ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1072 ความโกลาหลจากสงคราม (2)
ตอนที่ 2680 : ดึงดูดความสนใจ
“คำนับ ผู้น้อย หยางยู่เทียน ข้าไม่ได้มาจากนิกายไหนในโลกเซียน ข้าอยู่เพียงลำพังมาโดยตลอด ไม่มีที่ไหนผูกมัดข้าได้” เจี้ยนเฉินป้องมือและตอบกลับ เขาไม่ได้แสดงท่าทีสุภาพรึห หยิ่งทะนงแต่อย่างใด เขาทำตัวปกติพร้อมที่จะปรับตัวเข้ากับทุกที่ที่ไป
“ฮึ่ม โกหกได้เก่งจริง ๆ ” สายตาของชายแก่ที่เหมือนกับเป็นผู้ดูแลดูเย็นชาขึ้นมา เขามองไปที่เจี้ยนเฉินราวกับมองทะลุอีกฝ่ายได้ เขาพูดขึ้น “เจ้าเข้าไปในโลกแห่งสัตว์อสูรท ที่ร่วงหล่นได้หากอายุน้อยกว่าพันปี เจ้าขึ้นมาเป็นราชาเทพส่วนต้นได้ภายในพันปีได้ แต่เจ้ากลับบอกว่าเจ้าไม่ได้มาจากนิกายไหนรึ ? หยางยู่เทียน เจ้าคิดว่าข้าหลอกได้ง่าย ๆ รึไงกัน ? ”
สายตาของชายแก่เฉียบคมขึ้นมา “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้านีร่าจะเป็นสายลับที่องค์กรอื่นส่งมา บอกข้ามา เจ้าคิดจะทำอะไรกับการแอบเข้ามาในเผ่ากระเรียนสวรรค์ของเรา ? ” พลังอันแข็ งแกร่งแผ่ออกมาจากตัวชายแก่พุ่งเข้าใส่ เจี้ยนเฉิน
แต่เขาไม่รู้ว่าเจี้ยนเฉินนั้นไม่ใช่ราชาเทพช่วงต้น เจี้ยนเฉิน แค่ทำให้ระดับการบ่มเพาะเขานั้นอยู่ที่ราชาเทพช่วงต้นก็เท่านั้น ต่อหน้ายอดฝีมือขอบเขตตั้งต้น ชายแก่ที่เป็น นแค่ราชาเทพช่วงปลายนั้นถือว่าเป็นตัวตลก
แต่เจี้ยนเฉินไม่คิดจะเปิดเผยความแข็งแกร่งของตัวเอง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีและทำราวกับถูกกดดัน เขากัดฟันแน่น “ผู้อาวุโส ท่านคิดมากเกินไปแล้ว เหตุผลว่าทำไมเข้าถึงได้เ เข้าร่วมกับเผ่ากระเรียนสวรรค์นั้นก็เพื่อเข้าไปในโลกแห่งสัตว์อสูรที่ร่วงหล่น โลกแห่งสัตว์อสูรที่ร่วงหล่นนั้นอันตรายอย่างมาก หากข้าเดินทางเพียงลำพัง แน่นอนว่าข้าต้องตา าย ข้าต้องการเข้าร่วมกับพวกท่านรวมถึงหวังว่าจะได้รับการปกป้องจากพวกท่าน”
“สำหรับความแข็งแกร่งของข้าแล้ว ข้าได้รับการสืบทอดของปรมาจารย์แม่น้ำขาวโดยบังเอิญ ปรมาจารย์แม่น้ำขาวนั้นเป็นยอดฝีมืออสงไขย แต่เขาได้จากไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว การสืบทอดและ ะทรัพยาการการบ่มเพาะที่เขาทิ้งเอาไว้ทำให้ข้าขึ้นมาถึงระดับนี้ได้”
“ฮึ่ม การสืบทอดของอสงไขยสามารถสร้างราชาเทพที่อายุต่ำกว่าพันปีได้รึ ? เจ้าคิดว่าข้าโง่เหมือนเด็กน้อยรึไงกัน ? ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย เจ้าคือสายลับที่องค์กรอื่นส่งมา เจ้ าไม่ได้มีประสงค์ดี ข้าจะจับเจ้าและนำเจ้าไปสอบสวน” ชายแก่ตะโกนออกมา เขายื่นมือออกไปเข้าหาเจี้ยนเฉินด้วยความเร็วแสงและพลังที่ปะทุออกมา เขาได้ใช้พลังทั้งหมดในครั้งนี้ เขาไ ได้ปล่อยพลังจากากรบ่มเพาะในระดับราชาเทพช่วงปลายออกมา เขาต้องการจับเจี้ยนเฉินให้ได้
