ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1107 เท่าเทียม (1)
“คุณก็เป็นพวกเดียวกันเหรอ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมคาโป” ชายผมทองที่เหมือนอัศวินก้าวเข้ามาจับมือกับลู่เซิ่งด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งส่ายหน้า “ขอโทษที ผมไม่ใช่ผู้ทับซ้อน เพื่อนผมต่างหากที่ใช่”
“หือ?” ชายผมทองคาโปเลิกคิ้ว ความกระตือรือร้นบนใบหน้าหายไปมากกว่าครึ่ง แม้จะรักษามารยาทขั้นพื้นฐานไว้ แต่เทียบกับตอนแรกสุด สัมผัสได้ว่าเขาหมดความสนใจในตัวลู่เซิ่งไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด
“ถึงเพื่อนผมจะไม่ใช่ผู้ทับซ้อน แต่แข็งแกร่งกว่าผมมากเลยนะ” ถังเอินคิดจะช่วยสร้างความประทับใจให้แก่ลู่เซิ่ง
แต่คาโปแค่ส่ายหน้า ไม่พูดอะไรอีก
ส่วนหญิงสาวเย็นชาที่อยู่ด้านข้างยิ่งไม่แนะนำตัว
“ไม่ใช่ว่าผมดูถูกอะไรหรอกนะ แต่ในโลกใบนี้ หากไม่ใช่ผู้ทับซ้อน ผ่านไปไม่กี่วันก็คงตายอยู่ตรงมุมใดมุมหนึ่ง ความไม่แน่นอนของที่นี่อันตรายเกินไป”
ความหมายของเขาชัดเจนมาก คือถ้าไม่ใช่ผู้ทับซ้อน คุณก็ไม่ต้องแนะนำตัวกับผม เพราะผมไม่สนใจจะรู้จัก
เพียงแต่กล่าวอย่างอ้อมๆ เท่านั้น
ลู่เซิ่งฟังความนัยออก ยิ้มแล้วไม่พูดอะไรอีก หมุนตัวเดินไปถึงข้างกองไฟเพื่อพิจารณากองไฟที่ลุกไหม้บนโลกใบนี้อย่างละเอียด
ก่อนหน้านี้เขาลองมาหลายรอบ แต่ก็จุดไฟไม่ได้
ถังเอินกระอักกระอ่วนและเป็นห่วงอยู่บ้าง เขาไม่ใช่คนโง่ มองความไม่แยแสต่อคนที่ไม่ใช่ผู้ทับซ้อนของพวกคาโปออกเช่นกัน
“ความจริงก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพื่อนผม ผมคงตายในโลกความเป็นจริงไปแล้ว ดังนั้น…”
“ฉันเข้าใจความหมายของนาย ไม่ต้องห่วง” คาโปยิ้มพลางตบไหล่เขา หลังเขารู้ตำแหน่งของลู่เซิ่งในใจถังเอิน ก็เปลี่ยนความคิดที่มีต่ออีกฝ่ายเล็กน้อย
เขามองลู่เซิ่ง แล้วถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “อยากจะรู้ไหมว่ากองไฟถูกจุดได้ยังไง”
ลู่เซิ่งส่ายหน้า เขาสัมผัสความอบอุ่นได้จากไฟนี้ แต่มีแค่ความอบอุ่นเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกร้อนระอุ ไม่แตกต่างอะไรกับกองไฟทั่วไป
“พวกคุณคุยกันต่อเถอะ ผมไปพักผ่อนสักหน่อย” เขาคร้านจะสนใจสองคนนี้อีก หลังบอกถังเอินเสร็จ ก็ปลีกตัวไปนั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่ตรงมุมห้อง
