ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 110 ลอกคราบ (2)
บทที่ 110 ลอกคราบ (2)
“เรื่องนี้เป็นการกระทำของผู้ใด…ผู้ใดมีขีดความสามารถถึงขนาดทำลายสำนักแปรผันที่มีพลังแข็งแกร่งได้ในครั้งเดียว” หลีซันเอ่ยเสียงทุ้มพลางขมวดคิ้ว
เรื่องนี้มีความลึกลับ
“ช่างเถอะ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เราพี่น้องร่วมมือกัน บวกกับสามมหาวัชระ ต่อให้เกิดเรื่อง ใต้หล้าก็ยังมีที่ให้ไป อย่างมากพวกเราหนีออกจากเมืองเลียบคีรีไปที่จงหยวน” จางหยวนตงกล่าวพลางโบกมือ
“พี่ตงกล่าวถูกต้อง” หลี่ซันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ พวกเจ้า นำสุรา! วันนี้พวกเราสองพี่น้องมาดื่มให้สาแก่ใจสักหลายจอก!” จางหยวนตงสั่งเสียงดัง
ที่น่าประหลาดคือ ด้านนอกสวนกลับเงียบงันไร้เสียง ไม่มีคนตอบ
“คนเล่า!?” จางหยวนตงตะโกนอีกรอบ “คนคุ้มกันไปตายที่ไหน!?” เขาย่นคิ้ว
ด้านนอกยังคงเงียบเชียบ
สีหน้าของจางหยวนตงกับหลีซันค่อยๆ เคร่งเครียด
“ข้าวางมือดีสำหรับลาดตระเวนสามคนไว้ด้านนอก ไม่มีทางไม่ได้ยินเสียงแม้แต่น้อย” จางหยวนตงเอ่ยเสียงทุ้ม
“ข้าไปดูเองพี่ใหญ่” หลีซันพลิกมือดึงขวานใหญ่ออกจากหลัง ค่อยๆ เดินเข้าใกล้ประตูลานอย่างระมัดระวัง
เวลากลางคืน โคมไฟสีเหลืองที่แขวนตรงประตูสวนดอกไม้โยกตามลม ชนใส่กำแพงเกิดเสียงตุบๆ ตลอดเวลา
หลีซันเดินออกจากประตูสวนดอกไม้ มองซ้ายมองขวา ด้านนอกกเย็นเยียบ ทางเดินสองฟากว่างเปล่า ไม่เห็นคน
“เจ้าพวกลูกกระต่ายไปไหนแล้ว!?” เขาเบาเสียง ด่าคำหนึ่ง
หันกลับไปมองพี่ใหญ่
“เอ๋?” จางหยวนตงที่เมื่อครู่อยู่ในสวนดอกไม้พริบตาเดียวก็ไม่เห็นตัวแล้ว
หลีซันใจเต้น ทราบว่าเจอปัญหาแล้ว
“พี่ใหญ่!” เขาเรียก
“พี่ตง!?”
ไม่มีคนตอบ
กลับมายังตำแหน่งที่เมื่อครู่ทั้งสองคนยืนอยู่อีกรอบ เขาค่อยๆ ก้มหน้าหารอยเท้าของจางหยวนตงบนพื้น
ดินทรายบนพื้นมีรอยเท้าที่คุ้นเคยชัดเจนอยู่คู่หนึ่ง เป็นของจางหยวนตง
หลีซันฮึกเหิม มองรอยเท้าพร้อมหมุนตัวเดินไปด้านหลัง รีบติดตามรอยเท้าไปทีละก้าวๆ
รอยเท้าแต่ละคู่ยื่นไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง หลีซันติดตามทีละก้าวๆ กำขวานศึก หายใจเบาๆ เสียงฝีเท้าก็กดลงให้เบาที่สุด
เดินไปเรื่อยๆ สายตาเขาพลันชะงัก
ในสายตาของเขาพลันมีเท้าคู่หนึ่งโผล่ออดมาอย่างกะทันหัน เป็นเท้าสตรีที่งดงาม เรียวเล็ก สวมรองเท้าผ้าสีแดง
เมื่ออีกฝ่ายเผชิญหน้าเขา สองเท้าหุบเข้าหากัน คล้ายกำลังยืนมองเขาอยู่ด้านหน้า
“นี่…” หลีซันหน้าผากมีเหงื่อซึม เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า
ฟู่ว!
