ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 108 ชุลมุน (4)
เห็นคนที่เป็นผู้นำ จากนั้นมองที่พวกเขาสวมเป็นเครื่องแบบสัญลักษณ์อันใด? นั่นคือพรรควาฬแดง!
ความแค้นของพรรควาฬแดง ล้อเล่นหรือ ผู้ใดกล้ารับ ต่อให้เป็นคุณชายของรองผู้บัญชาการ อัดก็อัดไปแล้ว ผู้ใดกล้าเป็นศัตรูกับพรรควาฬแดง รังเกียจที่มีชีวิตมานานหรือ
“นี่…นี่…นี่…!” เฉินเต้าเจ่ามองคุณชายหวังถูกอัดจนไม่ส่งเสียง รีบเรียกคนไปห้ามปราม แต่เรียกอยู่สักพักไม่มีใครขยับ ก็สับสนกระวนกระวาย
พอนึกถึงปัญหาที่ตระกูลเฉินอาจเจอตอนรองผู้บัญชาการถามโทษในภายหลัง เขาจิตใจเย็นเยียบ ในที่สุดก็ตาเหลือกหงายหลัง สิ้นสติสมประดีไป
“ท่านพ่อ!” เฉินอวิ๋นซีรีบเข้าไปประคอง ตกใจหน้าถอดสีเช่นกัน
พอทุบตีหวังซุ่นหย่งจนเกือบสิ้นลม ชายฉกรรจ์สักมังกรเขียวผู้นั้นค่อยแสร้งบอกให้คนหยุดมือ
จากนั้นทำท่าเข้าไปดู
“อ้าว! นี่คุณหนูใหญ่เฉินนี่ เสียคารวะแล้วๆ คิดไม่ถึงจะจับโจรชั่วได้ที่บ้านของคุณหนูใหญ่เฉิน ขออภัยๆ! พวกเราจะไปแล้ว!”
ชายฉกรรจ์ผู้นี้ขอโทษขอโพย เทียบกับการบุกเข้ามาทุบตีคนเมื่อครู่ เขาในตอนนี้มีมารยาทจนน่ากลัว
ความแตกต่างที่มากเกินไปทำให้เฉินอวิ๋นซีไม่รู้สมควรตอบอย่างไร
อีกฝ่ายมองยังไม่มองบิดาที่อยู่ข้างกายนาง เพียงเยินยอนาง จากนั้นก็ลากขาหวังซุ่นหย่งคุณชายหวังที่เหมือนสุนัขตายวิ่งไป
ไม่รอให้นางได้สติ คนกลุ่มใหญ่ก็หายไปโดยไร้เงา เหลือเพียงความเละเทะในสวนและบิดาที่สลบไสล
ยังมีเฉินอวิ๋นซีที่สีหน้าสับสน จิตใจปั่นป่วน จนถึงตอนสุดท้าย นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ความจริงนางไม่ทราบความลับในนี้
นี่ต้องเล่าตั้งแต่โถงอินทรีเหินก่อปัญหาในพรรควาฬแดง
ยอดฝีมือทุกคนของโถงอินทรีเหินในพรรควาฬแดง เป็นเพราะก่อนหน้านี้จับกลุ่มไม่ฟังคำสั่ง คิดเสนอเงื่อนไขเอง สร้างความไม่พอใจแก่ลู่เซิ่ง ดังนั้นจึงไม่สบายใจมาตลอด ต้องการหาโอกาสปรับปรุงภาพลักษณ์
แต่ว่าลู่เซิ่งมีพลังยุทธ์น่าเกรงขาม ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งสูง คนประจบประแจงเยอะเกินไป พวกเขาไม่มีโอกาสดีๆ ในการแสดงออก
ดังนั้นพวกเขาปรึกษากัน เริ่มให้ความสนใจสหายสนิทของลู่เซิ่ง
เฉินอวิ๋นซีเป็นเพราะอยู่ลำพังกับลู่เซิ่งหลายครั้ง มีคนหลายคนเห็น ย่อมเข้าสู่สายตาพวกเขา
บวกกับก่อนหน้านี้อวี้เหลียนจื่อกำชับเป็นการลับ ให้ปกป้องครอบครัวของลู่เซิ่งและสตรีนางนี้ พลันทำให้คนของโถงอินทรีเหินเกิดความคิด
จ้าวจื่อหยางฉายามังกรเขียวทะยาน เป็นหนึ่งในนี้ เขาที่อยู่ในระดับสูงสุดของพลังปลอดโปร่ง ไม่มีความหวังจะก้าวหน้า ไม่ได้ต้องการชิงกิจการพื้นฐานให้ครอบครัว แต่ถ้าทำให้หัวหน้าไม่พอใจเพราะสาเหตุนี้ ไม่ต้องพูดถึงกิจการพื้นฐาน ชีวิตเล็กๆ ก็ไม่อาจรักษา ถือเป็นปัญหา
