทำให้เธอเกือบตาย เทียบกับก่อนหน้านี้ เธอในตอนนี้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ขณะเดียวกันเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้ความลับบางส่วนของลู่เซิ่งด้วย
“อือ ลูกผู้พี่เธอล่ะ” ลู่เซิ่งมองเธอ
“พี่จิ้งอยู่อีกที่ค่ะ อยู่ติดกับพวกเรา” หวังจื่ออวิ๋นรีบตอบ
“คนอื่นๆ ล่ะ ยังอยู่ใช่ไหม” ลู่เซิ่งถามอีก
“ยังอยู่ดีค่ะ แต่…ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะทำยังไงดี พี่ พี่มีแหล่งข่าวอยู่บ้าง ช่วยสืบมาให้หน่อยได้ไหมคะว่าตอนนี้ด้านนอกเป็นอย่างไร” หวังจื่ออวิ๋นวิงวอน
“ฉันเพิ่งมาจากด้านนอก โดยพื้นฐานแล้วไม่มีปัญหาอะไรหรอก ยังมีสภาพหลงเหลือที่ต้องตรวจสอบไวรัส” ลู่เซิ่งตอบ “พวกเธอไม่ต้องห่วง ถ้าเพื่อนฉันบอกอะไรเพิ่ม ฉันจะบอกพวกเธอทันที”
“อื้อ ขอบคุณค่ะพี่”
ลู่เซิ่งลุกขึ้น
“พวกลุงไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นผมขอตัวก่อน ที่หลบภัยของผมอยู่อีกแห่ง ถ้าจะมาจะต้องอาศัยเส้นสายของเพื่อนผม”
“ได้ แกไปทำงานเถอะ…สัญญาณของที่นี่ไม่ค่อยดี ไม่อย่างนั้นคงใช้โทรศัพท์ติดต่อหากันได้ตลอดเวลา” หวังจวินหาวกล่าวอย่างจนใจ “รออีกเดี๋ยว ให้ป้าแกกลับมาก่อนดีไหม”
“ไม่ต้องหรอกครับ เวลาเร่งด่วน ผมไม่อยากทำให้เพื่อนผมลำบาก” ลู่เซิ่งกล่าวพลางส่ายหน้า
“ไปเถอะ…” หวังจวินหาวได้แต่รับปาก “ครั้งนี้ต้องขอบคุณเพื่อนเธอด้วย ถ้ามีเวลาฝากขอบคุณเขาแทนฉันหน่อยนะ”
“ครับ รู้แล้วครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
เขาลุกขึ้นบอกลาลุงใหญ่ จากนั้นก็เดินออกจากบ้านแล้วปิดประตู
“ไปเถอะ”
ลู่เซิ่งถอนใจพลางกล่าวกับเว่ยหานตงที่เฝ้าอยู่ใกล้ๆ
“อาจารย์จะไปหาพ่อแม่ของอาจารย์ไหมครับ”
“ช่างเถอะ พวกเขาไม่เป็นไรก็พอ” ลู่เซิ่งกล่าวเรียบๆ “งานกวาดล้างด้านนอกคืบหน้าถึงไหนแล้ว”
“เมื่อมีกองกำลังสนับสนุนของอาจารย์ ทางเราก็คืบหน้าเร็วมาก พรุ่งนี้เช้าก็จะกำจัดซอมบี้ได้หมดแล้วครับ”
“ความเข้มข้นของไวรัสล่ะ”
“ใช้สเปร์ยกำจัดไวรัสเจือจางลงไม่น้อยแล้วครับ วัคซีนก็วิจัยได้แล้วเหมือนกัน กำลังฉีดให้ประชาชนอยู่” เว่ยหานตงอธิบาย
ลู่เซิ่งพยักหน้า
สมกับเป็นโลกระดับพลังงานสุดยอด จักรวรรดิมอธเองก็สมเป็นจักรวรรดิยักษ์ใหญ่ที่กินพื้นที่ข้ามกาแลคซี ซึ่งในเวลาปกติมองไม่ออก
แต่พอมาอยู่ในเวลาสำคัญแบบนี้ กลับแสดงคุณสมบัติการรับมือโดยรวมของประเทศประเทศหนึ่งออกมาได้อย่างสมบูรณ์