มีเงาสีแดงพุ่งวาบ ด้านในสวนดอกไม้ว่างเปล่าอีกครั้ง เงาของหลีซันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
แฮ่ก…!
แฮ่ก…!
แฮ่ก…!
ในตัวลาน ลู่เซิ่งเปลือยร่างท่อนบน เหงื่อบนร่างไหลลงเหมือนกับด้ายขาด หายใจเหมือนที่เป่าลม เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ทำให้ลานทั้งลานเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ขนาดร่างกายของเขาเทียบกับก่อนหน้า ขยายใหญ่และล่ำสันกว่าเดิม ยืนอยู่กับที่เหมือนกับภูเขาลูกย่อมๆ แค่ไอร้อนที่กระจายจากผิวก็ทำให้คนรู้สึกเหมือนยืนข้างเตาไฟแล้ว
วิชาโอสถกลองพลบค่ำเป็นระดับเบื้องต้นแล้ว ลู่เซิ่งใช้น้ำแกงโอสถปริมาณมาก รวมถึงขี้ผึ้งสุคนธ์ทองส่งเสริม บวกกับร่างกายมีพื้นฐานมั่นคง ในที่สุดก็ทำให้วิชาแข็งกร้าวชนิดพิเศษที่มีพลังสะท้อนกลับวิชานี้ถึงระดับเบื้องต้นโดยสมบูรณ์เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนหน้า
เขาในตอนนี้สูงสองหมี่กว่าๆ กล้ามเนื้อสะสมบนร่าง แค่แขนก็แทบใหญ่เท่าเอวคนอื่น กล้ามเนื้อบนไหล่และแขนสองข้างขยับยุกยิกเหมือนหนู ทั้งคล้ายตุ่มสิว ลวดลายสีเทากระจายอยู่เต็ม
ลู่เซิ่งนั่งลงกลางลาน ทั่วร่างคล้ายแผ่ความเหี้ยมโหด ลมปากที่เขาพ่นออกมาก็ร้อนลวก เหมือนกับภูเขาเนื้อลูกหนึ่ง
‘วิชาโอสถกลองพลบค่ำ…ระดับเบื้องต้นแล้ว…ต่อจากนี้สมควรเปลี่ยนแปลงยกระดับ’ ลู่เซิ่งพักผ่อนครู่หนึ่ง ปรับลมหายใจให้ช้า แล้วลุกขึ้นยืน
สาเหตุที่เขาเหนื่อยขนาดนี้ เป็นเพราะวิธีตีค้อนขั้นแรกในวิชาโอสถกลองพลบค่ำ ใช้พละกำลังของตัวเองฟาดใส่กล้ามเนื้อทุกส่วนบนร่างตามความถี่ที่กำหนดไว้ ค่อยๆ กลายเป็นการสั่นสะเทือน เพื่อให้บรรลุผลต่อกล้ามเนื้อและอวัยวะภายใน
เป็นเพราะใช้พละกำลังใช้ค้อนตีใส่ตัวเองสุดกำลัง ดังนั้นต่อให้เป็นลู่เซิ่งก็เหนื่อยแทบตาย
‘แต่อย่างไรก็เป็นระดับเบื้องต้นแล้ว’ เขาสัมผัสความรู้สึกคันที่ค่อยๆ ไหลอยู่ในร่าง ใบหน้าแสดงความผ่อนคลาย
‘วิชาแข็งกร้าวที่ทับซ้อนกันยิ่งมาก ขนาดร่างกายของเราเหมือนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ…แต่…สัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่ขีดจำกัด
อาทิตย์จันทราผลัดเปลี่ยน ร่างกายแบบนี้ไม่ใช่สภาพที่สมบูรณ์งดงามที่สุด ภายหลังจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวคิด’ ลู่เซิ่งฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวมากมาย ตั้งแต่หัตถ์หมีขย้ำในตอนแรก ถึงวิชาโซ่เก้าสินธุ จากนั้นเป็นวิชาด้ายทอง แล้วมาถึงวิชาโอสถกลองพลบค่ำในตอนนี้ นี่เป็นวิชาแข็งกร้าววิชาที่สี่ สามวิชาก่อนหน้าถึงระดับสำเร็จแล้ว