ในความยุ่งเหยิง เขาย้ายเป้าหมายไปที่ตัวเฉินอวิ๋นซี หลังวางแผนการกับคนอื่น ก็วางคนอย่างถี่ถ้วน ตรวจสอบทุกรูปแบบ วางสายสอดแนม จับตาตลอดเวลา ในที่สุดเขาก็เจอโอกาสอันดีที่ทำให้พวกตนในสายตาลูกพี่เปลี่ยนภาพลักษณ์ได้
ดังนั้นจึงวางแผน คุณชายหวังจากครอบครัวรองผู้บัญชาการกลายเป็นหินรองเท้าของเขามังกรเขียวทะยาน แล้วที่ล่วงเกินรองผู้บัญชาการเล่า
ด้วยขีดความสามารถและขุมกำลังของพรรควาฬแดง ในเมืองเลียบคีรีขอแค่ไม่ใช่เรื่องราวสะเทือนขวัญเช่นทำลายที่ว่าการ เรื่องทั่วไปมีใครกล้าหือ ถึงอย่างไรเมื่อฟ้าถล่ม ก็มีระดับสูงรับไว้ กลัวอะไร?!
ดังนั้นคนไร้การศึกษาผู้นี้จึงพาคนบุกมาจับตัวคุณชายหวัง แล้วทุบตีอย่างรุนแรง
คุณชายหวังผู้น่าสงสารมาชมของประหลาดอย่างกระตือรือร้น กลับถูกทุบตีอย่างไร้เหตุผล สุดท้ายถูกหามออกไปทั้งที่สลบอยู่ ทำไมตนจึงถูกทำร้ายก็ยังไม่รู้ รับภัยพิบัติที่ไร้สาเหตุไป
เฉินเต้าเจ่าที่สลบไปหากทราบเรื่องนี้เข้า เกรงว่าเมื่อตื่นขึ้นมาจะสลบไปอีกรอบ พรรควาฬแดงไม่กลัว แต่ตระกูลเฉินของเขาต้องรับภัยพิบัติแล้ว!
…
ในห้องหนังสือของบ่อนพนัน
“หา?” อวี้เหลียนจื่อลุกพรวด มองมังกรเขียวทะยานกับชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่อีกสองคนตรงหน้า ใบหน้าสับสน
“พวกเจ้าไปทุบตีคุณชายของรองผู้บัญชาการเพราะเขาไปเป็นแขกที่บ้านคุณหนูเฉินอวิ๋นซีหรือ”
“ย่อมไม่ใช่!” มังกรเขียวทะยาน เลียริมฝีปากกระเถิบเข้าใกล้ “ใต้เท้าเหลียนจื่อ ท่านไม่ทราบ…”
“ข้าไม่ใช่เหลียนจื่อ ข้าคืออวี้เหลียนจื่อ!” อวี้เหลียนจื่อทำท่าปวดหัว แก้ไขคำเรียกด้วยน้ำเสียงโมโห
“อ้อ ใต้เท้าอวี้เหลียนจื่อ! นี่ยังไม่ใช่เหลียนจื่อหรือ ผิดแล้วๆ! ข้าน้อยผิดไปแล้ว สมควรทุบตี!” มังกรเขียวทะยานเห็นอวี้เหลียนจื่อสีหน้าผิดปกติ รีบหุบปาก ตบหน้าตัวเองเบาๆ
“ข้าเล่าก็แล้วกัน” ชายชราอีกคนจากโถงอินทรีเหินเดินขึ้นหน้ามา เขาเป็นคนที่ให้ความร่วมมือ ซึ่งความจริงสาเหตุที่มังกรเขียวทะยานกระทำเรื่องนี้ได้อย่างรัดกุม ใช้วิธีขมขู่ล่อใจจนสืบแผนการของเฉินเต้าเจ่าได้ ก็เป็นคนผู้นี้วางแผน
ชายชราเล่าต้นสายปลายเหตุอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
หลังฟังจบ อวี้เหลียนจื่ออ้าปากตาค้าง เฉินเต้าเจ่ามีความคิดแบบนี้ ช่างไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แม้แต่บุคคลยิ่งใหญ่ที่เหี้ยมหาญเช่นหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกของตนก็ยังผลักไส ไปหาบุตรชายตระกูลหวังแทนหรือ
แค่รองผู้บัญชาการคนเดียว เมืองเลียบคีรีใหญ่โต มีรองผู้บัญชาการสามคนแบ่งอำนาจทางการทหาร ไม่ต้องพูดถึงรองผู้บัญชาการ แค่สถานะและวาจาสิทธิ์ของผู้บัญชาการใหญ่ก็ไม่ต่างจากผู้อาวุโสคนหนึ่งของพรรควาฬแดงเท่าไหร่
เทียบกับผู้มีอำนาจอันดับสามอย่างลู่เซิ่ง ไม่ใช่ระดับเดียวกัน