ถังเอินคุยกับคาโปอย่างกระอักกระอ่วนอีกหลายประโยค คาโปเหมือนจะไม่ใส่ใจความไร้มารยาทของลู่เซิ่ง เขาต้องการให้ถังเอินไปกับเขา เข้าร่วมกลุ่มของเขา
แต่ถังเอินเหมือนไม่อยากจะไปจากเมืองนี้
ลู่เซิ่งจับคำคำหนึ่งได้ขณะฟังการยืนกรานของสองคนอยู่ใกล้ๆ ผู้นำพา
ถังเอินเหมือนจะเรียกแองเจลาว่าผู้นำพา
นี่เหมือนจะเป็นตัวละครที่พิเศษมาก พวกคาโปก็เห็นเป็นเรื่องปกติ พูดถึงผู้นำพาหลายรอบ
ตัวละครแบบนี้เหมือนจะเป็นตัวละครสำคัญที่มอบการช่วยเหลือ รักษา และฟื้นฟูให้
ลู่เซิ่งฟังอยู่ด้านข้างสักพัก เห็นพวกเขาเริ่มจะทำเหมือนตนเป็นมนุษย์ล่องหน ไม่ได้กลัวว่าจะได้ยินอะไร ก็ไม่สนใจอีก เริ่มฝึกฝนอย่างจริงจัง
ตอนแรกเนื้อหาที่พวกเขาคุยกันยังมีสิ่งที่มีค่ามากมาย โดยเฉพาะรูปแบบการเคลื่อนไหวของผู้ทับซ้อน แทบจะเหมือนกับผู้เล่นที่ลู่เซิ่งรู้จัก
น้ำเสียงของคาโปเหมือนจะแบ่งผู้ทับซ้อนกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ เป็นสองกลุ่ม
เหมือนกับมีแค่ผู้ทับซ้อนเท่านั้นถึงจะเป็นมนุษย์ในสายตาพวกเขา ที่เหลือไม่นับ
ความรู้สึกสูงส่งที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้ตัวนี้ทำให้ลู่เซิ่งขุ่นเคืองเล็กน้อย
ไม่นานนัก คาโปก็พาถังเอินออกไปด้วยกัน ส่วนหญิงสาวเย็นชาคนนั้นนั่งลงพักผ่อนเงียบๆ เธอทำเหมือนกับลู่เซิ่งไม่มีตัวตน หยิบน้ำมันออกมาบำรุงรักษาธนูและลูกดอกของตัวเองโดยไม่สนใจ
ลู่เซิ่งนั่งอยู่สักพักก็ลุกขึ้น แล้วเริ่มฝึกวิชาหมัดลอบสังหาร
เขาเคลื่อนไหวคล่องแคล่วและเงียบเชียบ ฝึกฝนวิชาหมัดอยู่ตรงมุมมืดราวกับไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ
หญิงสาวคนนั้นมองมาทางนี้เล็กน้อยแล้วส่ายหน้าพลางขำ ก่อนจะบำรุงรักษาอาวุธต่อไป
แม้วิชาหมัดจะมีประโยชน์ แต่นั่นเป็นทักษะที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่อาจใช้กับสัตว์ประหลาดที่พิสดารพวกนั้นได้
ไม่นานร่างของถังเอินก็โผล่ออกมาจากข้างกองไฟช้าๆ เขาสวมเสื้อคลุมสีดำเก่าขาดอย่างงุนงงสับสน เหมือนจะยังไม่ฟื้นสติจากเสียงกรีดร้องและความลนลานเมื่อครู่
“บ้าเอ๊ย! ตัวอะไรลอบโจมตีฉันกัน!” ในที่สุดถังเอินก็ทนไม่ไหว คำรามออกมา
“คาโปล่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นถามเบาๆ
“พี่คาโปยังสู้อยู่กับเจ้าตัวนั้น ผมตาพร่า ยังมองไม่เห็นอะไรก็พบว่าตัวเองตายแล้ว” ถังเอินพูดอย่างไม่ยอมรับ