นี่เป็นความสำเร็จอันน่ากลัวที่ไม่ว่าจอมยุทธ์คนใดก็ยากจะจินตนาการ พึงทราบว่าวิชาแข้งกร้าวจำเป็นต้องใช้ค้อนตีกายเนื้อเป็นเวลานาน จึงค่อยเลื่อนระดับและมีความสำเร็จ
ดั่งเช่นวิชาหัตถ์หมีขย้ำ ถึงแม้เป็นวิชาแข็งกร้าวระดับพลังปลอดโปร่ง แต่ประสิทธิผลต่ำยิ่ง อยู่ในระดับเดียวกับดาบถลาลม ทว่าวิชาแข็งกร้าวแบบนี้อย่างน้อยต้องใช้การฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลายี่สิบปี จึงอาจจะสำเร็จ
ส่วนวิชาโซ่เก้าสินธุยิ่งจำเป็นต้องใช้การฝึกฝนอย่างหนักสามสิบปี จึงจะสำเร็จได้ รอฝึกถึงขอบเขตสูงสุด คงแก่ชราแล้ว
ส่วนวิชาด้ายทองยังดีกว่าเล็กน้อย แต่ต้องใช้ความลำบากเป็นเวลายี่สิบกว่าปี
วิชาแข็งกร้าวชนิดนี้เป็นเส้นทางที่มีแต่คนที่มีน้ำอดน้ำทนจึงเลือกฝึก แต่ลู่เซิ่งสะสมวิชาแข็งกร้าวหลายวิชาไว้บนร่างอย่างง่ายดาย นี่เป็นเรื่องที่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน
ไม่มีคนรู้ว่าแบบนี้จะเกิดผลอย่างไร
‘เริ่มกันเถอะ… ดีปบลู’ ลู่เซิ่งไม่เสียเวลา กลับถึงห้องสงบใจ เรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา
กรอบสีน้ำเงินอ่อนลอยขึ้น ด้านล่างสุดปรากฏกรอบใหม่ของวิชาโอสถกลองพลบค่ำ
[วิชาโอสถกลองพลบค่ำ: ระดับเบื้องต้น ผลพิเศษ: สะท้อนกลับเบา เพิ่มพละกำลังระดับหนึ่ง]
[เพิ่มระดับวิชาโอสถกลองพลบค่ำถึงระดับหนึ่ง] ลู่เซิ่งคิด
วิชาแข็งกร้าวมีสามขอบเขต ตามบันทึก หลังสำเร็จแล้วจะสะท้อนกลับพลังฝ่ามือ พลังหมัด อาวุธไร้คมส่วนใหญ่ในขอบเขตพลังปลอดโปร่งได้ สามารถดีดพลังห้าส่วนของอีกฝ่ายกลับไปได้ ที่กลัวเพียงอย่างเดียวคืออาวุธคมศัสตราเทพที่แหลมคมเป็นพิเศษใช้จุดทำลายพื้นที่
ไม่ทันไรลู่เซิ่งก็รู้สึกได้ว่าปราณภายในของวิชาหยินหยางกระเรียนหยกลดลงด้วยความเร็วสูง ส่วนร่างกายเขาก็ค่อยๆ ปรากฏความเจ็บปวดจากการขยายอย่างรุนแรงเหมือนกับถูกเป่าลม
กรอบจางลง จากนั้นตอนที่โผล่ขึ้น ก็กลายเป็นวิชาโอสถกลองพลบค่ำระดับหนึ่ง ผลพิเศษคือสะท้อนกลับระดับหนึ่ง เพิ่มพละกำลังระดับหนึ่ง
ความเจ็บปวดจากการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนกว่าเดิม
‘หรือว่ากายเนื้อจะถึงขีดจำกัดแล้ว’ ลู่เซิ่งแตกตื่นสับสน แต่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองยังเพิ่มระดับได้อีก ไม่เหมือนกับความรู้สึกถึงขีดจำกัดอย่างชัดเจนของปราณภายใน ความเจ็บปวดจากการขยายของร่างกายนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะร่างกายไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลงใหม่
ในลาน ร่างลู่เซิ่งค่อยๆ บวมขยายด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้ ร่างสูงยืดขึ้นจนสุดแล้ว แต่ว่าสิ่งที่เปลี่ยนหลักๆ เป็นกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างเขา!