“เด็กนี่ทำเกินไป เขาได้ให้เหรียญผลึกขั้นสูงสุดกว่าร้อยเหรียญ มันหมายความว่าเขาต้องมีเหรียญผลึกมากกว่านี้กับตัว เมื่อข้าจับเขาได้ พวกมันจะเป็นของข้า” ผู้นดูแลคิดในใ ใจ
เขาไม่ได้ทำตัวตกต่ำแบบนี้ในโลกเซียน เหรียญผลึกขั้นสูงสุดแค่นี้ไม่เพียงพอให้เขาหาเรื่องราชาเทพได้ แม้ว่ามันจะเป็นแค่ราชาเทพช่วงต้นก็ตาม ราชาเทพบางคนนั้นมีทักษะลับมากม มาย แม้ว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งมากก็ตาม เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังจริง ๆ แล้ว พวกเขาก็สามารถสร้างปัญหาขึ้นมาได้
แต่นี่คือโลกจิตวิญญาณซึ่งให้ค่ากับเหรียญผลึกมากกว่าเดิมหลายเท่า เหรียญผลึกที่เจี้ยนเฉินใช้ไปนั้นเพียงพอให้เขาทำเช่นนี้ได้
เจี้ยนเฉินฮึดฮัดออกมาและมองไปที่มือของชายแก่แต่สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนแม้แต่น้อย เขาเองก็ยื่นมือออกไปใช้พลังระดับราชาเทพช่วงต้นเช่นกัน
“หยิ่งทะนงจริง ๆ ! เจ้าเป็นแค่ราชาเทพช่วงต้น แต่เจ้าคิดจะเผชิญหน้ากับข้ารึ ? ” ชายแก่ฮึดฮัดออกมา
ปัง !
แต่ต่อมามันกลับมีบางอย่างทำให้เขาแปลกใจ ตอนที่มือทั้งสองปะทะกันนั้นผู้ดูแลกลับไม่ชนะแบบที่เขาคิดเอาไว้ เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังที่หายไปจากมือของเขา
แต่เจี้ยนเฉินกลับร้องออกมาและกระเด็นออกไป เขาประคองตัวได้หลังจากที่เซกลับไปหลายสิบก้าว เขาหน้าแดงก่ำและดูเหมือนว่าตัวของเขาก็ยังสั่นไปด้วย
“เจ้าหนู เจ้านี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ เจ้าเป็นแค่ราชาเทพช่วงต้นแต่กลับมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ แต่เจ้าคิดจริง ๆ รึว่าเจ้าจะแอบเข้ามาในเผ่ากระเรียนเทพของเราแบบนี้ได ด้ ? เจ้าฝันไปเสียเถอะ” ผู้ดูแลแปลกใจและมองไปที่เจี้ยนเฉินราวกับอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาด เขาอยากที่จะจับตัวเจี้ยนเฉินยิ่งกว่าเดิม
เขาได้โจมตีออกไปอีกครั้ง พลังงานในตัวได้ปะทุออกมาพร้อมกับร่างของเขาที่พุ่งเข้าใส่เจี้ยนเฉิน เขาไม่ได้ยั้งพลังไว้แบบเดิม เขาได้ใช้ทักษะที่รุนแรงที่สุดในการโจมตีออก กมา
“ผู้อาวุโส ท่านจะทำอะไรกัน ? ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมเผ่ากระเรียนสวรรค์ หากตระกูลของท่านไม่รับข้า งั้นก็ไม่เป็นไร แต่ท่านกลับต้องการจะฆ่าข้า ตระกูลชั้นนำที่มีชื่อเสียงเ เช่นนี้ ท่านไม่รู้สึกละอายกับการกระทำเช่นนี้เลยรึ ? ” เจี้ยนเฉินตะโกนออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เขาตะโกนออกมาเสียงดัง เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆหันมาสนใจ
