ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1097 นิกาย (1)
เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาดังขึ้นตรงประตูห้างสรรพสินค้า
ลู่เซิ่งเดินอยู่ด้านหน้า ถังเอินติดตามอยู่ด้านหลัง ทั้งสองถือไฟฉายกราดไปทั่วบริเวณเป็นระยะ
ร้านค้าหลายร้านรอบๆ โถงชั้นหนึ่งทรุดโทรม สิ่งของและถุงขยะมากมายกระจายเกลื่อนพื้น
บางจุดยังเห็นรอยเลือดเล็กๆ ได้
“ระวังอย่ามองใบหน้าพวกมัน ถ้าไม่ทำให้พวกมันรู้ตัว ตัวประหลาดพวกนี้ก็ไม่มีอันตรายอะไร” ถังเอินย้ำ
“นายปกป้องตัวเองให้ดีก็พอ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก” ลู่เซิ่งตอบ
เขาเดินชิดผนัง ไม่นานก็เข้าไปค้นหาในร้านร้านหนึ่ง แล้วหยิบแว่นกันแดดสองอันออกมาโยนให้ถังเอิน
“ใส่ไว้ซะ”
“ไม่เลวเลย” ถังเอินระบายลมหายใจ “มืดขนาดนี้ยังใส่แว่นกันแดด คงมีแต่เวลาแบบนี้เท่านั้นถึงจะเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น”
“ระวังตัวหน่อย ตรงนี้มีทางแยก พวกเราแยกกันเคลื่อนไหว ถ้าเจอใครให้ใช้สิ่งนี้ติดต่อ” ลู่เซิ่งหยิบวิทยุสองอันออกมาจากในร้านขายอุปกรณ์ดิจิทัล ก่อนโยนให้ถังเอินอันหนึ่ง
“ใส่แบตเตอรี่เอง ตรงนี้มีอยู่กองหนึ่ง” ลู่เซิ่งชี้ชั้นวางของในร้านขายอุปกรณ์ดิจิทัล
“อีกเดี๋ยวมาเจอกันตรงนี้เหรอครับ” ถังเอินถาม
“ไม่ ถ้าไม่เจอให้ไปชั้นสอง แน่นอนว่าถ้านายกลัว จะมารอฉันที่นี่ก็ได้ รักษาการติดต่อไว้ตลอดเวลาก็พอ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา
“คุณกำลังดูถูกผมอยู่หรือไง ถึงผมจะไม่แข็งแกร่งเท่าคุณ แต่ไม่ปอดแหกกับเรื่องแค่นี้หรอก!” ถังเอินหน้าแดงเล็กน้อย
“ดี เริ่มเลย” ลู่เซิ่งสวมแว่นกันแดด ใส่วิทยุไว้ในกระเป๋า แล้วหมุนตัวเดินไปยังส่วนลึกของห้างสรรพสินค้า
ถังเอินระบายลมหายใจพร้อมถือไฟฉายเดินไปยังอีกทาง
“จำไว้ว่าให้เคาะวิทยุเบาๆ ทุกๆ สิบนาที” ในวิทยุมีเสียงของลู่เซิ่งดังมา
“ทราบแล้ว”
“ถ้าไม่ทำ หมายความว่าเกิดเรื่อง พยายามรักษาความเงียบในทันที”
“ครับ!”
