ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1090 ง่ายดาย (2)
บไฟสีแดงฉานขนาดใหญ่เกือบย้อมกาแลคซีทั้งผืนเป็นสีแดง
นอกจากดาวคุมขังที่อัลโฟเล็ตติอยู่แล้ว ดาวคุมขังแห่งอื่นถึงกับถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ไปพร้อมๆ กัน
คลื่นที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวหลายกลุ่มหลุดออกมาจากแกนกลางดาวคุมขังดวงอื่น
คลื่นพวกนี้กลายเป็นร่างสีดำที่ใหญ่โตพร่ามัว บินมาทางดาวคุมขังแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
ดีนหน้าเขียวทันที แต่เขาไม่ขยับ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ซีลและเบเลียนที่อยู่ด้านข้างเขาก็ยืนนิ่งเช่นกัน
ทั้งสามจ้องมองพ่อลูกอัลโฟเล็ตติที่อยู่ไม่ไกล
“ฆ่าพวกมันซะ!” ดีนพุ่งเข้าหาคาฟีลาเดีย ไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงของดวงดาวรอบๆ โดยสิ้นเชิง!
…
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองพ่อลูกอัลโฟเลตติและสามขุนพลแห่งจักรวรรดิที่กำลังสู้กันอย่างดุเดือด
ร่างของเบเลียนปรากฏด้านหน้าเขาแวบหนึ่ง
คาฟีลาเดียและอัลโฟเลตติเจอศึกสองต่อสาม แต่ถึงกับสู้ได้สูสี
เขาหามุมหนึ่งหลบซ่อนตัว คอยสังเกตดูสภาพการต่อสู้ของสองฝั่งอย่างละเอียด
นักโทษระหว่างดวงดาวที่ถูกปล่อยออกมาต่างก็กำลังแก้แค้นกองทัพจักรวรรดิ ล้วนเป็นผู้ก่อการร้ายที่ความแค้นยากบรรยายเป็นคำพูด
เวลานี้บุคคลยิ่งใหญ่เหล่านี้กำลังรุมสามขุนพลแห่งกองทัพจักรวรรดิเช่นกัน
เหตุการณ์นี้ได้ตรึงกองกำลังส่วนหนึ่งของพวกเขาไว้
“อลังการจริงๆ” พอเห็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ๆ ดวงหนึ่งถูกความบิดเบี้ยวสายหนึ่งของดีนกระแทกยุบลงไปเป็นพื้นที่ใหญ่ กำลังจะระเบิด
ลู่เซิ่งก็อดถอนใจชมเชยไม่ได้
‘นี่คือเพื่อนร่วมงานในอนาคตของเราเหรอ’ เขามองอัลโฟเลตติถูกต่อยกระเด็นเข้าไปในผิวดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ๆ อย่างชื่นชม
‘คนที่จักรวรรดิส่งมาและคนของแสงดาวสีครามต่างก็เป็นขุนพลที่ไม่มีพลังแห่งความว่างเปล่า จุ๊ๆ น่าสนใจจริงๆ’
ลู่เซิ่งเหมือนจะจับจุดประสงค์ของมือมืดหลังฉากได้แล้ว
‘แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้’
สงครามกินเวลาสั้นๆ แต่รุนแรง ใช้เวลาไม่เกินสิบกว่านาที สุดยอดขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดห้าคนก็ต่อสู้กันจนเลือดขึ้นหน้า
ดีนและซีลสู้กับคาฟีลาเดีย เบเลียนและอัลโฟเลตติเป็นคู่ปรับเก่า ทั้งสองสูสีคู่คี่ เข่นฆ่ากันอย่างบ้าคลั่งอยู่กลางอากาศ
ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บ และเป็นเพราะพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบใหญ่เกินไป ทำให้กองยานซึ่งก่อนหน้านี้ล้อมโจมตีอยู่รอบๆ จำเป็นต้องวาร์ปหนีไปไกลกว่าเดิม
ท้องฟ้าผืนนี้เหลือคนห้าคน และผู้ใช้พลังจิตระดับวีนาเกียร์ไม่กี่คนสู้กัน
ลู่เซิ่งเก็บกลิ่นอายอย่างระมัดระวัง ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังชิ้นส่วนดาวที่แตกกระจาย รอคอยผลแพ้ชนะของการต่อสู้ในตอนสุดท้าย
“ง้าวชิงชัยไร้รูป!”
