ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1064 ลาก่อน (2)
ในความวุ่นวายครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เธออยู่ที่สโมสรพอดี จึงถูกคุ้มครองมายังที่นี่ เกรงว่าตอนนี้เธอคงกลายเป็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดที่ร้องคำรามไปทั่วพวกนั้นไปแล้ว
ตอนนี้ คนของบริษัทโถงเก้าชีวิตจะได้รับสวัสดิการที่ดีที่สุดทั้งหมดก่อน เพื่อรับประกันความปลอดภัยในระดับสูงสุด
ความจริงเธอรู้อยู่แล้ว
“ตอนนี้…คุณ ว่างไหมคะ” เจินเหอถามเบาๆ “ฉันอยากขอบคุณคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก นี่เป็นเรื่องเล็กๆ สำหรับฉันเท่านั้น ไม่ต้องใส่ใจ” ลู่เซิ่งเอ่ยเรียบๆ
“สำหรับคุณอาจเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง แต่สำหรับฉัน นี่มันส่งผลและเปลี่ยนแปลงชีวิตฉันเลยนะคะ!” เจินเหอจับแขนของลู่เซิ่งที่กำลังจะเดินจากไปไว้อย่างไม่รู ตัว
“ฉันก็แค่ อยากใช้วิธีการของฉัน ขอบคุณคุณและตอบแทนคุณเท่านั้นเองค่ะ!” เธอกล่าวอย่างจริงจัง
ขณะจับมือหนาของหวังมู่ เธอที่ตัวคนเดียวมาโดยตลอดพลันเกิดความรู้สึกปลอดภัยอย่างรุนแรงที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้
ตอนมองดูร่างกายสูงใหญ่และหนั่นแน่นของหวังมู่ เธอพลันเกิดความรู้สึกสงบและผ่อนคลายอยู่ชั่วขณะ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอพยายามปกป้องตัวเองและกัดฟันสู้ในเมืองที่แปลกหน้าแห่งนี้อยู่คนเดียว
ทุกๆ เดือนจะฝากเงินกลับไปให้น้องสาวเรียนมหาวิทยาลัย
ภาระของครอบครัวกดทับตัวเธอ ทั้งหนี้สินหนักอึ้งของพ่อแม่ที่เหลืออยู่จากการทำธุรกิจล้มเหลว ทั้งแม่ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง จำเป็นต้องจ่ายเงินกินยาทุกๆ ปี
ภาระมากมายนี้ทำให้หลายๆ ครั้งเธอแทบหายใจไม่ออก
ทว่าตอนนี้ แค่จับมือของลู่เซิ่งไว้ เธอก็เกิดความรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“เธอเหมือนจะเหนื่อยมากนะ” ลู่เซิ่งเห็นแวววิงวอนและแววระมัดระวังจากการกลัวความสูญเสียอันอ่อนจางจากในสายตาของเธอ
“ฉัน…” เจินเหอพยักหน้าน้อยๆ “เหนื่อยค่ะ แต่…หลายๆ ครั้งแค่ทำตัวให้ชินก็พอแล้ว”
เธอพยายามเค้นยิ้มเพื่อทำให้ตัวเองดูมีความสุขขึ้น
“ชีวิตคือการแบกรับหน้าที่ หลายๆ ครั้ง ฉันเองก็มีความรู้สึกเหมือนเธอ” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงขรึม “ถ้าเธอพยายาม เมื่ออยู่ในบริษัทโถงเก้าชีวิต ก็จะเจริญก้าวหน้าได้เอง และจะมีอน นาคตที่ไม่เลวด้วย”
“ฉันเองก็คิดอย่างนี้ค่ะ” เจินเหอยิ้มอย่างสว่างไสว “แต่ ฉันอยากจะอยู่ข้างตัวคุณ ได้ไหมคะ”
“ทำไมล่ะ” ลู่เซิ่งถามอย่างแปลกใจ
“เพราะคุณเป็นคนใหญ่คนโต การอยู่ข้างตัวคุณมีอนาคตกว่าการพยายามด้วยตัวเอง” เจินเหอตอบด้วยรอยยิ้มอย่างตรงไปตรงมามาก
ความจริงเธอสนใจในความรู้สึกปลอดภัยที่เด่นชัดมากกว่า
ลู่เซิ่งมองดวงตาหญิงสาวออกว่าเธอไม่ได้คิดร้าย เธอไม่รู้ความลับที่แท้จริงของเขา เพียงแค่อยากอยู่กับเขาจริงๆ
“ตามคำโบราณ อย่างฉันนี้เรียกว่าจองคิวไว้ก่อน” เจินเหอยิ้มๆ “บริษัทโถงเก้าชีวิตใหญ่ขนาดนี้ จะต้องมีกลุ่มก้อนอยู่ไม่น้อย การหาที่พึ่งที่ตัวเองรู้จักไว้ก่อนก็ไม่เลวไ ไม่ใช่เหรอคะ”
ผู้หญิงคนนี้ฉลาดจริงๆ
รู้จักคว้าโอกาส แต่กลับจริงใจมาก ข้อนี้หายาก
ลู่เซิ่งนิ่งไปเล็กน้อย
“ได้ แต่ฉันมีผู้ช่วยอยู่แล้ว เธอควร…” ทันใดนั้นเขาก็ชะงัก สายตามองไปยังด้านหลังเจินเหอโดยไม่รู้ตัว
หญิงสาวผมยาวคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านหลังหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
พริบตาที่เห็นผู้หญิงคนนี้ ม่านตาของลู่เซิ่งก็ขยายใหญ่ สีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
“เธอ…เธอมาได้ยังไง!?”
