ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1105 ค้นหา (1)
‘บางทีอาจลองติดต่อดูได้’
ลู่เซิ่งเดินเข้าใกล้อัศวินขาวนายหนึ่งขณะคิดแบบนี้
แต่อีกฝ่ายเฉียดผ่านตัวเขาไปตรงๆ เหมือนมองไม่เห็นเขา
ลู่เซิ่งได้ยินเสียงหอบหายใจที่หนักหน่วงของอีกฝ่าย ข้างใต้หมวกเกราะมีเสียงครวญครางแผ่วต่ำเหมือนกำลังเจ็บปวด
“เฮ้!” เขายื่นมือไปตบไหล่ของอัศวินขาว
ฟ้าว!
ประกายเย็นเยียบสายหนึ่งวาดผ่านด้านหน้าเขาอย่างฉับพลัน ฟันใส่แขนขวาที่เขายื่นออกมา
ลู่เซิ่งรีบหุบแขนและถอยหลังก้าวหนึ่ง
อัศวินขาวกลับหมุนตัวชักกระบี่ยักษ์สีขาวที่มีฟันเลื่อยเล่มหนึ่งออกมา ก่อนจะฟันเฉียงใส่ลู่เซิ่งด้วยความเร็วที่น่าตกใจราวกับแมลงวันได้กลิ่นอาหารอันโอชะ
พุ่บ
ลู่เซิ่งเอียงตัวหลบอย่างหวุดหวิด
“ได้ยินไหม ฉันเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ประหลาด!” ลู่เซิ่งเอียงตัวหลบการฟันครั้งที่สอง
แต่อัศวินขาวทำเป็นไม่ได้ยิน ใช้ทักษะที่ช่ำชองโจมตีลู่เซิ่งดุจสายฟ้าแลบติดต่อกันเหมือนเครื่องจักร
เขาเร็วถึงขีดสุด ถึงขั้นยังเร็วกว่าลู่เซิ่งที่อยู่ในระดับห้าเสียอีก
หลายๆ ครั้งที่ลู่เซิ่งใช้ระดับปรมาจารย์ของตัวเอง แยกกระบวนท่าโจมตีของอีกฝ่ายไว้ก่อน จากนั้นค่อยหลบซ้ายป่ายขวา
“ดูเหมือนจะคุยด้วยไม่ได้” ลู่เซิ่งกระโดดหลบการฟาดฟันของกระบี่ยักษ์ไปด้านหลังอีกรอบ
เปรี้ยง!
เขาผลักฝ่ามือใส่ลำตัวด้านขวาของอัศวินยักษ์
แต่ด้วยพละกำลังในเวลานี้ของเขา กลับล้มอัศวินสีขาวไม่ได้ ได้แต่ทำให้อีกฝ่ายส่ายไปมาเล็กน้อยเท่านั้น
ฟ้าว!
อัศวินขาวชะงักเล็กน้อย แล้วฟันกระบี่ยักษ์ลงใส่เขาอย่างหนักหน่วงอีกรอบ
“ลำบากแล้ว” ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายแรงเยอะและเร็วกว่าคนธรรมดามาก
เขาถอยหลังครั้งหนึ่ง หลบระยะฟันของกระบี่ยักษ์อย่างแม่นยำอีกรอบ
‘เราเคยประเมินมาก่อน โดยใช้ถังเอินเป็นตัวอย่าง ถ้าพละกำลังของเขาเป็นมาตรฐานคนธรรมดาบนโลกใบนี้ อย่างนั้นพละกำลังของเราในตอนนี้ก็สูงเป็นหนึ่งเท่ากว่าๆ เกือบสองเท่า และคว วามเร็วสูงเป็นสองเท่ากว่าๆ ของเขา’
ลู่เซิ่งใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว
‘และความเร็วกับพละกำลังของอัศวินขาวก็แข็งแกร่งกว่าเรามาก’
เปรี้ยง!
กระบี่ยักษ์ฟันใส่ความว่างเปล่า กระแทกใส่พื้นจนกลายเป็นหลุมใหญ่
‘ยายแก่แองเจลานั่นพูดถูกจริงๆ อัศวินขาวพวกนี้เป็นสัตว์ประหลาด นิกายอีซิสเลี้ยงดูเครื่องจักรสังหารแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไงกัน’
ลู่เซิ่งประหลาดใจกว่าเดิม
ทันใดนั้นเขาก็เกิดลางสังหรณ์ รีบตีลังกาไปด้านหลังหลายเมตร แล้วเบี่ยงตัวหลบ
อัศวินขาวชูกระบี่ยักษ์ขึ้นสูงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ คมกระบี่เคลื่อนที่เหมือนกับเลื่อยไฟฟา
พึ่บ!