“ตาเฒ่าผู้นี้ช่าง…กล้าผลักไสคุณหนูอวิ๋นซีไปเป็นอนุคนอื่น” อวี้เหลียนจื่อส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด
“เช่นนั้นใต้เท้าอวี้เหลียนจื่อ ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร” ชายชรากล่าวเบาๆ แอบยัดตั๋วเงินม้วนหนึ่งใส่มืออวี้เหลียนจื่ออย่างรวดเร็ว
อวี้เหลียนจื่อมองตั๋วเงินจำนวนมากอย่างคลุมเครือ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม รับไว้เงียบๆ
“ไปเถอะ ไปรอตรงลานบ้านที่หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกปิดด่านกับข้า เขาเคยบอกว่าวันนี้ตอนบ่ายน่าจะออกมาได้ รองผู้บัญชาการสุดท้ายก็เป็นตัวยุ่งยากในราชสำนัก จะจัดการต้องให้หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกออกปากเอง”
“ขอบคุณใต้เท้าอวี้เหลียนจื่อ” ยอดฝีมือโถงอินทรีเหินสามคนรีบประสานมือคำนับ
“เกรงใจแล้ว วันหน้ายังต้องได้พึ่งพาพวกท่านอีกมาก” อวี้เหลียนจื่อประสานมือคำนับตอบ แม้ถ้ายึดตามลำดับเขาจะตำแหน่งสูงกว่าอีกฝ่ายขั้นหนึ่ง แต่ว่ายอดฝีมือประจำสาขาย่อยเช่นนี้เทียบเท่ากับเจ้าผู้ครองรัฐขนาดเล็ก กุมอำนาจจริงแท้อยู่ในมือ ภายหลังจำมีส่วนที่ต้องให้พวกเขาช่วยเหลือ
พวกเขาออกจากห้องหนังสือ เดินถึงด้านนอกลานที่ลู่เซิ่งปิดด่าน รออย่างเงียบสงบ
อาทิตย์แรงกล้าสาดส่องบนศีรษะ แต่ละคนไม่มีคำตัดพ้อแม้แต่น้อย ยืนตัวตรงอยู่นอกลานเช่นนี้
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ดวงอาทิตย์ตกลงที่ประจิมทิศมากกว่าครึ่ง กำลังจะหายไปในเส้นขอบฟ้า รอจนเท้าทุกคนเริ่มชา บนตัวลานในที่สุดก็มีเสียงเสียดแทงหูดังมา คล้ายประตูห้องเปิดออก
“ไม่ใช่บอกว่าไม่มีธุระอย่ามารบกวนข้าหรือ อวี้เหลียนจื่อ ท่านพาสามคนนี้มาทำอันใด” เสียงแหบทุ้มต่ำเฉพาะตัวของลู่เซิ่งดังมาจากด้านใน
อวี้เหลียนจื่อได้ยินเสียง สีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ฟังออกว่าสภาพในตอนนี้ของลู่เซิ่งคล้ายต่างจากยามปกติ ในเสียงแฝงความรู้สึกกดข่มในระดับสูงสุด คล้ายกำลังสะสมอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง
“เรื่องเกี่ยวกับคุณหนูเฉินอวิ๋นซี” เขาเล่าเรื่องที่พวกมังกรเขียวทะยานใช้วิธีการมากมายตรวจสอบได้ทีละเรื่องๆ
พูดจบแล้ว พวกเขาก็รอที่ประตูใหญ่เงียบๆ
สักพักหนึ่ง ประตูส่งเสียงแอ๊ด ค่อยๆ เปิดออก
ชายร่างกำยำ ใบหน้าเหี้ยมเกรียมคนหนึ่งเดินออกมาอย่างเชื่องช้าพร้อมศีรษะล้านเลี่ยน
ดวงตาดั่งราชสีห์กวาดมองผู้คน พวกอวี้เหลียนจื่อสี่คนพลันขนลุกขนพอง
ต่อให้เป็นจ้าวจื่อหยางมังกรเขียวทะยาน ที่ร่างสูงใหญ่กำยำที่สุดในหมู่พวกเขา เทียบกับคนตรงหน้าผู้นี้ ยังตัวเล็กกว่ามาก ดูอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเหมือนกับถั่วงอก
พลังยุทธ์ของหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!