ทันใดนั้นสายตาของผู้คนมากมายก็มองมาที่นั่น
มันทำให้สีหน้าของชายแก่หม่นลง ตอนแรกเขาต้องการจะจับตัวเจี้ยนเฉินเงียบ ๆ แล้วค่อยปล้นเอาเงินจากอีกฝ่าย แม้ว่าจะมีคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในอนาคตแต่เขาก็สามารถจัดการเรื่อง งนี้ได้ด้วยอำนาจที่เขามี แต่เขาไม่คิดว่า เจี้ยนเฉินจะทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ได้ ซึ่งทำให้โถงศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน
เพราะแบบนั้นเรื่องเล็กกลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะควบคุมได้
“บัดซบ ! ” ชายแก่สบถในใจ เขาพลิกฝ่ามือพร้อมกับพัดสีขาวปรากฏขึ้นในมือของเขา พัดนี้ทำขึ้นมาจากขนกระเรียนสวรรค์ซึ่งแผ่ความเย็นจนไปถึงกระดูก
ชายแก่สะบัดพัดเข้าใส่เจี้ยนเฉิน ลมได้พัดโหมกระหน่ำออกมาพร้อมกับความหนาวเย็นที่พุ่งเข้าใส่เจี้ยนเฉิน ราวกับว่าจะแช่แข็งมิติที่นั่นได้
“หยุดซะ ! ” ตอนนั้นก็มีเสียงแก่ ๆ ดังขึ้น เมื่อได้ยินเสียงนี้ลมที่พุ่งออกมาจากพัดก็เหมือนกับปะทะกับดวงอาทิตย์อันร้อนแรง มันได้หายไปในทันที
สองร่างปรากฏตัวขึ้นเหนือโถงศักดิ์สิทธิ์ คนหนึ่งเป็นหญิงชราผมเทา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แต่นางกลับดูสูงส่ง นางได้แผ่พลังของยอดฝีมือบรรพกาลออกมา
อีกคนคือเหอเฉียนเฉียนแห่งเผ่ากระเรียนสวรรค์
“คำนับผู้อาวุโสสูงสุด คำนับ แม่นางเฉียน ! ” สีหน้าของชายแก่เปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นทั้งสองคน เขารีบคุกเข่าลงไปด้วยความกลัว
ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้พูดอะไร แต่เหอเฉียนเฉียนมองผ่านผู้ดูแลและเจี้ยนเฉิน ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน ? ทำไมถึงได้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น ? ”
“แม่นางเฉียน ชายคนนี้เป็นสายลับ เขาต้องการจะแอบเข้าร่วมกับตระกูลของเราแต่ข้ารู้ความจริงเข้าเสียก่อน”“ความจริงฉันสงสัยมาก” อัลโฟเลตติกล่าวต่อ “การพัฒนากายเนื้อมนุษย์ ของคุณได้ไปถึงขั้นที่เกินขีดจำกัดแล้ว พวกเราไม่เคยเจอปรากฎการณ์แบบนี้จากผู้ฝึกวรยุทธ์บนดาวเคราะห์มาก่อน ผู้ฝึกวรยุทธ์ที่เลียนแบบทูตพลังงานมืดได้ จุ๊ๆๆ…”
“ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องที่สุดยอดอะไร” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“คุณอาจจะสร้างยุคสมัยใหม่ก็ได้ คุณเข้าใจไหม” อัลโฟเลตติกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“สำหรับผม นี่เป็นเพียงแค่เรื่องธรรมดาๆ ผมแค่อยากทำเรื่องที่ผมอยากทำ ไม่ได้รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ตรงไหน” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ
“พวกอัจฉริยะต่างก็ถ่อมตัวแบบคุณนี่แหละ” อัลโฟเลตติแสดงความชื่นชม “ฉันนึกว่าตัวเองรู้จักร่างกายมนุษย์ดีแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าคุณพัฒนาร่างกายมนุษย์ถึงระดับนั้นได ด้ยังไง ถ้าเป็นไปได้ ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ผมก็สนใจในพลังยิ่งใหญ่ชนิดทำลายโลกของคุณมากเหมือนกับ พลังจิตไปถึงระดับนั้นได้ ทำให้ผมอยากจะได้มาบ้างจริงๆ” ลู่เซิ่งว่าพลางพยักหน้า
คนทั้งสองไม่ใช่คนอ้อมค้อม ไม่นานก็สนทนากันอย่างถูกคอ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนแรกอัลโฟเลตติแสดงท่าทีชี้แนะคนรุ่นหลังกับลู่เซิ่ง
แต่หลังจากการสนทนาลงลึกขึ้นอีกขั้น เธอก็เริ่มค้นพบว่าลู่เซิ่งตามความคิดของตัวเองทัน
ไม่ว่าจะเป็นทางด้านไหน ก็สามารถให้ความเห็นเฉพาะของตัวเองได้
เขาให้คำแนะนำได้อย่างลงลึกและครอบคลุม คำแนะนำบางส่วนในนี้ทำให้เธอได้รับประโยชน์ไม่น้อยด้วย
ทั้งสองคุยกันแบบนี้จนลืมเวลา
สามวันสามคืนให้หลัง
ในที่สุดลู่เซิ่งก็พาคนออกจากยานรบยักษ์ แล้วเริ่มออกคำสั่งให้โถงเก้าชีวิตอพยพครอบบครัวของตัวเอง เพื่อจากไปพร้อมกับกองยานแสงดาวสีคราม
กำหนดเวลาในการทำงานอพยพให้สำเร็จคือห้าวัน
ลู่เซิ่งได้รับสิทธิ์ขุดหินกิเลนบนดาวแฝดคู่มาจากอัลโฟเลตติตอนที่คุยกันถูกคอ
อย่างไรก็ไม่สามารถขนย้ายหินกิเลนจำนวนมากไปได้ การที่อัลโฟเลตติให้โอกาสในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
…
หุ่นยนต์ผึ้งบนท้องฟ้าถูกกำจัดทิ้งหมดสิ้นในเวลาสามวัน
ไม่มีคนรู้ว่าหุ่นยนต์ผึ้งที่กระจายไปทั่วโลกเหล่านี้ ส่งข้อมูลให้แก่กองทัพจักรวรรดิมากเท่าไหร่
แต่เวลากระชั้นชิดกว่าเดิม นี่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
ครอบครัวลุงใหญ่รวมถึงครอบครัวพ่อแม่ของหวังมู่ถูกพาตัวขึ้นยานรบยักษ์ที่มุ่งหน้าไปยังกาแลคซีไกลออกไปอย่างสับสนงุนงง
มีแต่ยานรบยักษ์ของแสงดาวสีครามเท่านั้นถึงจะมีความสามารถวาร์ปไปยังมิติย้อนกลับเป็นระยะไกลได้ ยานรบของดาวแฝดคู่ไม่สามารถตามความเร็วได้ทัน จึงได้แต่ต้องทิ้งไว้
หลังจากเก็บรวบรวมทรัพยากรหายากทั้งหมดแล้ว อัลโฟเลตติก็ไปฝึกฝนบนยานหลัก
ส่วนลู่เซิ่งเริ่มกระบวนการรวบรวมหินกิเลนจากทั่วทุกมุมโลกอย่างบ้าคลั่ง
หินกิเลนในจังหวัดอานุสถูกเขาดูดซับอย่างรวดเร็วหลังโดนขุด หินกิเลนของจังหวัดข้างเคียงก็ไม่รอดเช่นกัน มอบพลังอาวรณ์ให้เขาราวห้าพันกว่าล้านหน่วย