ไวรัสชนิดนี้หากไปอยู่ที่โลกระดับพลังงานต่ำ คงทำลายดาวเคราะห์ได้แทบทั้งดวง แต่ที่นี่สามารถวิจัยวัคซีนและกำหนดวิธีรับมือได้อย่างฉับไวโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ความเร็วในการตอบสนอง ได้แสดงพลังทางวิทยาการอันแข็งแกร่งของจักรวรรดิมอธออกมาอย่างเต็มที่
“ไปเถอะ เดินไปคุยกันไป” ลู่เซิ่งเดินไปบนแกนพลังงาน
“ครับ นอกจากนี้การรวบรวมเหมืองหินกิเลนได้ไปถึงขีดจำกัดแล้ว พวกเราขาดเจ้าหน้าที่ดูแล จำเป็นต้องรับสมัครมืออาชีพทางด้านการขุดเหมืองหลายอัตรา อีกทั้งคนของหน่วยธุรกิจที่ตายในครั้งนี้มีเกินเจ็ดส่วน ทำให้เกิดช่องโหว่ใหญ่มาก”
“อย่างนั้นก็ดำเนินการรับสมัครจากผู้รอดชีวิตเลย ฉันไม่ต้องการกระบวนการ อยากได้แค่ผลลัพธ์เท่านั้น แน่นอนว่า ต้องรักษากฎระเบียบและความยุติธรรมพื้นฐานด้วย พวกเราไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แต่เป็นพลเมืองดีที่ร่วมมือกับทางรัฐ ต้องทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อใจพวกเราระดับหนึ่ง”
“หวังมู่!”
พวกเขาสองคนเพิ่งขึ้นไปบนแกนวารป์ ขณะกำลังจะไปยังทางออกนั่นเอง
ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงกระจ่างใสก็ดังมาไกลๆ
ลู่เซิ่งเลื่อนสายตาไปเห็นหญิงสาวผมยาวสวมเสื้อสีแดงวิ่งเหยาะๆ มาทางนี้
เธอคือเจินเหอที่ก่อนหน้านี้เคยกินข้าวกับเขา
เธอยังคงสวมชุดทะมัดทแมงเหมือนเดิม เสื้อยืดสีแดงและกางเกงยีนส์ขาลีบสีฟ้า ตอนวิ่งมาถึงตรงหน้าลู่เซิ่ง สองขาเรียวยาวของเธอก็เบียดกันเล็กน้อย ก้มลงหอบหายใจ
“การได้เจอคุณนี่ไม่ง่ายจริงๆ นะคะ” เจินเหอหอบพลางเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างจนปัญญา
“เธอออกไปก่อน เดี๋ยวฉันตามไป” ลู่เซิ่งสั่ง
เว่ยหานตงพยักหน้า จากนั้นก็เดินขึ้นแกนวารป์แล้วจากไป
คนที่ขึ้นๆ ลงๆ แกนวาร์ปมีอยู่ในบริเวณรอบๆ ไม่น้อย พวกเขาสองคนจึงไม่สะดุดตา เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเจินเหอจะจำเขาได้
“มาหาฉันมีธุระอะไรเหรอ” พอเจอคนดีที่ไม่รู้ความลับของตนและคนดีที่มีเจตนาดีต่อตนเองอย่างเจินเหอ สีหน้าของลู่เซิ่งก็อ่อนโยนลง
“ไม่มีอะไรค่ะ แต่…แค่อยากขอบคุณคุณ!” เจินเหอเงยหน้าขึ้นมองชายที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของตนคนนี้
นับตั้งแต่เข้าร่วมงานสโมสรนั่น ความจริงเธอก็ทราบไม่มากก็น้อยแล้วว่า หวังมู่ที่แนะนำเธอเข้าสโมสรแห่งนั้นได้ ความจริงไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่ตาเห็น
……………………………………….