ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1098 นิกาย (2)
สิบนาทีต่อมา
ลู่เซิ่งและสองพี่น้องลั่วเฟยแยกกันนั่งลงในร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปร้านหนึ่ง
“เล่ามา” ลู่เซิ่งอาศัยแสงจากไฟฉายพิจารณาสองคนด้านหน้า
ในการต่อสู้เมื่อครู่ กระสุนปืนได้ทำลายเสื้อผ้าของเขาไปแล้ว ตอนนี้จึงถือโอกาสเปลี่ยนเป็นเสื้อโคต คอปกสีกรมท่าตั้งขึ้นเล็กน้อย ผมหวีไปไว้ด้านหลังอย่างเป็นระเบียบ เผยให้เห ห็นใบหน้าสะอาดเย็นชา
เขานั่งหันข้างอยู่บนเก้าอี้ ไขว้ขาขวาขึ้น พิงหลังกับเก้าอี้ ร่างดูสูงชะลูด
“พวกเธออยู่นี่มานานขนาดไหนแล้ว รอบๆ ยังมีคนอื่นๆ อีกไหม”
สองพี่น้องลั่วเฟยและลั่วหลันที่อยู่ใต้แสงไฟไม่นับว่าสวยมากนัก เพียงแค่ร่างกายสะโอดสะอง สองขาเบียดชิดที่อยู่ในกางเกงยีนส์ขาแคบตึงแน่นมีพลัง เซ็กซี่เล็กน้อย
พอได้ยินคำถามของเขา ลั่วหลันก็เหลือบมองพี่สาวด้วยสีหน้าเย็นชา
สุดท้ายลั่วหลันก็ตอบตามตรงขณะเอามือกุมท้อง
“ฉันชื่อลั่วหลัน เธอคือน้องสาวฉันลั่วเฟย พวกเราอยู่ที่นี่มาสี่ปีกว่าๆ แล้ว แถวนี้ยังมีกลุ่มอีกกลุ่ม อยู่ในห้างแห่งนี้ พวกเราจะเจอพวกเขาเป็นบางครั้ง”
“มีคนกี่คน”
“ไม่แน่ใจ อย่างน้อยก็มากกว่าสิบคน แต่พวกเขาไม่มีปืน ปกติไม่กล้ามาหาเรื่องเรา” ลั่วเฟยตอบเสียงใจเย็น
ผู้ชายตรงหน้าแข็งแกร่งอย่างกับมารร้าย
พละกำลัง ความเร็ว รวมถึงความแม่นยำและความใจเย็นตอนหลบกระสุนปืน ต่างก็แสดงให้เห็นถึงความเย็นชาตามธรรมชาติและความเหี้ยมโหดที่กระทำจนเป็นปกติวิสัย
ต่อให้เป็นเกาป๋อ ก็ไม่มีทางทำให้เธอรู้สึกอย่างนี้แน่!