แต่ประสิทธิผลในการดูดซับหินกิเลนไม่เร็วพอ หลังจากดูดซับติดกันหลายครั้ง เวลารอคอยก็หมดสิ้น
สุดท้ายหลังจากมุ่งหน้าไปดูดซับโกดังหินกิเลนที่จังหวัดอื่นอีกสองครั้ง ลู่เซิ่งก็ยกระดับพลังอาวรณ์ของตัวเองถึงหมื่นล้านหน่วย จากนั้นก็หมดเวลา
ลู่เซิ่งตัดสินใจพาโถงเก้าชีวิตและครอบครัวของหวังมู่ไปอยู่บนดาวรกร้างดวงอื่น ไม่ได้ไปยังศูนย์ใหญ่
แสงดาวสีครามมีถิ่นฐานของตัวเองอยู่ในจักรวรรดิมอธมาโดยตลอด ที่ที่พวกเขาจะมุ่งหน้าไปคือดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่าดาวฟาดิมาน
ดาวฟาดิมานใหญ่กว่าดาวแฝดคู่เกือบห้าเท่า เป็นดาวในสภาพกึ่งแก๊สตามมาตรฐาน มีที่ให้คนอยู่อาศัยไม่น้อย แต่มีทวีบเป็นขนาดหนึ่งเท่ากว่าๆ ของดาวแฝดคู่
นอกจากมหาสุมทรแล้ว บนผิวดาวเคราะห์ยังมีแต่อาณาเขตหมอกแปลกประหลาดอีกมากมาย
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ที่นี่เป็นฐานหลักที่อัลโฟเลตติใช้ชีวิตตอนกลับจักรวาลหลักเช่นกัน
ลู่เซิ่งค่อยนับว่าสนิทกับอัลโฟเลตติมากกว่าเดิม
แน่นอนว่าเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้ อัลโฟเลตติช่วยเขาแก้ไขวิกฤติการณ์ยากลำบากในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานดังนั้นความจริงเขาจึงติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายอยู่
…
ใต้ท้องฟ้าสีคราม ยานรบที่บดบังท้องฟ้าหลายลำลอยขึ้นช้าๆ พร้อมเข้าใกล้ยานที่มีขนาดใหญ่โตกว่าซึ่งอยู่สูงขึ้นไป
ยานรบเหล่านี้ถูกเอามาใช้เป็นยานขนส่งชั่วคราว เพื่อส่งฝูงชนจำนวนมากไปบนยานรบยักษ์ของแสงดาวสีครามที่มีขนาดใหญ่สุด
ลู่เซิ่งยืนอยู่บนหน้าผากลางป่า เงยหน้ามองยานรบทรงกระสวยหลายลำที่ลอยขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ส่วนยานรบยักษ์ที่ใหญ่กว่า
จากที่นี่จะเห็นแค่หัวยานส่วนเล็กๆ ของยานจักรวาลเท่านั้น
หัวยานส่วนนั้นบดบังผืนดินกว้างขวางของดาวแฝดคู่ไว้ในราตรีกาล
ท้องฟ้าส่วนครึ่งเล็กๆ ถูกหัวยานยึดครองไว้อย่างสมบูรณ์
“ถึงเวลาแล้ว…” ลู่เซิ่งถอนใจเบาๆ
ครั้งนี้เขาได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก ถึงขั้นเกือบโดนกดดันจนตาย ทำให้เขาได้รับบทเรียนอย่างแท้จริง
‘รสชาติที่น่ากลัวและความรู้สึกใกล้ตายอย่างนี้…ฉันไม่อยากเจออีกแล้ว’
ลู่เซิ่งกำหมัดแน่น เลือดสูบฉีดในหัวใจเร็วขึ้น
‘ถูกต้อง เราเมื่อก่อนหน้านี้ผ่อนฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว จนทำให้ได้รับความอัปยศและเจอการคุกคามจากความตายในศึกก่อน แต่ก็เพราะช่วงเวลาเป็นตายนี้เองที่ทำให้เราได้สึกตัวเอง งเร็วกว่าเดิม และแน่วแน่ในความคิดแสวงหาความแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม!’