เขาฟันลง
คมกระบี่สะบัดเลื่อยโลหะที่เต็มไปด้วยฟันออกมา
ตูม!
พื้นที่ที่อยู่ห่างไปด้านหน้าสามเมตรกว่าๆ โดยมีอัศวินขาวเป็นจุดเริ่มต้นปรากฏรอยกระบี่ลึกสายหนึ่ง
รอยกระบี่ลึกถึงครึ่งเมตรกว่าๆ
‘มีทักษะพิเศษด้วย!’ ลู่เซิ่งสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดตอนเผชิญกับศัตรูคือไม่รู้เขารู้เรา ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีวรยุทธ์ระดับปรมาจารย์คอยช่วยเหลือ เกรงว่าคงเสร็จไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
‘ไอ้ตัวรับมือยาก...’ ลู่เซิ่งกวาดหางตาไปรอบๆ เวลานี้อัศวินขาวที่อยู่ใกล้ๆ ถูกเสียงดังสนั่นชักนำมาทางนี้แล้ว
‘ต้องไปแล้ว’
เขาไม่เร็วเท่าอัศวินพวกนี้ แต่กระบี่ยักษ์ของอีกฝ่ายหนักเกินไป การฟันทุกครั้งจึงตรงไปตรงมาและเห็นได้ชัด
เขาใช้ประโยชน์จากความอ่านง่ายนี้ ล่ออัศวินขาวหลายนายให้ฟันใส่อากาศ แล้วฉวยโอกาสถอยออกห่างจากอาณาเขตการโจมตีของอีกฝ่าย
จากนั้นก็กลับไปยังห้องใต้ดินอีกรอบ
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมุ่น ฉุกนึกอะไรได้ตอนที่มองดูอัศวินขาวที่กลับมาเดินเตร็ดเตร่เหมือนเดิม
‘ถ้าคนปกติเข้ามาในโลกสัมผัสความเจ็บปวดนี้ เกรงว่าจะเคลื่อนไหวแบบปกติได้ยาก ยิ่งอย่าว่าแต่ต่อสู้กับอัศวินขาวพวกนี้ ต่อให้จะรักษาสติไว้ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นด้านแรงหรือ ความเร็วก็ไม่มีทางสู้สัตว์ประหลาดพวกนี้ไหว ดังนั้นผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียวของคนธรรมดาจึงเป็นความตาย’
ลู่เซิ่งเกิดความสงสัย
‘หากมองแบบนี้ เป้าหมายที่สัตว์ประหลาดพวกนี้ถูกสร้างขึ้นมาก็เป็นไปได้มากว่าจะไม่ใช่เอาไว้สู้กับคนทั่วไป พลังประหลาดที่แข็งแกร่ง ความเร็วที่ร้ายกาจ เกราะป้องกันที่แข็งมาก กๆ รวมถึงความอึดที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บางทียังมีจุดเด่นที่ไม่กลัวเจ็บอีก สัตว์ประหลาดแบบนี้ถูกนำไปใช้สู้กับอมนุษย์บางชนิด’
ลู่เซิ่งหวนนึกถึงฟาเตียน หรือว่าจะเอาไว้สู้กับไอ้ตัวพวกนั้น
‘ไปลองดูอีกรอบ ดูว่าจะติดต่อกับผู้มีสติได้ไหม’
เขาหยุดนิ่งสักพัก แล้วมุ่งหน้าไปยังทางนั้นต่อโดยเปลี่ยนทิศทาง
ความเจ็บปวดส่งมาจากนิ้วอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขารักษาสัมผัสต่อโลกใบนี้ไว้ได้
เขาที่เคยเข้าไปในโลกแห่งความเจ็บปวดคุ้นเคยกับวิธีการนี้เป็นอย่างดี
แต่ที่นี่ยุ่งยากยิ่งกว่าโลกแห่งความเจ็บปวด การเข้าไปในโลกแห่งความเจ็บปวดแค่เจ็บครั้งเดียวก็พอ แต่ที่นี่ต้องรักษาความเจ็บปวดไว้ทุกที่ทุกเวลา
เขาจะสัมผัสการดำรงอยู่ของโลกตรงหน้าได้ก็ต่อเมื่อใช้ประโยชน์จากสภาพจิตที่เจ็บปวดเท่านั้น
ลู่เซิ่งเห็นอัศวินสีขาวที่เดินไปมาเป็นจำนวนมากระหว่างเดินตามทางไปทางขวามือ
จำนวนของพวกเขาเหมือนไร้สิ้นสุด ระหว่างทางที่ผ่านมา ลู่เซิ่งเห็นไม่ต่ำกว่าร้อยนาย