ลู่เซิ่งถามคำถามอีกหลายคำถามอย่างกว้างๆ จู่ๆ ก็ฉุกใจได้
“ปกติพวกเธอใช้อะไรดำรงชีวิตอยู่ที่นี่”
“อาหารหมดอายุในห้างสรรสินค้ามีอยู่เยอะแยะ ขอแค่ห่อไว้อย่างดีไม่โดนอากาศ ก็เอามากินได้หมด” ครั้งนี้ลั่วหลันเป็นคนตอบ
“ยังเหลืออีกเท่าไหร่ มีคนกินเยอะขนาดนี้ น่าจะใกล้หมดแล้วมั้ง” ลู่เซิ่งถามอีก
“เหลือไม่เยอะแล้ว ดังนั้นช่วงนี้พวกเราเลยพยายามหาจากภายนอก” ลั่วเฟยตอบอย่างใจเย็น
ลู่เซิ่งเคาะนิ้วกับที่พักแขนเบาๆ ส่งเสียงมีจังหวะ
ผ่านไปสักพักเขาก็หยิบวิทยุมา
“ถังเอิน อยู่ไหม”
อีกฝั่งมีเสียงดังซ่าๆ
“ครับ เกิดอะไรขึ้นครับ ผมเพิ่งค้นชั้นสามเสร็จ ไม่เจออะไรเลย” เสียงของถังเอินดังมาจากวิทยุ
“นายอยู่ไหน”
“ร้านขายน้ำชื่อไอซ์โรแมนซ์ ผมเจอไอศกรีมแช่เย็นที่ยังสภาพดี เอาสักหน่อยไหมครับ” ในวิทยุมีเสียงกินดังมา
“อีกเดี๋ยวเจอกัน” ลู่เซิ่งปิดวิทยุ
“ชั้นสองมีศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยชื่อวอลล์ เขาเป็นหัวหน้าชั่วคราวของคนกลุ่มนั้น และช่วยคนอื่นๆ ไม่ให้ถูกลัทธินอกรีตที่อยู่รอบๆ ล่อลวง ยึดครองสถานที่ส่วนหนึ่งของที่นี่ไว้” ” ลั่วเฟยส่งเสียงอธิบาย
“แต่ว่า…ผู้ชายคนนั้น เป็นคนโรคจิต” ใบหน้าของเธอฉายแววรังเกียจตอนพูดถึงคนคนนั้น
“ศาสตราจารย์หรือ” ลู่เซิ่งรู้สึกสนใจ ปกติคนระดับศาสตราจารย์จะมีแหล่งข้อมูลหรือไม่ก็คลังความรู้เยอะกว่าคนทั่วไป
“บางทีเขาอาจจะรู้ข้อมูลของภัยพิบัติก็ได้” เขาลุกขึ้น
“ถ้าคุณอยากรู้ต้นตอของภัยพิบัติล่ะก็ ฉันก็รู้อยู่บ้างเหมือนกัน” ลั่วเฟยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงทุ้ม
“อ้อ?” ลู่เซิ่งประหลาดใจ หันไปมองอีกฝ่าย
“แม่ฉันทำงานในบริษัทผลิตยาชีวภาพขนาดใหญ่สุดของโลก บริษัทไอแฮร์ ภัยพิบัติครั้งแรกสุดเริ่มจากห้องทดลองลับแห่งหนึ่งของบริษัทไอแฮร์” ลั่วเฟยหน้าซีดเล็กน้อย “แต่ก่อนหน้านี้ ขอฉันรักษาท้องก่อนได้ไหม”
เธอชี้ข้างใต้ตัวเอง
ลู่เซิ่งมองตามนิ้วอีกฝ่าย พลันเห็นว่ากางเกงยีนส์ของเธอเต็มไปด้วยเลือด
เลือดเกือบจะย้อมกางเกงเป็นสีแดงฉาน
“ได้อยู่แล้ว” เขาหันไปมองลั่วหลันที่อยู่ด้านข้าง “แต่ต้องมีคนหนึ่งอยู่กับฉัน”
“ตกลง” ลั่วหลันตอบอย่างใจเย็น
สิบนาทีต่อมา ลั่วเฟยก็เปลี่ยนกางเกงแบบเดียวกันในร้าน ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดเพราะเสียเลือดมากไป
จากนั้นลู่เซิ่งก็พาทั้งสองไปยังชั้นสอง
ลั่วเฟยตอบคำถามหลายข้อของเขาขณะพยายามประคองสติ