ในความมืด ลู่เซิ่งสวมถุงมือกันหนาม จากนั้นก็เดินเล่นอย่างสบายๆ
ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ใหญ่มาก แค่ชั้นแรกก็มีลานศูนย์กลางอยู่สามลานแล้ว ทั้งสามลานเชื่อมต่อกันเป็นโถงชั้นแรกของห้างสรรพสินค้า
ในห้างสรรพสินค้ามีร้านหลากหลาย แต่หลักๆ เน้นที่เสื้อผ้าและร้านขายอุปกรณ์ดิจิทัล บางครั้งจะมีร้านเครื่องดื่มแทรกตัวอยู่
ตุบ
ลู่เซิ่งเตะใส่กระป๋องเครื่องดื่มที่ไม่มีอะไรเหลือ
กระป๋องอลูมิเนียมส่งเสียงกลิ้งเสียดหูในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงัด
กลุกๆๆ
ทันใดนั้นเสียงก็หยุดลง
ลู่เซิ่งมองผ่านแว่นกันแดดไปเห็นว่า กระป๋องชนใส่เท้าร่างร่างหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่งท่ามกลางความมืด
ร่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน หันหน้ามาหาเขา เหมือนกำลังจ้องมองเขาอยู่
แว่นกันแดดทำให้มองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แต่ความรู้สึกประหลาดแบบนี้เป็นความผิดปกติที่น่าพิศวงเหล่านั้นแน่นอน
ลู่เซิ่งและถังเอินแยกไม่ออกว่าพวกมันเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว จึงเรียกว่าความผิดปกติไปก่อน
อย่างไรพวกเขาก็ยังหาคำศัพท์ที่เหมาะสมมาบรรยายตัวตนประหลาดพวกนี้ไม่เจอ
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า มองสองเท้าของอีกฝ่ายเงียบๆ
เขาสัมผัสการเต้นของหัวใจ การหายใจ ชีพจร และเลือดจากตัวอีกฝ่ายไม่ได้เลย
ว่างเปล่าราวกับไม่มีตัวตน
ลู่เซิ่งหยุดเล็กน้อย ก่อนจะขยับเท้าเดินไปยังอีกทางช้าๆ
เขาย่องไปด้านหน้าระยะหนึ่ง พอพบว่าคนคนนั้นไม่เคลื่อนไหว ก็เร่งความเร็วเล็กน้อย พลางเดินไปยังที่ไกลกว่าต่อ
ในตอนนี้เอง ป้ายโฆษณาที่ตั้งอยู่หน้าร้านค้าร้านหนึ่งบังสายตาเขาไว้ชั่วเสี้ยววินาที
เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว หลังจากเดินผ่านป้ายโฆษณาไป ลู่เซิ่งก็ไม่เห็นร่างร่างนั้นแล้ว
เขาถอนใจ กวาดมองรอบๆ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา ผ่านไปสิบนาทีแล้ว เขาเปิดวิทยุแล้วเคาะเบาๆ
อีกฝั่งมีเสียงเคาะตอบกลับมาเช่นกัน
ลู่เซิ่งปิดวิทยุก่อนมองรอบๆ เลือกร้านขายอุปกรณ์ดิจิทัลที่ดูใหม่พร้อมกับเดินไป
เอี๊ยด
ประตูกระจกเหมือนจะขาดการหยอดน้ำมันหล่อลื่น ข้อต่อจึงส่งเสียงเสียดสีเบาๆ
เสียงเบาๆ นี้กลับบาดหูเล็กน้อยในสภาพแวดล้อมที่เงียบเชียบและมืดสนิท
ในร้านไม่มีใครสักคนเดียว ของบนชั้นวางยังวางอยู่ที่เดิมอย่างสงบ ไม่มีใครไปแตะต้อง
ลู่เซิ่งเริ่มค้นหาอย่างคุ้นเคย ไม่นานก็เจอแบตเตอรี่ขนาดต่างๆ เขาหยิบถุงพลาสติกใบหนึ่งมาใส่ทันที
“ใครน่ะ!” จู่ๆ ตรงประตูก็มีเสียงตวาดเร่งร้อนดังมา
เหมือนจะเป็นผู้หญิง
ลู่เซิ่งชะงัก เงยหน้ามองไปยังประตู
เขามองผ่านแว่นกันแดดไป เห็นว่าในมือร่างสูงโปร่งร่างนั้นถืออะไรบางอย่างเอาไว้ กำลังเดินเข้ามาในร้าน
“มีคนหรือ” เขาดีใจ วางของในมือลง
“มนุษย์ใช่มั้ย” เขาถามหยั่งเชิง
“แกเป็นใคร!?” เสียงของผู้หญิงแสดงความระมัดระวัง ไม่ได้ผ่อนคลายเพราะเขาเป็นมนุษย์เหมือนกันแต่อย่างไร
“ฉันผ่านมาที่นี่พอดี เลยเข้ามาดูว่ามีผู้รอดชีวิตไหม” ลู่เซิ่งตอบตามจริง
“เจอแล้วจะทำไม” ผู้หญิงเอ่ยเสียงเย็น “เอาล่ะ ตอนนี้ รีบไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!”