อัศวินขาวพวกนี้ร่อนเร่อย่างไร้จุดหมาย บางครั้งจะหยุดชะงักอย่างไม่มีสาเหตุ จากนั้นค่อยหมุนตัวเดินไปทางอื่น
สิ่งก่อสร้างบิดเบี้ยวสีดำสองฟากข้างถนน บ้างก็มีประตู บ้างก็กระจายกลิ่นอันตรายที่บรรยายไม่ถูกเหมือนถ้ำล้ำลึก
ลู่เซิ่งไม่คิดจะเข้าไป แม้แต่อัศวินขาวที่เร่ร่อนอยู่บนถนน เขายังสู้ไม่ได้ เข้าไปในสถานที่พวกนี้ก็รังแต่จะตายฟรี
เขาตัดผ่านพื้นดินสีดำผืนใหญ่ อย่างค่อยเป็นค่อยไป สิ่งก่อสร้างสีดำสองฟากข้างก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ
สิ่งก่อสร้างที่ทั้งสูงและแหลมบางส่วนเริ่มหนาตาขึ้น พวกมันแตกต่างจากสิ่งก่อสร้างสีดำที่บิดเบี้ยวตรงที่ดูเหมือนกับโบสถ์มากกว่า มีลักษณะเป็นยอดแหลมและสามเหลี่ยมพีระมิดอย่าง งเห็นได้ชัด
รอบๆ สิ่งก่อสร้างล่ามโซ่สีดำไว้มากมาย สิ่งที่ประหลาดก็คือ โซ่ที่พันสิ่งก่อสร้างหลายแห่งไว้หลายรอบๆ พวกนี้ มองไปไกลๆ จะเหมือนกับขยับตัวราวสิ่งมีชีวิต
หลังจากลู่เซิ่งมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ สิ่งก่อสร้างสองข้างทางกลายเป็นอาคารยอดแหลมที่พันโซ่สีดำไว้เป็นจำนวนมาก
อาคารพวกนี้ไม่มีประตู มีแต่หน้าต่าง
บางครั้งจะเห็นเค้าโครงของเงาดำเป็นกลุ่มๆ ได้ผ่านหน้าต่างดำทะมึน เห็นได้ชัดว่ามีอะไรสักอย่างใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งก่อสร้างพวกนี้
ลู่เซิ่งตั้งชื่อให้พื้นดินสีดำที่มีอัศวินขาวอยู่เยอะก่อนหน้านี้ว่าเขตโบสถ์ขาว และเรียกตรงนี้ว่าเขตโบสถ์ดำ
‘เขตโบสถ์ขาวมีอัศวินขาวรักษาความปลอดภัย แม้พวกมันจะแข็งแกร่ง แต่ไม่ได้โจมตีใครมั่วซั่ว กลับกัน เขตโบสถ์ดำ…’
ลู่เซิ่งพยายามย่องให้เบาที่สุด เขารู้สึกว่าร่างกายเกิดความรู้สึกอึดอัดที่ไม่ปกติเมื่ออยู่ที่นี่
เดินไปอีกสิบกว่านาที ถนนเขตโบสถ์ดำก็ยังคงไม่ปรากฏจุดสิ้นสุดให้เห็น
ถนนเส้นนี้ไม่มีทางแยก มีแต่ทางลาดที่ชันน้อยๆ ซึ่งเหยียดยื่นลงไปด้านล่าง
มองไปด้านหน้า หมอกบางสีขาวปกคลุมทัศนียภาพไกลออกไป โบสถ์สีดำสองฟากข้างยื่นเหยียดไปถึงปลายหมอกขาว ราวกับไม่มีขอบเขต
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า
‘ถึงแค่ตรงนี้ พลังของเราในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ รอจากนี้แข็งแกร่งขึ้น ค่อยมาค้นหาตรงนี้อีกรอบ โลกใบนี้…น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…’
ลู่เซิ่งมองเนินลาดที่ยื่นไปยังด้านล่างพลางเลียริมฝีปาก ก่อนจะหมุนตัวกลับทางเดิม
ตอนที่ค้นหาใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ขากลับไม่ต้องระมัดระวังตัวมาก ความเร็วจึงเพิ่มขึ้นพอประมาณ ไม่ถึงยี่สิบนาทีลู่เซิ่งก็กลับมาถึงหน้าประตูห้องใต้ดินแห่งเดิม
อัศวินขาวเหล่านั้นยังคงเดินวนเวียนที่เดิม มองไม่ออกว่ามีเป้าหมายอะไร
ลู่เซิ่งเคาะประตูห้องใต้ดิน จากนั้นก็บิดลูกบิดเดินเข้าไป
ประตูของโลกปกติจะมีโซ่หลายเส้นล่ามไว้อย่างแน่นหนา ป้องกันอันตรายทั้งหมดจากภายนอก