เสื้อโคตด้านหลังลู่เซิ่ง ถูกลมพัดจนส่งเสียงดังพึ่บพั่บ เขาสัมผัสหน่วยหลักในสังกัดของตัวเองอย่างละเอียด
เหล่าแกนกลางที่หลอมรวมเข้ากับกายเนื้อและเลือดของเขามีความสามารถในการคืนชีพและความสามารถในการรักษาตัวเองที่เหนือกว่าคนธรรมดาแล้ว ยังมีคุณสมบัติต้านทานทางร่างกายที่แข็งแ แกร่ง ต่อให้อาศัยอยู่ในสุญญากาศที่ไร้อากาศ ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเป็นเวลาหลายปี
พวกเขาวิวัฒนาการกลายเป็นอมนุษย์
แต่โถงเก้าชีวิตยังไม่เปลี่ยนแนวคิดแรกสุด ยังคงสู้เพื่อประชาชน ต่อให้ในศึกใหญ่ครั้งนี้ ลู่เซิ่งจะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล ทำให้มีคนได้รับบาดเจ็บ แต่โถงเก้าชีวิตก็ได้ช่ว วยเหลือคนไม่น้อยเช่นกัน ถือว่าหักล้างกันได้
‘ถึงเวลาเลื่อนสู่ระดับต่อไปแล้ว’ ลู่เซิ่งสัมผัสพลังอันไพศาลที่เหมือนมหาสมุทรในร่างตัวเอง มันสั่นไหวอย่างต่อเนื่องตามการหายใจของเขา
พื้นดินและอากาศรอบๆ เกิดความปรวนแปรตามการหายใจของเขา
พื้นใต้เท้าบนหน้าผาสั่นสะเทือนเพราะการเต้นของหัวใจในตัวเขา
‘หลังยกระดับแล้ว ค่อยไปสู้กับตาเฒ่านั่นดู ดีปบลู’
กรอบสีฟ้าเด้งออกมาด้านหน้าลู่เซิ่ง
ตัวเลขยาวเหยียดบนกรอบทำให้เขาเกิดความรู้สึกปลอดภัยที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้
อินเตอร์เฟซของวิชาเกลียวเก้าชีวิตในกรอบสุดท้ายด้านล่างสุดเข้าสู่คลองจักษุของเขาอย่างชัดเจน
[วิชาเกลียวเก้าชีวิต: ชีวิตที่ห้า (คุณสมบัติพิเศษ: ผิวแข็งแกร่งขึ้น, พลังกล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น, ต่อมไร้ท่อทำงานดีขึ้น, เลือดกลายพันธุ์, กระดูกแยกกับเลือด)]
‘การเพิ่มความแข็งแกร่งของไขกระดูกได้ไปถึงขีดจำกัดที่ร่างกายรองรับไหวแล้ว แม้ชีวิตที่ห้าจะส่งผลยกระดับต่อไขสมองในระดับหนึ่ง ทำให้เราควบคุมพลังธรรมชาติส่วนหนึ่งได้เหมือน นกัน แต่เทียบกับชีวิตที่หกแล้ว การพัฒนาไขสมองที่แท้จริงอย่างสมบูรณ์จะมีความแตกต่างมหาศาล’
ลู่เซิ่งคาดหวังต่อชีวิตที่หกซึ่งกำลังจะเริ่มเป็นอย่างมาก
ตามการคาดการณ์ของเขา หากพัฒนาชีวิตที่หกเสร็จ จะสามารถไปถึงขอบเขตของร่างหลัก หรือระดับดาวมรณะได้
ในโลกมารสวรรค์ ผู้เข้มแข็งดาวมรณะทำลายกาแลซีดาวฤกษ์หลายแห่งได้อย่างสบายๆ ทุกๆ การเคลื่อนไหวล้วนก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนในจักรวาลขนาดใหญ่
ถ้าให้เวลาพวกเขามากพอ พวกเขาถึงขั้นทำลายสายธารขนาดยักษ์ได้สายหนึ่ง
ลู่เซิ่งตั้งสติ ก่อนเบือนสายตากลับมายังอินเตอร์เฟซดีปบลูด้านหน้า จากนั้นก็กดปุ่มปรับเปลี่ยนพร้อมใช้ความคิดออกคำสั่ง
‘ยกระดับวิชาเกลียวเก้าชีวิตถึงชีวิตที่หก ไขสมอง!’