กล้ามเนื้อแต่ละมัดพองขึ้นอย่างรุนแรง เหมือนเนื้องอกบนต้นไม้แก่ บิดเบี้ยวโย้เย้ เบียดอยู่ที่ทุกส่วนบนร่าง คล้ายสวมเกราะเนื้อชั้นหนึ่งให้เขา
‘ทดลองอีกรอบ!’ ลู่เซิ่งไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การไขว่คว้าพลังไหนเลยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนเล็กน้อย แค่ขนาดร่างกายเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ภายหลังมีโอกาสก็ฝึกกลับมาได้
[เพิ่มวิชาโอสถกลองพลบค่ำถึงระดับสอง!] เขานึกในใจอีกครั้ง
ซู่
เครื่องมือปรับเปลี่ยนพลันพร่ามัว วิชาโอสถกลองพลบค่ำชัดเจนขึ้นอย่างรวดเร็ว
[วิชาโอสถกลองพลบค่ำ: ระดับสอง ผลพิเศษ: สะท้อนกลับระดับสอง เพิ่มพละกำลังระดับสอง เพิ่มการป้องกันระดับหนึ่ง]
วิชาแข็งกร้าววิชานี้คล้ายจะแข็งแกร่งกว่าวิชาอื่นๆ เมื่อก่อนหน้า มีผลพิเศษโผล่มาถึงสามผล
ลู่เซิ่งยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ชัด ก็รู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่ทรวงอกขยายขึ้นด้วยความเร็วสูง ขณะเดียวกันจุดที่เปราะบางทั้งหมดทั่วทั้งร่างได้แก่ ท่อนล่าง คอ ผิวตา ใบหู ผิวและข้อต่อที่เดิมอ่อนแอต่างก็มีของที่ทำจากหนังชั้นหนึ่งหุ้มไว้
เขายกมือขึ้นคลำลำคอ มีเยื่อบางที่แข็งและทนทานชั้นหนึ่งโผล่ขึ้นบนผิวหนังตรงนั้น จากนั้นลูบตา หนังตาก็แข็งขึ้นมาก ขอแค่หลับตา ก็สัมผัสได้ว่ากระแสความร้อนสายหนึ่งไหลตามร่างเข้าสู่หนังตา เสริมความแข็งและความทนทานให้ส่วนนี้
ถึงแม้แบบนี้จะสู้การป้องกันตรงส่วนอื่นไม่ได้ แต่ก็ปลอดภัยกว่าหนังตาทั่วไปมาก
‘แบบนี้จุดอ่อนของเราก็เหลือแค่เจ็ดทวารแล้ว…การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้…เหมือนวิชาโอสถกลองพลบค่ำนำมา แต่ความจริงสมควรเกิดขึ้นเพราะวิชาแข็งกร้าวของเราทับซ้อนกันมากเกินไป การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ’ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าตนในปัจจุบันต้านทานการโจมตีจากพิษพันธนาการได้อย่างเด็ดขาดแล้ว
ความแข็งแกร่งของร่างกายสูงกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า!