“คุณใจเย็นก่อน ฉันไม่มีเจตนาร้าย ที่นี่ยังมีผู้รอดชีวิตคนอื่นอีกไหม หรือมีแค่คุณคนเดียว”
“ฉันจะไม่ย้ำนะ เดี๋ยวนี้ ทันที! ไสหัวไปซะ!” ผู้หญิงกล่าวเสียงเฉียบขาด
“ใจเย็นก่อนคุณ ฉันไม่มีเจตนาร้าย ฉันแค่บังเอิญผ่านมาที่นี่เท่านั้น…”
“ไปซะ! เข้าใจภาษาคนไหมเนี่ย”
แกร๊ก
เสียงปลดเซฟตี้ปืนดังขึ้น
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่เซิ่งหายไปอย่างช้าๆ
“คุณจำเป็นต้องผ่อนคลายหน่อย”
เปรี้ยง!
เขาพุ่งตัวไปด้านหน้า ใช้ไหล่ดันปากกระบอกปืนไปทางอื่น แล้วฟันศอกขวาใส่คอของผู้หญิง
จากนั้นก็เตะขาขวาใส่อีกฝ่ายจนล้ม
เปรี้ยง!
เขาเหยียบใส่ท้องน้อยของผู้หญิง
“โอ๊ย!”
ผู้หญิงไม่ทันรับมือการเคลื่อนไหวที่มาเป็นชุด ตอบสนองไม่ทัน ถูกกระทืบจนส่งเสียงร้องโหยหวน
“งานวิจัยบอกไว้ว่า อาการผ่อนคลายหลังความเจ็บปวดส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ” ลู่เซิ่งยกเท้า แล้วจิกผมผู้หญิงขึ้น
แม้เขาจะไม่ได้เพิ่มแรง แต่การเลื่อนระดับเล็กๆ ก็ทำให้แรงของร่างกายร่างนี้เพิ่มขึ้นไม่น้อย
“ตอนนี้ ผ่อนคลายได้รึยังล่ะ” ลู่เซิ่งหันหน้าผู้หญิงเข้าหาตัวเองพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผู้หญิงสูดหายใจอย่างยากลำบาก มือกุมท้อง เหงื่อผุดพราวออกมาจากใบหน้าและหน้าผาก
“แก…ไอ้เวรตะไล…!”
ปืนของเธอหล่นลงพื้นระหว่างการโจมตีเมื่อครู่ เวลานี้ไม่สามารถทำอะไรร่างที่สูงใหญ่ของลู่เซิ่งได้
เปรี้ยง!
ผู้หญิงไม่รู้ว่าล้วงเอามีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากไหน ก่อนแทงใส่ลำคอของลู่เซิ่ง
ยังไม่รอให้เธอแทงมีดโดน ข้อมือก็ถูกแรงหักดังกร๊อบ
“ฉันจะฆ่าแก!” เธอกัดใส่ลู่เซิ่งเหมือนคลั่งไปแล้ว
ตูม!
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ลู่เซิ่งต่อยหมัดใส่ท้องน้อยเธออย่างแรงอีกครั้ง
“ไหน เด็กดี ตอนนี้บอกฉันมาว่า เธอชื่ออะไร แถวนี้มีคนอื่นๆ ไหม” ลู่เซิ่งถามด้วยรอยยิ้ม
ผู้หญิงเจ็บจนงอตัว หลังโค้งทำท่าจะอาเจียน แต่นอกจากน้ำย่อยและน้ำลายแล้ว ก็ไม่มีอะไรออกมาอีก
“แก…ฝันไปเถอะ!” ผู้หญิงเค้นคำพูดอย่างยากลำบาก
ขณะลู่เซิ่งกำลังจะเอ่ยปาก ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากด้านหลัง เขาฉากหลบไปทางซ้ายทันที
ปัง!
เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้น กระสุนทะลุตำแหน่งที่เขายืนอยู่เมื่อกี้ ยิงใส่ผนังร้านด้านหน้า เจาะเครื่องเสียงอันหนึ่งเป็นรอยแตกใหญ่
ปัง!
มีเสียงปืนดังมาอีกนัด ลู่เซิ่งรู้สึกเจ็บข้อมือ จึงรีบปล่อยมือผู้หญิงแล้วถอยไปด้านหลัง หลบกระสุนที่ถูกยิงใส่ข้อมือเขา
ผู้หญิงล้มโครมลงกับพื้น จากนั้นก็พลิกตัวลุกขึ้น วิ่งโซเซไปทางที่ปืนดังมา
ปังๆๆๆ!