พวกเขาที่ถูกจ้องมอง เสียวสันหลังวาบ เหงื่อกาฬผุดซึม
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่า บิดาของเฉินอวิ๋นซีจะวางยาคนอื่น ยังจะให้นางแต่งเป็นอนุคนอื่นใช่หรือไม่” เขาเสียงทุ้มต่ำ อารมณ์ที่สะกดในน้ำเสียงให้ความรู้สึกกดข่มที่พร้อมระเบิดได้ตลอดเวลาเหมือนแม่น้ำก่อนขึ้นสูง
“เป็น…เป็นเช่นนี้…” หน้าผากมังกรเขียวทะยานมีเหงื่อผุดซึม ฝืนต้านทานแรงกดดัน พยายามตอบ
“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก ข้าน้อยคิดว่าถ้าท่านไม่ต้องการคุณหนูเฉินอวิ๋นซี เรื่องนี้ให้ดีที่สุดอย่าให้ความหวังนาง อย่าได้สอดมือเข้าไปในเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเฉินเต้าเจ่า เรื่องแบบนี้ขอแค่เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ก็จะเกิดครั้งที่สอง ครั้งที่สาม” อวี้เหลียนจื่ออยู่กับลู่เซิ่งบ่อยๆ ชินกับความรู้สึกกดดันอันกล้าแข็งรอบๆ ตัวเขาเล็กน้อย ตอนนี้จึงออกปากเตือน
ลู่เซิ่งเงียบพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเชื่องช้า “เรื่องนี้ท่านไปจัดการ บอกเฉินอวิ๋นซีว่าถ้าทุกอย่างเรียบร้อย และนางยินดี หนึ่งปี ให้นางรอข้าหนึ่งปี ภายหลังข้าจะไปหานาง” ถ้าข้าไม่ตาย เขาเสริมหนึ่งประโยคเงียบๆ ในใจ
อวี้เหลียนจื่อทราบเรื่องระหว่างเฉินอวิ๋นซีกับลู่เซิ่ง ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มแทนสตรีนางนั้น เขาหันไปมองคนที่เหลือ
“เรื่องของหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก จะต้องปิดเป็นความลับ ไม่อนุญาตให้แพร่งพราย”
“ข้าน้อยจะรักษาความลับ ถ้าเล็ดลอดไปขอให้ไม่ตายดี!” ทั้งสามคนสาบานอย่างแน่วแน่ เมื่อเกี่ยวพันถึงเรื่องในบ้านของหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก แม้พวกเขาจะสาบานด้วยคำสาปแช่ง แต่จิตใจเบิกบาน ทราบว่าครั้งนี้แทงพนันถูกแล้ว
ในฐานะบริวาร ได้สร้างผลงานไม่น้อยหลังทราบเรื่องราวความลับของหัวหน้า นี่มีวี่แววว่าจะกลายเป็นคนสนิทแล้ว!
หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดขอบเขตผนึกจิตตั้งแต่อายุยังน้อย ขีดความสามารถเช่นนี้ บนแดนเหนือที่กว้างใหญ่แทบเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในอนาคต ถึงอย่างไรประมุขพรรคเฒ่าก็แก่ชราแล้ว กำลังวังชาถดถอยลงไปตามกาลเวลา
“เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ
“ขอรับ!” พวกอวี้เหลียนจื่อพากันล่าถอย
ลู่เซิ่งยืนอยู่ในลาน สีหน้าสงบนิ่ง เขามองออกว่า เมืองเลียบคีรีแห่งนี้ หรือแม้แต่สถานที่จำนวนไม่น้อยบนแดนเหนือ เฉินอวิ๋นซีที่ขายาวเป็นที่รังเกียจของผู้คน ฐานะเหมือนกับหญิงขี้เหร่
คนทั่วไปเห็นว่านางบกพร่องไม่สมประกอบ
แต่เขาจำได้ดีว่า ตอนอยู่เมืองเก้าประสาน ขอแค่ขาไม่ยาวเกินไปก็จะมีคนตามจีบ เหมือนกับตวนมู่หว่านในตอนนั้น การยึดถือขาสั้นๆ เป็นความงดงาม อาจจะมีแค่เมืองเลียบคีรีที่ให้ความสนใจด้านนี้มากกว่า ถึงอย่างไรตวนมู่หว่านก็ขายาวไม่เท่าเฉินอวิ๋นซี
“จริงด้วย” อวี้เหลียนจื่อไม่ทันไรก็วกกลับมาอีก “คุณชายตระกูลหวังของรองผู้บัญชาการนั่นจะจัดการอย่างไร”
“รองผู้บัญชาการหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นส่ายหน้า “คนผู้นี้เพียงเจอภัยพิบัติไร้สาเหตุ แต่ในเมื่อพัวพันถึงชื่อเสียงของสตรีข้า ก็ตัดขาเขาข้างหนึ่ง ถ่ายทอดไปว่าเขาหมายจะทำมิดีมิร้ายเฉินอวิ๋นซี แต่ถูกคนผ่านทางพบเห็นความอยุติธรรมทุบตีจนสลบไสล เรื่องวางยาใครกล้าพูด ให้จัดการเหมือนกัน”
อวี้เหลียนจื่อเหงื่อออกกลางหลัง
นี่ต้องเข้าข้างขนาดไหนถึงทำเรื่องแบบนี้ได้…
หวังซุ่นหย่งผู้นี้ซวยมหาซวย ถูกทุบตีโดยไร้สาเหตุ ทั้งยังโดนใส่ร้ายป้ายสี สุดท้ายได้แต่กลืนฟันหักลงท้อง ถ้ากล้าโต้ตอบ แค่รองผู้บัญชาการคนเดียว ถ้ายั่วโมโหลู่เซิ่ง ก็บุกไปฆ่าล้างตระกูล ราชสำนักอย่างมากถามไถ่รอบหนึ่ง ชดเชยให้ก็จบเรื่อง ไม่มีทางฉีกหน้าจริงๆ เหมือนกับเรือสำราญหอแดงก่อนหน้า จับคนอย่างเหิมเกริมในที่ลับบนแม่น้ำ ราชสำนักก็ลืมตาข้างปิดตาข้าง
“อย่าลืมให้การเท็จกับเขาด้วย เอาล่ะเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ไม่ต้องมาถามข้าแล้ว ท่านจัดการเองเลย” ลู่เซิ่งโบกมือกล่าวอย่างไม่แยแส
“รับทราบ” อวี้เหลียนจื่อล่าถอยอย่างจนใจ ถึงตอนท้ายทั้งสองคนก็ไม่พูดถึงฉากหลังซึ่งเป็นผู้บัญชาการ
สำหรับพรรควาฬแดงในตอนนี้ ขุมกำลังทั่วไปอาจมีผลเล็กน้อย แต่เทียบกับจัตุรัสแดงแล้วไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง
ยอดฝีมือระดับผนึกจิตถ้าลงมือ หากไม่มีอาวุธประเภทหน้าไม้พลังทำลายสูง คนกี่คนก็ต้านไม่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำในพรรควาฬแดงอย่างลู่เซิ่งมีพลพรรคในมือมากกว่าพันคน ต่างก็ฝึกฝนตามวินัยกองทัพ ฉากหลังยังมีตระกูลขุนนาง
……………………………………….