แต่ในโลกใบนี้ ประตูบานนี้กลับเหมือนไม่เคยถูกติดตั้งสลัก แม้แต่ร่องรอยก็ไม่มี
หลังผลักประตูเข้าไป ลู่เซิ่งก็เดินลงบันไดไปด้านล่าง
หญิงชราแองเจลาส่ายหน้าพลางร้องเพลงภาษาอะไรสักอย่าง สายตาของนางอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก เสียงแหบพร่าและแปลกประหลาด แต่ทำนองกลับไพเราะอย่างบรรยายไม่ถูก
คนคนหนึ่งที่เหมือนจะยังมีลมหายใจนอนอยู่ข้างตัวนาง หากมองอย่างละเอียดจะพบว่าเป็นถังเอิน
“ยังทนไหวไหม” ลู่เซิ่งเดินถึงข้างตัวถังเอิน ก้มหน้ามองเด็กหนุ่ม
“แม่ครับ…ผมรู้สึก…มือมีแต่เลือด…ผมจะตายแล้วครับแม่…” ถังเอินตอบกระท่อนกระแท่น สองตาไร้ประกาย แสดงให้เห็นว่าเจ็บปวดจนสติเลอะเลือน
หลังเข้ามาที่นี่ เสื้อผ้าบนตัวเขาก็ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีดำอมเทา เวลานี้เสื้อคลุมสีดำเปียกโชกเพราะเหงื่อ
เขานอนอยู่บนพื้นด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก สายตานิ่งค้าง
“กลับมาแล้วเหรอ...” แองเจลาหยุดร้องเพลง มองไปยังลู่เซิ่ง “ฉันว่า ฉันเจอเรื่องที่น่ายินดีเข้าแล้ว”
ลู่เซิ่งย่นคิ้ว พอเข้ามาในโลกใบนี้ เขาก็รู้สึกว่าหญิงชราคนนี้เลอะๆ เลือนๆ กว่าเดิม
“เจออะไร” เขาถาม
“ฉันเคยอ่านบันทึกหนึ่งจากหนังสือที่โบสถ์” แองเจลากดเสียงกล่าวอย่างลึกลับ
“บันทึกอะไร”
แองเจลาไม่ได้ตอบ
ลู่เซิ่งเห็นนางประคองถังเอินขึ้นวางบนตักตัวเองอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน จากนั้นก็หยิบยาลูกกลอนที่ไม่รู้ว่าเป็นยาอะไรขึ้นจากโต๊ะ ยัดเข้าไปในปากตัวเองพร้อมเคี้ยวสักพัก จากนั้นก็คายออกมา ยัดใส่ปากถังเอิน
“กินซะ…กินซะ…กินแล้วจะหายดี” แองเจลาเอ่ยเสียงนุ่ม
“นี่มันอะไรกัน!” ลู่เซิ่งถามเสียงทุ้ม
“ยาที่ทำให้มนุษย์ต้านทานความเจ็บปวดได้…” แองเจลาเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
ลู่เซิ่งรู้ว่านางชอบสะสมยา ยาลูกกลอนเม็ดนี้น่าจะเป็นยาที่ไม่รู้นางเอามาจากไหน
ขณะมองถังเอินอ้าปากรับสิ่งนั้นพร้อมกับน้ำลายของหญิงชรา แล้วเคี้ยวอย่างไม่รู้ตัว ลู่เซิ่งก็ขยักขย้อน
แต่เขาไม่ได้ห้ามปราม เป็นเพราะถังเอินเหมือนจะไม่ไหวแล้ว ถ้ายาชนิดนี้ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม อย่างนั้นขยะแขยงก็ดีกว่าตาย
“คุณยังไม่บอกเลยว่าบันทึกที่คุณอ่านคืออะไร” ลู่เซิ่งถาม
แองเจลาวางถังเอินกลับที่เดิมอย่างระมัดระวัง ใช้เสื้อคลุมหนุนท้ายทอยเด็กหนุ่มไว้ แล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมองลู่เซิ่ง
“เขาคือผู้ทับซ้อน ผู้ทับซ้อนในตำนาน!”
นางดึงแขนขวาถังเอินขึ้นเบาๆ
บนแขนสีขาวนวลที่เหมือนผู้หญิงข้างนั้นมีตราประทับสีม่วงที่เด่นชัด
ตราประทับนั่นคือตรีศูล มีสิ่งที่เหมือนหนามพันอยู่รอบๆ เหนือตรีศูลยังมีสัญลักษณ์และตัวเลขขนาดจิ๋วอยู่อีก แต่มองไม่เห็น เพราะพร่าเลือนมาก