อวกาศพลันมืดลง เหมือนกับแสงสว่างทั้งหมดถูกดูดไปไว้บนง้าวยักษ์สีฟ้าเล่มนั้น
แสงสีขาวเจิดจ้าส่องสว่างอย่างฉับพลันบนคมง้าวที่กว้างขวางใหญ่โต กลุ่มแสงนับไม่ถ้วนที่เหมือนกับกลีบดอกไม้วนเวียนรอบตัวคาฟีลาเดีย
เขากำไม้เท้าด้วยสองมือ ยืนอยู่ด้านหลังง้าว พร้อมกระทุ้งไม้เท้าลงด้านล่าง
เปรี้ยง!
ระลอกคลื่นโปร่งใสกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาจากปลายไม้เท้า
ง้าวยักษ์หายไปอย่างฉับพลัน พุ่งไปถึงด้านหน้าดีนและซีลด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ง้าวทั้งเล่มเหมือนกับดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง ไม่อาจต้านทาน ไม่อาจหลบหลีก
“เสียงคำรามนิรันดร์! ธาตุอาทิตย์เผาผลาญ!” ดีนคำราม ร่างกายระเบิดกลายเป็นแสงสีว่างสีทองนับไม่ถ้วน ก่อนจะจับตัวเป็นก้อนราวพระอาทิตย์ แล้วพุ่งเข้าใส่ง้าวยักษ์
“ลาก่อน! คาฟีลาเดีย!”
“ไม่ คนที่ควรพูดประโยคนี้ คือฉัน!”
แสงสว่างสองสายพุ่งใส่กัน
ตูม!
เขตดาวในอวกาศรอบๆ ถูกง้าวยักษ์ชนใส่อย่างรุนแรง มิติสั่นคลอน เวลาบิดเบี้ยว ระยะห่างและมิติกลายเป็นมายาอย่างรวดเร็ว
กระแสปั่นป่วนของมิติเวลาจำนวนมากรวมถึงรังสีพลังงานกลายเป็นเสาแสงบิดเบี้ยวโปร่งแสงสีรุ้งหลายต้น กวาดใส่ทุกอย่างรอบๆ เหมือนกับไฟฉาย
ทุกๆ สิ่งที่ถูกเสาแสงเหล่านี้แตะโดนจะถูกแยกตัวสลายไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียงในทันที
การสั่นสะเทือนที่เกิดจากการระเบิดคงอยู่หลายนาที จึงค่อยๆ เบาลง
ตอนนี้รอบๆ ดาวคุมขังที่สงบลงเล็กน้อยไม่เหลือดวงดาวสักดวงเดียว
ดาวทั้งหมดในระยะห่างไม่กี่ปีแสง ถูกการระเบิดอันรุนแรงเมื่อครู่ทำลายหรือไม่ก็ผลักให้ออกจากเขตดาวผืนนี้ไปแล้ว
ทุกอย่างค่อยๆ สงบลง
บนผื้นผิวอุกกาบาตสีเหลืองมัวซัวก้อนหนึ่งด้านในเนบิวลาที่กำลังเลื่อนไหล
ดีนร่างโชกเลือด นอนหงายอยู่บนพื้น มองคาฟีลาเดียบนอุกกบาตอีกลูกซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
แขนข้างหนึ่งของคาฟีลาเดียหายไปตอนไหนก็ไม่ทราบ
เขายังคงยืดหลังตรง สองขาปักหลักอยู่บนชิ้นส่วนง้าวสีเงินชิ้นหนึ่ง ดูเหมือนปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน
ถ้าไม่ใช่เพราะหยดเลือดที่หยดลงมาข้างล่างไม่หยุด อาจไม่มีใครดูออกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ครั้งนี้ ฉันชนะแล้ว” ดีนยิ้มมุมปาก
สีหน้าของคาฟีลาเดียไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตากลับฉายแววยินดี
“ครั้งนี้ฉันชนะแล้ว” เขาหันไปมองอวกาศที่อยู่ทางซ้ายของทั้งสอง
ร่างของชายที่กำยำร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏตรงนั้น
ลู่เซิ่งบินมาถึงที่ว่างระหว่างทั้งสองด้วยสีหน้าราบเรียบ
“นานเหลือเกิน…ฉันโจวหนิงไม่ได้เจอคู่ต่อสู้มานานเหลือเกิน…คนที่มีค่าพอให้ฉันลงมือบนโลกใบนี้มีน้อยเกินไป ได้ยินชื่อของผู้บัญชาการใหญ่แห่งจักรวรรดิมานาน พลังจิตถูกจั ดอยู่ในสิบอันดับแรกของหอคอยขุนพลดวงดาว นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะโชคดีขนาดนี้ ยังมีหนึ่งในห้าดาวศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงดาวสีคราม คาฟีลาเดียก็อยู่ที่นี่เช่นกัน”
“พวกคุณ เข้ามาพร้อมกันเถอะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าคาฟีลาเดียค่อยๆ หายไป
“พรูด” ดีนกลับอดส่งเสียงหัวเราะไม่ได้
“ไอ้…ไอ้หนูนี่…มาเล่นตลกเหรอไง…” เปรี้ยง!