“ข้ามา เยี่ยม”
หญิงสาวสวมกระโปรงยาวขนสัตว์ลายตารางสีขาวดำ กระโปรงรัดรูปและขับเน้นรูปร่างที่สมบูรณ์ร้อนแรงออกมาเล็กน้อย สองขาที่งดงามเรียวยาวข้างใต้ยังคงใส่ถุงน่องสีดำสนิท
“ข้าก็แค่มาอยู่สองสามวัน ข้าในตอนนี้เป็นเพียงร่างแยกที่สร้างขึ้นชั่วคราวเท่านั้น” หญิงสาวส่งกระแสเสียงพลางยิ้มน้อยๆ
“ข้าดีใจมากที่เจ้ามาได้” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปจับมือของหญิงสาวที่ยกขึ้น
“เจินเหอ สามารถเป็นเพื่อนท่านอยู่นี่แทนข้าได้ เทียบกับเซียวฉางหลิงนั่น ข้าชอบแบบนี้มากกว่า” หญิงสาวส่งกระแสเสียงด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมกัน เจ้าไม่หึงหรือ” ลู่เซิ่งแปลกใจเล็กน้อย
“ก็แค่ของเล่นเท่านั้น ท่านชอบก็ดีไป หากไม่ชอบ ก็กินเสียเลยสิ” หญิงสาวยิ้ม แต่คำพูดที่กล่าวออกมากลับทำให้ลู่เซิ่งอึ้งเล็กน้อย
หวังจิ้ง เทียบกับนางที่ได้เจอครั้งล่าสุด เหมือนจะมองชีวิตเย็นชากว่าเดิม
เขาไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ดีหรือไม่ดี แต่เขาแค่ไม่ชอบ
ต่อให้เป็นอาหาร ก็ต้องมีเกียรติของอาหาร!
“ข้าเข้าใจ ท่านชอบอธิษฐานก่อนจะทำการกิน” หวังจิ้งเอ่ยยิ้มๆ ต่อ “ความจริงท่านไม่ต้องสนใจข้าหรอก”
“ข้าไม่ชอบเจ้าแบบนี้” ลู่เซิ่งผุดสีหน้าจริงจังเล็กน้อย
“แล้วท่านชอบข้าแบบไหนล่ะ” หวังจิ้งคลายมือ ก่อนหมุนตัวอย่างร่าเริง ผมยาวสีดำสนิทระไหล่กระจายกลิ่นหอมออกมาจางๆ ตามการหมุนตัวของเธอ
เธอพลันแกล้งสะดุดล้มเพื่อเอาตัวแนบชิดร่างลู่เซิ่ง พร้อมเบียดทรวงอกและขากับผิวของลู่เซิ่ง
เจินเหอที่อยู่ด้านข้างเอามือปิดปากและส่งเสียงร้องเบาๆ
ตอนที่เธอรู้จักกับหญิงสาวที่ชื่อหวังจิ้งผู้นี้ อีกฝ่ายเป็นคนแนะนำให้เธอเข้าหาหวังมู่เอง
เวลานี้กลับนึกไม่ถึงว่าหวังจิ้งกับหวังมู่จะมีความสัมพันธ์แบบนี้
“อยากกินข้าหรือยัง” หวังจิ้งเงยหน้าหรี่ตามองลู่เซิ่ง “ข้าซ่อนของขวัญชิ้นหนึ่งไว้ในส่วนลึกของร่างกาย แต่ท่านต้องไปเอาเอง”
ลู่เซิ่งอุ้มเธอขึ้นพร้อมสาวเท้าไปยังบ้านด้านหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เจินเหอหน้าแดง เดาได้ทันทีว่าพวกเขาจะไปทำอะไรกัน ความคิดเล็กๆ เมื่อก่อนหน้านี้หายไปไหนก็ไม่ทราบในทันที
‘ถูกต้อง…บุคคลสำคัญอย่างเขาจะมาถูกใจผู้หญิงธรรมดาอย่างเราได้ไง…’ เธอก้มหน้าอย่างผิดหวังเล็กน้อย
ปัง
ไม่ถึงห้าวินาที ประตูก็ถูกเปิดออก
“เอ๋ พี่หวังจิ้งล่ะคะ” เจินเหองุนงง เห็นในห้องไม่มีใคร
“กินไปแล้ว” ลู่เซิ่งเช็ดปาก มือถือกล่องสีทองคำขาวงามประณีตขนาดกะทัดรัด ท่าทางเหมือนฉุกนึกอะไรได้
“หา” เจินเหอตาค้าง
…
“ฮ่าๆๆๆ!”