“ไม่ต้องห่วง คาโปแข็งแกร่งมาก ไม่เกิดปัญหาหรอก” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบ
“เธอน่าจะเคยได้ยินเขาแนะนำถึงเมล็ดชีวิตมาแล้วใช่ไหม คิดยังไง ถ้าเธอเข้าร่วมทีมพวกเรา พวกเราจะให้เมล็ดชีวิตเธอฟรีๆ เม็ดหนึ่ง” เธอมองถังเอินด้วยสายตาสงบนิ่ง
“เมล็ดชีวิต...สามารถสร้างอาวุธและอุปกรณ์ที่ลี้ลับแข็งแกร่งออกมาได้ทุกอย่างจริงๆ เหรอครับ” ถังเอินไม่ได้ตอบทันที หากแต่ถามสภาพของของสิ่งนั้น จากนั้นก็ใคร่ครวญ
หญิงสาวไม่สนใจลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้าง
“ยิ่งมีเมล็ดชีวิตมากเท่าไหร่ อุปกรณ์ที่จะได้ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่ขอแค่เธอตายสักครั้ง เมล็ดชีวิตก็จะถูกทำลายโดยสิ้นเชิง กระบวนการสร้างถูกขัด ดังนั้นเธอจึงต้องให้ทีมช่วยเธอเก็บเมล็ดชีวิตให้มากๆ และทีมวิหคสุริยันของพวกเราก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเธอ”
“ผมไปกับเพื่อนผมได้ไหม ถ้าเขามีเมล็ดชีวิต ก็…” ถังเอินเอ่ยอย่างลังเล
“น่าเสียดายมาก” หญิงสาวส่ายหน้า “ถ้าไม่ใช่ผู้ทับซ้อน ต่อให้ได้รับอุปกรณ์ทับซ้อน ก็สวมใส่ไม่ได้และใช้งานไม่ได้”
“ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน” ลู่เซิ่งสังเกตเห็นดวงตาของถังเอินที่มองมา “สิ่งไหนที่ดีต่อการพัฒนาของนายที่สุดก็จงเลือกสิ่งนั้นเถอะ”
“แต่ว่า…” ถังเอินยังคงลังเล
“ไปเถอะ รอนายแข็งแกร่งขึ้นค่อยตัดสินใจชีวิตในอนาคตของตัวเอง” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงเรียบ
สุดท้ายถังเอินก็ตัดสินใจเคลื่อนไหวพร้อมคาโป ในเวลาเดียวกันนี่ยังเป็นข้อแนะนำของลู่เซิ่งด้วย เขาไม่รู้จักผู้ทับซ้อน การได้เจอคนประเภทเดียวกันที่ช่วยเหลือถังเอินได้จะทำให้เด็กหนุ่มเติบโตเร็วกว่าเดิม
คาโปต้องอยู่ที่เมืองเมืองนี้ระยะหนึ่งพอดี เขาเหมือนจะมาตามหาบางสิ่งบางอย่าง
คาโปได้ถือโอกาสพาถังเอินออกไปฝึกฝน เขาเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งต้องตายอย่างน้อยสิบกว่าครั้งถึงจะนับว่าได้ฝึกฝน
คนคนนี้เหมือนจะเรียกการหาที่ตายแบบนี้ว่าการฝึกฝนทักษะ
เช้าตรู่วันต่อมา
พอลู่เซิ่งกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เหลือเสร็จ ก็เริ่มเตรียมเลื่อนขั้นอย่างเป็นทางการ
ถังเอินถูกพาไปเข้าร่วมการต่อสู้แต่เช้า
เขาทิ้งคำพูดไว้ว่า คาโปกับเฌอมานเจอเป้าหมายของพวกเขาแล้ว เป็นแมลงปีกแข็งตัวใหญ่ที่ประหลาดมาก