เขาอ้าปากกว้าง ลิ้นยื่นออกมา ดวงตาถลนไปด้านนอก ร่างโค้งงอ ถูกพลังหนักอึ้งที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงกระแทกใส่ท้องอย่างรุนแรง
ตูม! เนบิวลาผืนใหญ่ที่อยู่หลังอุกกาบาตถูกทำลายหายไป เผยให้เห็นทะลดาวสีฟ้าครามไกลออกไป
“อ่อนแอจริงๆ…” ลู่เซิ่งชักหมัดขวากลับ สีหน้าสงบนิ่ง “ถ้านี่เป็นพลังของผู้บัญชาการใหญ่ประจำจักรวรรดิ อย่างนั้นก็น่าผิดหวังเกินไปแล้ว…”
“อ่อก!”
ดีนกระอักเลือดออกมาคำโต คุกเข่าล้มลงกับพื้น ร่างกายสั่นเทิ้ม
“ไอ้หนู…แน่…แน่จริงก็พูด…ตอนฉันไม่บาดเจ็บสิวะ!” ดีนเค้นประโยคหนึ่งออกมาอย่างยากลำบาก
“พลังก็คือพลัง ผู้อ่อนแอมักหาข้ออ้างต่างๆ นานามาขับเน้นความอ่อนแอของตัวเอง น่าสมเพช…” ลู่เซิ่งยืนเอามือไพล่หลัง
“ไอ้…เวรนี่!” ดีนโกรธตัวสั่น
“พวกเราควรไปได้แล้ว” คาฟีลาเดียเตือน “กำลังหนุนของกองทัพจักรวรรดิมาแล้ว การจราจลบนดาวคุมขังทนได้อีกไม่นาน” แม้ลู่เซิ่งจะเปลี่ยนรูปร่างหน้าตา แต่สำหรับสุดยอดผู้ใช้พลังจิต อย่างเขา ไม่ได้ใช้แค่หน้าตาในการแยกแยะคนคนหนึ่งเท่านั้น
“ช่างเถอะ ไม่ล้อเล่นแล้ว ต้องการฆ่ามันไหมครับ” ลู่เซิ่งมองดีนที่ไม่เหลือแรงโต้กลับ
“ไม่ต้อง ฆ่ามันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเราอยู่ดี…” คาฟีลาเดียเอ่ยเสียงเรียบ
“นึกไม่ถึงว่า ครั้งนี้เธอจะเป็นคนเพียงคนเดียวที่ยินดีลงมือช่วยเหลือพวกเรา” เขาสะท้อนใจเล็กน้อย
“ก็แค่ตอบแทนบุญคุณของอัลโฟเลตติในตอนนั้นเฉยๆ ครับ” ลู่เซิ่งตอบเอย่างเอื่อยเฉื่อย
ทั้งสองไม่เหลือบแลดีนอีก หมุนตัวบินไปยังที่ไกลด้วยความเร็วสูง ลู่เซิ่งเปิดการทำงานอุปกรณ์วารป์บนตัว ทั้งสองหายไปจากที่เดิมพร้อมกัน หลอมรวมเป็นหนึ่งกับอวกาศอันไพศาลอย่า างสมบูรณ์
…
คุกคุมขังของจักรวรรดิเกิดการระเบิด ดาวคุมขังเก้าดวงระเบิดพร้อมกัน คนร้ายโทษฉกรรจ์ที่ถูกคุมขัง เหล่าผู้ใช้พลังจิตชั่วร้ายที่มีอันตรายสูงสุดหลุดออกมา
คนที่หลุดออกมาพร้อมกันยังมีอัลโฟเล็ตติแห่งแสงดาวสีคราม
เรื่องใหญ่ในครั้งนี้ทำให้ดาวมีชีวิตสิบเจ็ดดวงเกิดความเสียหาย สามดวงในนี้ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์
ดาวคุมขังเก้าดวงระเบิด ผู้บัญชาการใหญ่แห่งจักรวรรดิดีนบาดเจ็บสาหัส ผู้บัญชาการกองพลซีลและเบเลียนถูกเล่นงานบาดเจ็บ สลบไปในการระเบิด ลอยออกไปหลายกาแลคซี
กองยานที่ล้อมปราบเกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างมากมาย จำนวนผู้ใช้พลังจิตระดับวีนาเกียร์ที่เสียชีวิตยังคงเพิ่มขึ้น คนมากมายแม้แต่ศพยังหาไม่เจอ ถูกม้วนเข้าไปในกระแสปั่นป่ว วนของมิติเวลาอันน่ากลัว
แสงดาวสีครามประกาศว่าการลอบโจมตีที่น่ากลัวในครั้งนี้เป็นฝีมือของพวกเขา ชื่อเสียงของแสงดาวสีครามเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ทันที