ผู้บัญชาการใหญ่แห่งจักรวรรดิเบอเลียนเมื่อก่อนหน้านี้ เชื่อว่าอีกไม่นาน พวกเขาจะได้พบกันอีกครั้ง…
…
ดาวเคราะห์นับไม่ถ้วนที่มีขนาดใหญ่โตและเป็นสีรุ้งประกอบกับเป็นเนบิวลาที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับน้ำตก
สิ่งมีชีวิตสีฟ้าขนาดยักษ์ซึ่งอยู่ในลักษณะโปร่งแสงหลายตัว กระพือปีกเนื้อบินฉวัดเฉวียนอยู่ท่ามกลางอวกาศที่เงียบงันและไร้ขอบเขตเหมือนกับปลากระเบน
สิ่งมีชีวิตพวกนี้ยาวหลายพันกิโลเมตร พวกมันอยู่ว่างและเกียจคร้าน ดูเหมือนกับกระเบนทะเลกลางมหาสมุทรขณะลากหางยาวแหวกว่าย
ร่างสูงชะลูดที่สวมเกราะสีขาวร่างหนึ่งนั่งอยู่บนหัวของสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งในนี้
เกราะบนตัวคนคนนี้มีลักษณะเด่นมาก เต็มไปด้วยแท่งกระดูกมากมาย จัดเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ระห่างแท่งกระดูกเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนๆ
“จิตฟ้าคือจิตเรา” ร่างนั้นเอ่ยปาก “ความว่างเปล่าคือสรรพสิ่ง…”
สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์รอบๆ ตัวเขาเริ่มเร่งความเร็วบินไปยังเนบิวลาซึ่งอยู่ไกลออกไป
จักรวาลรอบๆ เริ่มบิดเบี้ยวอย่างช้าๆ
แสงดาวกลายเป็นเส้นด้ายที่หมุนวนหลายเส้น ทุกสสารกลายเป็นกลุ่มด้ายหมุนวนอย่างต่อเนื่อง
ตูม!
ภาพที่อยู่รอบๆ พลันหยุดนิ่ง แล้วกลับมาเป็นแสงดาวนับไม่ถ้วนอีกครั้ง
ดาวเคราะห์งดงามหลายดวงที่กำลังหมุน ปรากฏขึ้นด้านหน้าร่างสูงนั้น
แต่พอร่างสูงนั้นและสิ่งมีชีวิตยักษ์เข้าใกล้ รอบๆ ดวงดาวก็มีแถบแสงที่เหมือนริบบิ้นหลายเส้นโผล่ออกมา
แสงสีแดงที่เจิดจ้าเริ่มกะพริบบนแถบแสง เสียงแจ้งเตือนนับไม่ถ้วนสะท้อนอย่างหนวกหูอยู่เหนือดาวเคราะห์มากมาย
ร่างนั้นจ้องมองดาวเคราะห์ที่กลายเป็นสีแดงเหล่านี้อย่างสงบนิ่ง
“ฉัน…ได้กลิ่นของอนุภาคนิรันดร์แล้ว…”
เขาค่อยๆ ผุดลุกขึ้น แท่งกระดูกบนเกราะกระจายไปด้านนอก เผยให้เห็นรูกลมขนาดใหญ่ที่ส่องแสงสีดำ
“ทุกสรรพสิ่ง…หวนสู่ความว่างเปล่า”
เสียงของร่างนั้นแผ่กระจายไปรอบๆ เหมือนกับคลื่นสั่นสะเทือนไร้รูปร่าง
ตูม!
สีดำน่ากลัวจำนวนเหลือคณานับทะลักออกมาจากรูดำตรงลิ้นปี่ของเขา
จักรวาลรอบๆ ที่เหมือนกับภาพวาดสีรุ้งถูกสีสันดำสนิทย้อมจนมืดมิด
สสารก็ดี พลังงานก็ดี รังสีก็ดี
ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปในสีดำ ทุกอย่างในจุดที่ความมืดมิดเคลื่อนหายสูญหายกลายเป็นสีดำปลอด
“ไม่…!”
ลำแสงสีแดงฉานหลายลำพุ่งออกมาจากดวงดาวสีรุ้งด้วยความเร็วสูง
ลำแสงทั้งหมดรวมตัวเป็นจุดเดียว กลายเป็นแสงสีแดงขนาดมหึมาที่เจิดจ้าแยงตา
ดวงตามังกรขนาดมโหฬารข้างหนึ่งลืมขึ้นในแสงสีแดงอย่างช้าๆ
น้ำตาสีทองหยดหนึ่งหยดลงจากดวงตามังกร
ทันใดนั้น ดาวเคราะห์ทั้งหมดรวมถึงดวงตามังกรก็ถูกสีดำสนิทปกคลุมอย่างสมบูรณ์
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน
กาแลคซีสหพันธ์หลายแห่งที่รวมกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดไว้นับไม่ถ้วนในจักรวาลต่างๆ ก็พากันถูกสัตว์ยักษ์โปร่งแสงสีฟ้าเหลือคณานับบุก ตกสู่ท่ามกลางเพลิงสงครามอันดุเดือด ก่ อนจะทยอยพ่ายแพ้