ในมิติมืดมิด
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งสะท้อนไปมาเหมือนกับเสียงฟ้าผ่า
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ หวังจิ้งนั่งห่อเหี่ยวอยู่กลางกองเพลิงสีขาว หน้างามขาวดั่งหยกแดงก่ำ
“เขากินจริงๆ หรือนี่!? ฮ่าๆๆๆๆ!”
อาจารย์ที่อยู่ด้านข้างหัวเราะจนภาพมายาไม่เสถียร กุมท้องจนเกือบเป็นตะคริว
“เขา…เขา…น้อง…ยังเด็ก…เลยไม่เข้าใจ…” หวังจิ้งอธิบาย
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าส่งของก็คือส่งของ เจ้ายังอยากจะปลอบโยนเขาอีก ดูผลลัพธ์สิ” อาจารย์หัวเราะจนน้ำตาเล็ด
“ไม่เป็นไร ก็แค่ของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น กินแล้วก็แล้วไป ข้าไม่สนใจหรอก” หวังจิ้งกล่าวพลางกัดฟัน
“เอาเถอะๆ เสียเวลาไปนานสองนาน ทั้งยังสิ้นเปลืองพลังมหาศาลเพื่อส่งข้ามมิติไปยังโลกระดับพลังงานสุดยอดใบนั้นอีก แน่นอนว่าสำหรับราชาแห่งมนตร์ดำในอนาคต เจ้ามีคุณสมบัติไม่สนใจ จริงๆ” อาจารย์ปลอบพลางโบกมือ เช็ดน้ำตาที่เพิ่งเล็ดออกมา
“เอาเถอะ ในเมื่อให้ของไปแล้วก็ตั้งใจฝึกฝนซะ ข้าได้แต่ช่วยเจ้าถึงตรงนี้” นางเว้นเล็กน้อยค่อยกล่าวต่อ “ไม่ต้องเป็นห่วงน้องชายเจ้าหรอก เจ้าตาย แต่เขาไม่มีวันตาย มารสวรรค์ไ ไร้รูปไม่ได้ฆ่าง่ายขนาดนั้น”
“เจ้าค่ะ…” หวังจิ้งจนปัญญา ความขุ่นข้องใจบนใบหน้าค่อยๆ หายไป นางตัดสินใจว่าครั้งหน้าถ้าได้คุยกับน้องชาย จะพูดตรงๆ…เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น
…
“เมื่อกี้แค่ล้อเล่นกันน่ะ” ลู่เซิ่งอธิบาย
“…” เจินเหอยังทำหน้าไม่เข้าใจ
จากนั้นทั้งสองก็นั่งรถไปยังศูนย์ใหญ่ของโถงเก้าชีวิต
ในเมื่อเจินเหอเป็นของเล่นที่หวังจิ้งคัดเลือก ด้วยความเข้าใจที่ลู่เซิ่งมีต่อหวังจิ้ง นางจะต้องทำอะไรสักอย่างกับร่างกายของเจินเหอแน่นอน
เขาก็เลยพาหญิงสาวคนนี้มาด้วย เก็บไว้ข้างตัวในฐานะเลขา
เรื่องนี้ทำให้เว่ยเจินอวี๋ที่อยู่ด้านข้างไม่พอใจมาก สายตาที่มองเจินเหอแสดงความไม่เป็นมิตรตลอดเวลา
แต่เจินเหอเหมือนจะไม่สังเกตเห็น ยังคงยิ้มให้เว่ยเจินอวี๋อย่างอบอุ่นและน่าคบหา
“ตอนนี้ไปศูนย์ใหญ่กันก่อน เรื่องที่จำเป็นต้องจัดการ พวกเธอตัดสินใจเองได้เลย รอภารกิจกวาดล้างเรียบร้อย ค่อยรายงานฉันพร้อมๆ กัน” ลู่เซิ่งสั่ง
“รับทราบ”
เว่ยหานตงและเว่ยเจินอวี๋ตอบพร้อมกัน