เดิมลู่เซิ่งคิดจะต่อสู้สุดกำลังสักครั้ง แต่ในพริบตาที่เห็นผู้เข้มแข็งระดับผู้บัญชาการใหญ่สองคนสุดท้ายลงมือสุดกำลัง เขาก็คำนวณความแตกต่างออกคร่าวๆ และพบว่าตนเองยังห่าง งจากระดับนี้อีกไกลโข
ดังนั้นเขาจึงแอบหลบตอนสองฝ่ายลงมือ และรอเก็บกวาดสถานการณ์สุดท้าย
ผลลัพธ์เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ คนสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดบาดเจ็บทั้งคู่ สุดท้ายค่อยถึงเวลาเขาออกโรง
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ คาฟีลาเดียไม่ต้องการให้เขาช่วยสังหารอีกฝ่าย
อัลโฟเล็ตติถูกเจอตัวอย่างรวดเร็ว เธอได้รับการช่วยเหลือจากคนของแสงดาวสีครามจากการระเบิด ถูกส่งขึ้นยานรบที่หันกลับ ในสภาพสลบไสล ระหว่างทางถูกกองยานของทัพจักรวรรดิไล่ล ล่าช่วงหนึ่ง
ดีที่อัลโฟเล็ตติไม่เป็นอะไร กลับบ้านสำเร็จ
สงครามครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างเสียหาย ไม่มีใครได้เปรียบ คนที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริงก็คือลู่เซิ่ง
เขาประกาศชื่อของตนในสมรภูมิอย่างบ้าคลั่ง ยอดฝีมือที่ถูกฝังเมล็ดทำลายจิตไม่ใช่หนึ่งร้อยคนก็สองร้อยคน
พึงทราบว่าผู้ใช้พลังจิตที่อยู่บนสมรภูมิพวกนี้อย่างแย่สุดคือระดับวีนาเกียร์ ในนี้ไม่ว่าจะเป็นกองทัพจักรวรรดิหรือแสงดาวสีคราม ต่างก็เป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิ
ในนี้ถึงขั้นรวมถึงทูตพลังงานมืดอีกหลายคน
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าจิตใจของพวกเขากำลังขัดขืน การขัดขืนของทูตพลังงานมืดรุนแรงกว่าผู้ใช้พลังจิตทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เมล็ดทำลายจิตในระดับชีวิตไขสมอง สะกดการต่อต้านของทูตพลังงานมืดไว้ราวกับบดขยี้
สิ่งที่น่าเสียดายเพียงหนึ่งเดียวก็คือ สุดท้ายเขาทดลองฝังเมล็ดทำลายจิตใส่ห้วงจิตของผู้บัญชาการใหญ่ดีน
แต่ก็ถูกห้วงจิตของอีกฝ่ายดีดออกมาอย่างรุนแรง
ผู้บัญชาการใหญ่ดีน เบเลียน และซีล ผู้เข้มแข็งระดับนี้ได้ยืนอยู่ในระดับสูงสุดของจักรวรรดิแล้ว
ถ้าหากสยบผู้เข้มแข็งระดับนี้ได้ ต่อจากนี้อาจจะแข็งแกร่งได้อย่างง่ายดาย แต่น่าเสียดาย
หลังจบเรื่องอัลโฟเลตติ จักรวรรดิมอธก็หยุดเคลื่อนไหวชั่วคราว กองกำลังที่อยู่ใกล้ๆ ของแสงดาวสีครามได้รับความเสียหายสาหัสเช่นกัน จำเป็นต้องสงบศึกก่อน
สองฝ่ายเข้าสู่สภาวะชะงักงัน
ลู่เซิ่งเริ่มศึกษาการใช้ประโยชน์พลังจิต ติดตั้งค่ายกลจุติอันใหม่เพื่อออกจากโลกใบนี้
เขาคิดจะสังเกตการณ์อีกสักระยะ ถ้าหากสภาพการณ์มั่นคง ค่อยตั้งโลกนี้เป็นโลกหลัก แล้วดึงบริวารจากที่อื่นๆ เข้ามา
อย่างไรสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือที่นี่มีพลังอาวรณ์เยอะสุดขีด ก่อนที่จะขุดค้นและดูดซับพลังอาวรณ์ที่อยู่ที่นี่จนหมด ลู่เซิ่งยังไม่สนใจเรื่องอื่นๆ
ถ้าไม่ใช่ต้องหาครอบครัวที่เหลือต่อ เขาก็คิดจะลงหลักปักฐานที่นี่ด้วยซ้ำ