“…6 ปีก่อน แม่ของฉันได้รับข่าว เลยไปจัดการฆ่าเชื้อซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายในห้องทดลองที่รั่วไหล แต่ความจริงตอนนั้นเชื้อโรคได้รั่วไหลออกมาแล้ว”
ลั่วเฟยเล่าเสียงทุ้ม
“ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ฉันไม่แน่ใจเท่าไหร่ ฉันได้ยินแม่บอกว่า นั่นคือเชื้อโรคโบราณที่ถูกตั้งชื่อว่า ‘ภูตผี’ ถูกเก็บมาจากหน้ากระดาษในคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่ง”
“เชื้อโรคภูตผีหรือ” ลู่เซิ่งเหมือนนึกอะไรออก
“ใช่ มันแพร่เชื้อทางของเหลวในร่างกาย แต่ก็อาจจะยังมีวิธีการอื่นๆ เหมือนกัน แค่ของเหลวในร่างกายฉันไม่คิดว่าจะแพร่เชื้อได้เร็วแบบนี้”
ลั่วเฟยว่าต่อ “ว่ากันว่าบริษัทใหญ่เก็บวัคซีนฆ่าเชื้อเอาไว้ คนไม่น้อยจึงจัดกลุ่มมุ่งหน้าไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัทไอแฮร์”
“มีวัคซีนด้วยเหรอ” ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ “ถ้ามีวัคซีนจริงๆ ไม่มีทางเกิดการแพร่เชื้อเร็วขนาดนี้เด็ดขาด ต่อให้มี ราคาจะต้องสูงมาก ได้แต่ฉีดให้คนไม่กี่คนเท่านั้น ถ้าเป็นแบบ บนั้นก็ไม่มีความหมายแม้แต่น้อย”
“ฉันรู้แค่นี้แหละ เรื่องอื่นไม่รู้แล้ว” ลั่วเฟยเอ่ยเสียงเย็น “ตอนนี้ปล่อยพวกเราไปได้หรือยัง”
“ใจเย็น ในเมื่อเธอรู้ต้นตอของภัยพิบัติใหญ่ อย่างนั้นก็น่าจะช่วยฉันหาสาขาของบริษัทไอแฮร์ที่อยู่แถวนี้ได้ใช่ไหม บางทีฉันอาจเข้าไปหาเอกสารกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้” ลู่เซิ่งพลันสนใจ
เป้าหมายที่เขามายังโลกใบนี้ คือการตามหาที่อยู่ของครอบครัว แต่โลกใบนี้แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ถ้าครอบครัวอยู่ที่นี่ ความเป็นไปได้ที่จะติดเชื้อก็มีสูงมาก
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาวัคซีนมาให้ได้
“คุณจะไปไอแฮร์เหรอ” ลั่วเฟยสีหน้าเปลี่ยนแปลง “ฉันบอกทางคุณได้ แต่พวกเราไม่อยากจะไปตายฟรี! อย่าว่าแต่สำนักงานใหญ่เลย ต่อให้เป็นสาขาในมณฑลนี้ เมื่อห้าปีก่อนก็มีคนไปไม่ต่ ำกว่ายี่สิบกลุ่ม แต่ตอนนี้ไม่มีใครรอดกลับมาสักคน”
“มาพูดเรื่องพวกนี้กันตอนนี้ยังเร็วไป ไปรวมตัวกับเพื่อนฉันก่อน” ลู่เซิ่งเดินนำอยู่ด้านหน้า
ทั้งสองเดินขึ้นบันไดเลื่อนที่หยุดนิ่ง อ้อมชั้นสองของห้างสรรพสินค้าครึ่งรอบ ไม่นานก็เจอถังเอินที่กินไอศกรีมอย่างตะกละอยู่ในร้านขายเครื่องดื่ม