พวกเขาลองค้นหาจุดอ่อนของแมลงปีกแข็ง การเคลื่อนไหวครั้งนี้พาถังเอินไปเปิดประสบการณ์ได้พอดี
หญิงชราแองเจลายังนั่งอยู่ตรงมุมห้องคนเดียว เหมือนกับกำลังอธิษฐานอะไรบางอย่างอย่างเลอะๆ เลือนๆ
ลู่เซิ่งกินบะหมี่สำเร็จรูปหลายซอง ดื่มน้ำสะอาดขวดหนึ่ง จากนั้นก็ออกจากห้องใต้ดินไปตามหาที่ที่ปลอดภัยแห่งอื่นเพื่อเลื่อนระดับ
ที่นี่มีแองเจลา ยังมีพวกถังเอินที่อาจกลับมาได้ทุกเวลา เพื่อปกปิดความสามารถบางส่วนเอาไว้ เขาคิดจะไปหาที่ฝึกฝนในที่ที่ปลอดภัยที่อื่น
…
แคว่ก
ลู่เซิ่งดึงป้ายห้ามเข้าบนประตูตึกสำนักงานแห่งหนึ่งออก
เขากระชากเสาขึ้นสนิมหัก แล้วมุดเข้าไปจากด้านข้างประตูเหล็กขนาดใหญ่ที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง
ประตูเหล็กขาดการซ่อมแซมมาหลายปี จึงขึ้นสนิมจนไม่เหลือเค้าเดิม คาดว่าต่อให้จะเป็นเวลาก่อนภัยพิบัติใหญ่ ที่นี่ก็เป็นที่ร้างที่ไม่มีคนเหมือนกัน
ตึง
เพิ่งจะเข้ามาข้างใน พื้นไม้แผ่นหนึ่งที่พิงเอียงๆ อยู่ในประตูเหล็กก็พลันตกลงบนพื้น ส่งเสียงดังทึบ
ลู่เซิ่งชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองตึกสำนักงานสูงแค่สี่ชั้นตรงหน้า
ทั้งตึกเต็มไปด้วยรูโหว่ หน้าต่างไม่มีกระจก บนพื้นมีแต่ช่องว่างกระดำกระด่างและกระจกที่หลุดร่วงจากผนัง
หากมองตึกทั้งตึกไกลๆ จะให้ความรู้สึกว่าเอียงเล็กน้อย
‘ถ้าหากก่อนภัยพิบัติไม่มีคน อย่างนั้นความเป็นไปได้ที่จะมีวิญญาณก็ต่ำกว่าเดิม สำรวจดูก่อนค่อยว่ากัน’
เขายกระดับความระวังขณะก้าวเท้าเดินไปยังทางเข้าตึก
ห้องใต้ดินไม่เหมาะกับเขาอีกแล้ว เขาจะต้องหาพื้นที่ส่วนตัวที่ปลอดภัยและมั่นคงอย่างเร่งด่วน
ลู่เซิ่งเดินเข้าสำนักงานจากประตูใหญ่ บนผนังโถงใหญ่ชั้นแรกเต็มไปด้วยรอยสีแดงเหมือนกับเลือด
แม้จะอยู่ในโลกความเป็นจริง แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนโลกแห่งความเจ็บปวด
เขาคาดเดาหลายครั้งว่า โลกแห่งความเจ็บปวดของมารดาแห่งความเจ็บปวดอาจจะมาจากโลกแบบนี้
เขาเดินลัดโถงไปถึงหน้าลิฟท์ ประตูโลหะของลิฟท์มีครึ่งหนึ่งแตกหัก กระแสอากาศเย็นเยียบพัดมาจากด้านใน
‘ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้แล้ว’ ลู่เซิ่งกวาดตามองไฟแจ้งเตือนสีแดงที่อยู่ด้านข้าง
อย่างน้อยการที่ยังมีไฟก็ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
จากนั้นเขาก็เลี้ยวเดินเข้าไปในทางเข้าบันได