กระสุนยิงร้านที่อยู่ด้านหน้าลู่เซิ่งจนเละ
กระจกบนชั้นวางของแตกดังเพล้งๆ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลด้านในถูกห่ากระสุนยิงใส่จนปลิวว่อน
ผ่านไปหนึ่งนาทีกว่าๆ เสียงปืนค่อยหยุดลง
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่เดิม ร่างกายไม่บุบสลาย หลังกวาดตามองรอบๆ เขาก็ยิ้มเล็กน้อย แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกจากร้าน ไล่ตามไปยังทิศทางหนึ่งกลางความมืด
…
ลั่วเฟยวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดที่ท้องน้อยยังคงม้วนปกคลุมร่าง แต่เธอไม่กล้าหยุด
เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่น้องสาวยิงช่วยเหลือ เกรงว่าวันนี้เธอได้ตายที่นั่นแน่
สองพี่น้องเร่งความเร็ววิ่งหนีโดยไม่ส่งเสียง พื้นรองเท้าของพวกเธอเสริมที่เก็บเสียง มัดด้วยวัสดุชนิดพิเศษ ทำให้ไม่เกิดเสียงใดๆ ตอนวิ่ง
แม้จะอยู่ห่างจากผู้ชายคนเมื่อครู่แล้ว หัวใจของลั่วเฟยก็ยังเต้นโครมคราม ในสมองเหลือเงามืดของความเจ็บปวด
ทั้งสองวิ่งถึงเส้นทางฉุกเฉินที่เชื่อมไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
สองพี่น้องพิงผนังหอบหายใจ
“พี่ ไม่เป็นไรใช่ไหม” น้องสาวลั่วหลันอดถามไม่ได้
“ยังไหว…” ลั่วเฟยนั่งยองๆ ลง เธอรู้สึกเจ็บท้องเหลือเกิน เลือดหลายสายซึมออกมาตามกระโปรงยาวของเธอช้าๆ ได้กลิ่นคาวเลือดจากในอากาศ
“ฉัน…ประจำเดือนมา!” ลั่วเฟยกล่าวขณะเหงื่อแตกเต็มศีรษะ
“บ้าจริง! เวลาของพี่ยังไม่ถึง ต้องเป็นเพราะไอ้หมอนั่นแน่” ลั่วหลันเอ่ยเสียงเร่งร้อน
“กลับไปเอายาก่อน” ลั่วเฟยฝืนลุกขึ้น ทันใดนั้นสายตาเธอก็เห็นว่ามีร่างร่างหนึ่งตรงทางเข้าออกกำลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อย่างเงียบเชียบ
“ไป!” เธอลากน้องสาววิ่งอีกครั้งด้วยอารามเร่งร้อน
“พวกเธอจะหนีทำไม” ทันใดนั้นก็มีร่างร่างหนึ่งพุ่งมาถึงด้านข้างหญิงสาวทั้งสอง ยืนขวางทางเอาไว้อย่างแน่นหนา
เป็นลู่เซิ่ง!
เขาหมุนตัวคว้าปืนพกที่ลั่วหลันเพิ่งล้วงออกมาไว้ดุจสายฟ้าแลบ แล้วเตะขาขวาออกไป
เปรี้ยงๆ!
ทั้งสองคนถูกเขาเตะใส่พร้อมกัน กระเด็นไปตกลงบนพื้น
“เกมจบแล้ว”
ลู่เซิ่งหมุนปืนพกกลางฝ่ามือแล้วใส่มันไว้ในกระเป๋าเสื้อ
ผู้หญิงสองคนบนพื้นพลันไอจนปอดแทบหลุดออกมา ก่อนจะคลานลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล
“แก…เป็นใครกันแน่! คิดจะทำอะไร?!” ลั่วเฟยกุมหน้าอกพลางเอ่ยเสียงดัง
“ฉันก็แค่มาถามทางเท่านั้น” ลู่เซิ่งยิ้ม “เธอตื่นตูมกันไปเอง ไม่เกี่ยวกับฉัน”
“เมื่อกี้แกคิดจะฆ่าฉันใช่ไหม?!” ลั่วเฟยเช็ดเลือดตรงมุมปาก “บ้าไปแล้วเหรอไง”
“น้องสาวเธอกราดปืนใส่ฉัน” ลู่เซิ่งโต้ “ฉันก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้น”
เขาเปิดไฟฉาย ลำแสงสาดใส่ร่างสองคนตรงหน้า สว่างจนตาพร่า
“หาที่พักผ่อนก่อนเถอะ”