บนโต๊ะของเด็กหนุ่มคนนี้วางถ้วยเปล่าใส่ไอศกรีมไว้สามใบ
“ในที่สุดคุณก็มาแล้ว!” ถังเอินเห็นลู่เซิ่งมาก็ลุกขึ้น แต่พอเห็นสองพี่น้องลั่วเฟยลั่วหลันที่อยู่ด้านหลังเขา ตาก็วาวโรจน์
“ร้ายกาจ คุณทำสำเร็จทุกเรื่องเลย!” เขาเข้าใกล้อย่างระวังตัว พิจารณาสองพี่น้องอย่างละเอียด
“ผู้หญิงสองคนนี้…” ไม่ได้เจอผู้หญิงมาหกปี เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังร้อนระอุ เหมือนเนื้อตัวกำลังลุกไหม้
ผู้หญิงสองคนตรงหน้าเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริงซึ่งแตกต่างจากเด็กสาวก่อนหน้า ทั้งยังเป็นแบบที่เขาชอบพอดี
“ปัญญาอ่อน” ลั่วหลันจงใจหันไปทางอื่น
ลั่วเฟยยืนขวางอยู่หน้าน้องสาวตัวเองด้วยสีหน้าเฉยเมย เธอเคยเห็นสายตาแบบนั้นของอีกฝ่ายมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เหมือนกับพวกปีศาจโรคจิตพวกนั้นนั่นแหละ
“ไม่เจอคนเหรอ” ลู่เซิ่งตบหัวเขา ทำให้เขาได้สติ
ถังเอินข่มอารมณ์ ละสายตากลับมาพยักหน้า
“เจอผู้ชายคนเดียวครับ ดูกลัวๆ พอผมเรียกเขาก็หนีทันที ไม่ตอบอะไรสักอย่าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังมาจากฝั่งคุณ คุณเป็นอะไรไหม ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งโยนปืนของสองพี่น้องลั่วเฟยให้เขา “ถือไว้ ใช้เป็นไหม”
“ใช้เป็นครับ เคยฝึกตอนเรียนทหาร” ถังเอินเลียรีมฝีปาก กระตือรือร้นทันที
“ที่ที่นายเจอคนอยู่ตรงไหน” ลู่เซิ่งจำเป็นต้องหาคนมากกว่านี้ อาศัยแค่เขาคนเดียวคิดจะหาครอบครัวให้เจอในโลกที่ใหญ่โตแบบนี้ ไม่ต่างจากคนปัญญาอ่อนพูดเรื่องเพ้อฝัน
แต่ถ้าเพิ่มผู้ช่วยให้เยอะๆ ก็จะลดความยากได้อย่างมหาศาล
นี่เป็นสาเหตุที่เขาจำเป็นต้องหากลุ่มคนจำนวนมาก
“ตามผมมาเลย”
ถังเอินถือปืนด้วยสองมือพาพวกลู่เซิ่งเดินไปยังทิศทางตรงข้าม
ผ่านไปสักพัก พวกเขาก็เจอร้านใหญ่ที่ขายเครื่องใช้ในบ้าน
“อยู่ด้านในครับ ประตูของโกดังตรงนั้นถูกปิดตายไว้ ผมก็เลยเดาว่าเขาน่าจะซ่อนตัวในโกดัง”
“นี่เป็นหนึ่งในฐานของวอลล์ พวกเขาคนเยอะ ฉันไม่แนะนำให้พวกคุณเข้าไปตรงๆ” ลั่วเฟยส่งเสียง
ลู่เซิ่งไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ เพียงยิ้มๆ “นำทางเลย” เขาพูดกับถังเอิน
ก่อนหน้านี้ถังเอินเคยเห็นฝีมือของลู่เซิ่งมาก่อน จึงค่อนข้างเชื่อใจ พยักหน้าแล้วเดินนำทันที
ทั้งสี่ไม่พูดอะไรอีก ติดตามถังเอินมาถึงหน้าประตูโกดังอย่างรวดเร็ว