ผนัง พื้น และมุมกำแพงในทางบันไดแคบๆ มีรูปที่ละเลงสีแดงอยู่เต็มไปหมด
สีแดงที่แสบตาและรูปภาพที่มีสัญญลักษณ์บิดเบี้ยวกระตุ้นจักษุประสาทอย่างน่าอึดอัด
ลู่เซิ่งเดินขึ้นไปถึงชั้นสอง
บนโถงทางเดินชั้นสองมีห้องแปดห้อง ทางซ้ายสี่ ทางขวาสี่
ตรงกลางเป็นปากบันได
พอเขาออกมาจากบันได ก็เห็นด้านในห้องทางซ้ายมือเหมือนมีการเคลื่อนไหวเบาๆ
ตุบ แกร่กๆ ตุบ
ลู่เซิ่งผ่อนฝีเท้าให้เบาลงพร้อมเข้าใกล้ห้องที่มีเสียงดังมา
มองจากทิศทางของเขาเข้าไป เสียงดังมาจากในห้องทางซ้ายมือแถวที่สาม
ลู่เซิ่งเข้าใกล้ จากนั้นค่อยพบว่าประตูห้องแง้มอ้าอยู่ เสียงที่ดังมาจากด้านในชัดเจนกว่าเดิม
ตุบ แกร๊กๆ ตุบ แกร๊กๆ
เหมือนกับเสียงจากของเล่นไขลาน
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูเปิดประตูที่แง้มอยู่อย่างแผ่วเบา
มองเข้าไปผ่านรอยแง้ม เห็นเด็กสี่คนอายุราวเจ็ดแปดขวบกำลังนั่งล้อมวงกัน เล่นของเล่นในมืออย่างสนุกสนาน
เสียงดังมาจากของเล่นในมือพวกเขา สิ่งที่พวกเขาเล่นอยู่เป็นของเล่นจักรกลเรียบง่ายที่ไขลานได้
ลู่เซิ่งมองไม่เห็นใบหน้าของเด็กสี่คนนี้ พวกเขาต่างก้มหน้า ไม่พูดไม่จา ผิวซีดเสียจนเหมือนกับโปร่งแสง
เขาไม่ส่งเสียงค่อยๆ ปิดประตู ถอยหลัง แล้วออกห่างจากห้อง
ตุบ
ทันใดนั้นด้านหลังเขาเหมือนมีอะไรมาชนใส่
เหมือนจะเป็นคนตัวเล็กคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าที่หนามาก ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังเขา
ลู่เซิ่งพลันหยุดนิ่ง ก่อนจะก้มมองสองเท้าของคนด้านหลัง
อีกฝ่ายใส่รองเท้าออกกำลังสีขาวอมเทา เหมือนกับรองเท้าที่เด็กใส่
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก เดินไปด้านหน้าอีกก้าว จากนั้นก็ย่องไปยังทางบันไดช้าๆ
คนตัวเล็กด้านหลังยังคงไม่ขยับ เหมือนหยุดอยู่ที่เดิม
พอลู่เซิ่งไปถึงบันไดก็โล่งใจเล็กน้อย
วิญญาณพวกนี้เหมือนกับอัศวินขาว ถ้าคุณไม่ไปหาเรื่องพวกมัน พวกมันก็ไม่โจมตีคุณ
ชั้นสองมีปัญหา ลู่เซิ่งได้แต่ยอมแพ้ กลับไปยังชั้นหนึ่ง
ที่ชั้นหนึ่ง นอกจากลิฟท์แล้วยังมีห้องยามซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสอีกห้อง
ในห้องยามมีเตียงเดี่ยวหลังหนึ่ง โต๊ะตัวหนึ่ง รวมถึงข้าวของที่ยุ่งเหยิงบางส่วนบนโต๊ะ
ลู่เซิ่งเข้าไปปัดฝุ่นบนเตียงเดี่ยวสำหรับผู้ใหญ่ ปูผ้าปูที่นอนกลับไป จากนั้นก็พับเสื้อผ้าพร้อมนั่งลงไป
……………………………………….