‘วิชาหยินหยางกระเรียนหยกไม่มีปราณเหลือแล้ว ยังมีปราณหยินอยู่ เอามายกระดับได้พอดี’ ลู่เซิ่งมองแถวสุดท้ายบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน
ความคิดให้กดลงบนปุ่มด้านหลังวิชาโอสถกลองพลบค่ำ
ซู่…
ครั้งนี้เครื่องมือปรับเปลี่ยนจางลงเกือบห้าอึดใจ แล้วค่อยๆ เป็นปกติ
วิชาโอสถกลองพลบค่ำที่โผล่มาใหม่ เทียบกับวิชาแข็งกร้าววิชาอื่น มีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก
[วิชาโอสถกลองพลบค่ำ: ระดับสาม ผลพิเศษ: สะท้อนกลับระดับสาม เพิ่มพละกำลังระดับสาม เพิ่มพลังป้องกันระดับสอง]
แต่ความรู้สึกจากทั่วร่างเหมือนกับได้ทำลายสิ่งกีดขวางที่อธิบายไม่ได้ชั้นหนึ่งในทันใด
เพล้ง!
เขาคล้ายได้ยินว่าบางอย่างในร่างแตกออก ส่งเสียงเหมือนแก้ว
เขายื่นมือออกมามองฝ่ามือที่ใหญ่กว่ามือหมี ข้อต่อกระดูกหยาบใหญ่ กล้ามเนื้อบิดเบี้ยวมีลวดลายสีเทามากมาย ไม่เหมือนมือคน คล้ายอุ้งมือของสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ถึงขั้นที่เขานึกถึงมังกรน่ากลัวที่เคยเห็นในโทรทัศน์
ฝามือไม่ต่างจากอุ้งมือสิ่งมีชีวิตที่แข็งกล้าเท่าไหร่
‘นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ…’ ลู่เซิ่งหลับตา รู้สึกร่างกายเหมือนหลุดพ้นจากพันธนาการบางอย่าง เกิดความรู้สึกอยากทำอะไรตามใจ
เขายืนนิ่งๆ ในลานเนิ่นนาน
ครืด…ครืด…ครืด…
เสียงที่บิดเบี้ยวแปลกประหลาด เหมือนกับกวนโคลนเลนก็ดังจากในร่างเขา
กลางดึก ในแสงจันทร์ ร่างกายใหญ่โตของลู่เซิ่งค่อยๆ เริ่มหดเล็กลง
กล้ามเนื้อที่กำยำบิดเบี้ยว ถูกแรงมหาศาลบางอย่างบีบให้เล็กลงจนติดกับตัวเขา
ร่างที่สูงใหญ่ของเขาหดจากขนาดยักษ์ที่สูงเกือบสองหมี่ห้าสิบกลายเป็นขนาดร่างทั่วไปที่สูงเท่าผู้ใหญ่ธรรมดาๆ คนหนึ่งเหมือนใช้วิชาหดกระดูก
ถึงแม้จะยังล่ำสันอยู่บ้าง มองดูกำยำยิ่ง แต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกไม่ใช่คน ราวกับภูเขาเนื้อที่น่าตื่นตระหนกเช่นก่อนหน้า
เหมือนกับก้อนเนื้อขนาดใหญ่ถูกบีบให้กลายเป็นก้อนเล็ก
ลู่เซิ่งยืนอยู่กลางลานเนิ่นนาน ลืมตามองสองมือที่เล็กลงของตน มุมปากตวัดขึ้นเล็กน้อย
เปรี้ยง!
เขากำหมัด ห้านิ้วบีบอากาศ ส่งเสียงระเบิดราวฟ้าผ่า
มองดูสองมือที่เหมือนเหล็กของตัวเอง สัมผัสถึงพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัง ที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าเหลือคณนา ในที่สุดลู่เซิ่งก็อดกลั้นไม่ไหว เงยหน้าหัวเราะเสียงดังลั่น
……………………………………….