บนประตูติดตั้งกุญแจเข้ารหัส เพียงแต่แป้นพิมพ์สำหรับเปิดกุญแจถูกอะไรสักอย่างทำลายทิ้งไปแล้ว
“ตรงนี้มีประตูเล็กอีกบาน” ถังเอินเจอประตูเหล็กเล็กๆ ที่พอให้คนคนเดียวมุดเข้าไปอยู่ใกล้ๆ
ประตูไม่สูง ขนาดอยู่ที่หนึ่งเมตรกว่าๆ หากคิดจะเข้าไป จำเป็นต้องก้ม
ถังเอินก้มหน้ากำลังจะมุดเข้าไป แต่ถูกลู่เซิ่งดึงไว้ทันที
“ถ้ามีคนจงใจเล่นงานนายตอนนายเข้าไป นายจะไม่มีที่ให้หลบ” ลู่เซิ่งอธิบาย
“หมายความว่า ที่นี่เป็นช่องที่มันจงใจทิ้งไว้” ถังเอินกระจ่างแจ้ง แสดงสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย
“ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่วอลล์มันเป็นโรคจิต คนที่ติดตามมันก็โรคจิตพอกัน พวกมันชอบรูหมาที่เตี้ยๆ แบบนี้” ลั่วหลันเอ่ยเสียงเย็น
“เธอเน้นตลอดว่ามันโรคจิต ตกลงโรคจิตขนาดไหนจนทำให้เธอพูดบ่อยขนาดนี้กัน” ถังเอินถามอย่างสงสัย
“เดี๋ยวนายเข้าไปเห็นก็จะรู้เองแหละ” ลั่วหลันไม่อยากพูดอีก
“ถอยไปให้หมด”
ลู่เซิ่งถือปืนเดินไปถึงหน้าประตูเหล็กของโกดัง
ประตูเหล็กบานนี้หุ้มด้วยไม้ เขาเคาะประตูดู จากนั้นเล็งไปที่แม่กุญแจ
ปังๆๆ!
สะเก็ดไฟปลิวว่อน ควันฉุนจมูกกระจายออกมา แม่กุญแจตรงประตูเหล็กถูกยิงจนแหลก
ประตูพลันขยับ ก่อนจะถูกลู่เซิ่งถีบใส่ทีหนึ่งจนสั่นเล็กน้อย
เขาถีบอีกหลายที
เปรี้ยงๆ!
ประตูเหล็กเปิดออก เผยให้เห็นฉากในโกดัง
ในโกดังที่กว้างขวาง
ชายวัยกลางคนที่ดูผมเผ้ารุงรัง ใส่เสื้อทักซิโด้สีเหลือง กำลังหมอบอยู่ระหว่างชายหญิงหลายคนด้วยสีหน้าคลุ้มคลั่ง ปากกำลังดูดอะไรจากตัวพวกเขาอยู่
พอลู่เซิ่งส่องไฟฉายไป จึงค่อยเห็นชัดว่า ชายหญิงเหล่านี้นอนอยู่บนพื้น บางก็หายใจรวยริน บ้างก็ยังมีแรง
แต่พวกนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
สิ่งสำคัญก็คือ บนใบหน้าและบนคอของพวกเขามีตุ่มหนองขนาดเท่าถั่วเหลืองขึ้นเต็มไปหมด
ตุ่มหนองที่เหมือนกับองุ่นยึดครองผิวของคนพวกนี้เกือบทั้งหมด
ส่วนชายวัยกลางคนคนนั้นกำลังใช้ปากกัดและดูดตุ่มหนองบนตัวคนพวกนี้ด้วยสีหน้าจริงจังและหิวกระหาย
ตุ่มหนองมากมายที่ถูกกัดแตกมีของเหลวเหนียวๆ สีเหลืองเข้มไหลออกมา จากนั้นก็ถูกชายวัยกลางคนดูดกินอย่างละโมบ
เขามีสมาธิอย่างมาก ไม่สนใจการมาถึงของพวกลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหลังเลย
ถึงขั้นไม่สนใจเสียงปืนที่บาดหูเมื่อครู่ด้วยซ้ำ
“โอ๊ก!”
ถังเอินมองไม่นานก็หันหน้าหนีพร้อมกับทำท่าพะอืดพะอม