เจินเหอแลบลิ้น รู้สึกมากกว่าเดิมว่าเหมือนตนจะตัดสินใจถูกแล้ว
เห็นได้ชัดว่าหวังมู่มีตำแหน่งในโถงเก้าชีวิตไม่ธรรมดา
รถหยุดลงหน้าตึกสูงร้อยชั้นที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์แห่งหนึ่ง
พวกลู่เซิ่งพากันลงรถ
หน้าประตูมีคนของโถงเก้าชีวิตเข้ามาตรวจสอบสถานะ
หลังตรวจสอบเสร็จ พวกเขาก็แสดงความคารพ แล้วมองส่งพวกลู่เซิ่งเข้าไปในตึกใหญ่
ในโถงใหญ่ ได้จัดคนเอาไว้แล้วสองกลุ่ม ทั้งหมดเป็นสมาชิกโถงเก้าชีวิตที่สวมชุดเกราะอัลลอยด์สีดำ
แต่ละคนต่างสูงมากกว่าสองเมตรขึ้นไป กล้ามเนื้อที่กำยำและชุดเกราะที่ทนทานเป็นประกายแวววาว ผสมกันเป็นความรู้สึกกดดันทางพลังที่บรรยายไม่ถูก
ลู่เซิ่งเดินนำเข้าไปในโถงใหญ่
พี่น้องไป๋จวิ้นเฉิงที่ร่างกายเต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บยืนรออยู่ในโถงใหญ่อย่างนอบน้อม
“พวกเธอ เกิดอะไรขึ้นกัน” ลู่เซิ่งหยุดลงหน้าพี่น้องตระกูลไป๋และกล่าวเสียงแผ่วต่ำ
“มียอดฝีมือปิดกั้นตระกูลไป๋ไว้ครับ พวกเราสองพี่น้องทุ่มเทสุดชีวิตค่อยหนีออกมาจากอาณาเขตนั้นได้” ดวงตาของไป๋จวิ้นเฉิงฉายแววเคียดแค้น “ตอนนี้พ่อผมต้องการความช่วยเหลือ ยัง ไม่ปลอดภัย! อาจารย์ได้โปรดลงมือเถอะครับ!”
“ไม่ต้องห่วง” ลู่เซิ่งพยักหน้า “เดี๋ยวพวกเธอจำลองลักษณะเด่นและรูปลักษณ์ภายนอกของพวกคนที่ลงมือออกมาให้ฉัน”
“กำลังทำการจำลองแล้วครับ” ไป๋จวิ้นเฉิงเป็นคนรัดกุมอยู่แล้ว
“คนคนนี้คือใคร” เขามองเจินเหอที่อยู่ด้านข้างลู่เซิ่ง
ตอนนี้เจินเหอยังคงงุนงง
ตั้งแต่เข้าประตูมาถึงตอนนี้ เธอสังเกตเห็นแล้วว่า สถานะกับตำแหน่งของหวังมู่ที่ตัวเองติดตามน่าจะไม่ได้รวบรัดเหมือนที่ตัวเองคาดไว้
ดูจากคนที่เข้าแถวต้อนรับเขาตั้งแต่เข้ามา ตำแหน่งของหวังมู่ต้องเป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจใหญ่ที่สุดของบริษัทโถงเก้าชีวิต
ตอนนี้ถูกไป๋จวิ้นเฉิงจ้องมองด้วยสายตาแดงฉาน เธอก็รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าเหมือนถูกสัตว์กินเนื้อน่ากลัวตัวหนึ่งจ้องมอง ร่างกายสั่นระริกโดยไม่รู้ตัว
“เธอเป็นแค่คนธรรมดา อย่าไปขู่เธอ” เว่ยหานตงเบี่ยงตัวบังสายตาของไป๋จวิ้นเฉิงไว้
“คนธรรมดาหรือ คนที่อยู่ข้างตัวอาจารย์ได้ไม่มีทางธรรมดา” ไป๋จวิ้นเฉิงหัวเราะ “ขอโทษที ผมเสียมารยาทไปหน่อย” เขารีบขอโทษขอโพย
เจินเหออ้าปาก กลับพบว่าตัวเองไม่มีความกล้าที่จะพูดด้วยซ้ำ…