ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1108 เท่าเทียม (2)
เมื่อปิดประตูห้องยามทรงสี่เหลี่ยม ก็จะเหลือเพียงหน้าต่างทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่กว้างไม่ถึงหนึ่งเมตรบานหนึ่งเชื่อมกับด้านนอก
พื้นที่แคบๆ และเร้นลับเหมาะกับตัวเลือกของลู่เซิ่งพอดี
เขาเปิดหน้าต่าง นั่งลงบนปลายเตียง หลับตาเข้าสู่ห้วงสมาธิอย่างช้าๆ
เสียงรอบข้างค่อยๆ ออกห่าง แม้แต่ลมหายใจก็เชื่องช้าลงอย่างผิดปกติโดยไม่รู้ตัว
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ ลู่เซิ่งพลันลืมตา
ราวกับมีแสงสีขาวสว่างขึ้นในความมืด นั่นเป็นการส่องสว่างในพริบตาที่ดวงตาเขาสะท้อนแสงจากโลกภายนอก
‘เรียบร้อยแล้ว…ดีปบลู’ ลู่เซิ่งคิดในใจ
ชิ้ง
อินเตอร์เฟซดีปบลูเด้งออกมาจากตาเขา
เขาจ้องมองกรอบเล็กๆ กรอบเดียวของโลกใบนี้
[(วิชาหมัดลอบสังหารสายลวงจิต: ระดับเก้า (คุณสมบัติ: ระเบิดพลังระยะใกล้))]
นี่เป็นทักษะพิเศษที่ได้มาหลังวิชาหมัดลอบสังหารไปถึงระดับเก้า เป็นการระเบิดพลังระยะใกล้ ทักษะระเบิดพลังที่เหมือนวิชาลับ
นี่เป็นทักษะเฉพาะที่เกิดจากวิชาหมัดซึ่งมีชื่อว่าทิ่มแทงในสายลวงจิต สามารถทำให้คู่ต่อสู้เห็นภาพหลอนว่าหนึ่งหมัดกลายเป็นสามหมัดตอนต่อยได้
ลู่เซิ่งเคยลองใช้กับอัศวินขาวมาก่อน ผลลัพธ์คือไร้ประโยชน์อย่างไม่ต้องสงสัย
การสร้างภาพลวงตาโดยโจมตีพร้อมกันสามหมัดอาจได้ผลกับคนธรรมดา แต่การใช้กับอัศวินขาว หลังหมัดสามหมัดแยกจากกัน พลังของหมัดแต่ละหมัดจะมีแค่แปดส่วน ถึงขั้นทิ้งรอยยุบไว้บน เจ้าแทงค์น้ำโลหะนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถ้าใช้กับมนุษย์ด้วยกันอาจขู่ให้อีกฝ่ายกลัวจนไม่รู้จะรับมือทางหมัดไหนได้ แต่อัศวินขาวใช้วิธีการต่อสู้แบบเอ็งเจ็บข้าเจ็บ มันจะฟันกระบี่ลงใส่โดยไม่สนใจ เอ็งอยากต่อยก็ ต่อยไป ข้าจะฟันของข้า
ฟู่
ลู่เซิ่งถอนใจอย่างจนปัญญา
หมัดลอบสังหารสายลวงจิตขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและความแม่นยำ สายนี้ใช้ได้ดีกว่าหมัดลอบสังหารสายอื่น สามารถล่อลวงคู่ต่อสู้ได้อย่างทรงประสิทธิภาพ จากนั้นทำให้อีกฝ่ายเกิดความ มลังเลสงสัย ในพริบตาที่โจมตี ขอแค่เกิดความลังเลเล็กน้อย ก็ไม่มีทางระเบิดพลังที่แท้จริงออกมาได้ ทำให้เกิดความแตกต่างของชัยชนะในตอนสุดท้ายทันที
วิชาหมัดวิชานี้ร้ายกาจนั้นร้ายกาจ แต่ข้อจำกัดก็ชัดเจนมากเหมือนกัน
ลู่เซิ่งกดปุ่มปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
การปรับตัวเข้ากับกฎของร่างกายดีกว่าช่วงก่อนเล็กน้อย แม้โลกใบนี้จะมีการสะกดค่อนข้างโหด แต่เขาเป็นใคร
สุดยอดราชันที่ไปยังโลกอื่นๆ มานับครั้งไม่ถ้วน ยอดคนท่ามกลางเหล่ามารสวรรค์
เขาที่เป็นคนไม่กี่คนที่เก่งกาจในด้านปรับตัว ย่อมจัดการเรื่องนี้ได้สบายๆ
‘น่าจะทดลองข้ามขีดจำกัดของวิชาหมัดได้แล้ว’
ลู่เซิ่งหลับตาลง กรอบของดีปบลูยังคงลอยอยู่ที่เดิม
ทักษะวรยุทธ์นับไม่ถ้วนเคลื่อนผ่านสมองของเขาอย่างรวดเร็ว ประสานกับโครงสร้างร่างกายมนุษย์บนโลกใบนี้ รวมถึงนิยามหลักของวิชาหมัดลอบสังหารสายลวงจิต
อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทิศทางและต้นแบบที่ลู่เซิ่งหวังจะไปถึงก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างในสมองของเขา
‘ดีปบลู พัฒนาหมัดลอบสังหารสายลวงจิตไปยังระดับถัดไป!’
ลู่เซิ่งออกคำสั่ง
ดีปบลูสั่นไหวน้อยๆ ก่อนจะพร่ามัว
ระบบ ความรู้ และประสบการณ์มากมายด้านมรรคายุทธ์ในสมองของลู่เซิ่ง แก่นแท้นับไม่ถ้วน รวมถึงกระบวนท่า วิชาลับ และทักษะนับไม่ถ้วนที่เหมาะจะใช้บนโลกใบนี้ถูกคัดเลือก เพื่อเรีย ยนรู้สภาพที่เป็นไปได้ในขั้นถัดไปของหมัดลอบสังหาร
ความรู้มรรคายุทธมากมายเริ่มพัฒนาขอบเขตใหม่ของหมัดลอบสังหารสายลวงจิตตามแนวโน้มและอิทธิพลทางจิตใจของร่างหลัก
พลังอาวรณ์ถั่งโถมออกมาจากทรวงอกของลู่เซิ่ง แล้วไหลไปยังทุกส่วนของร่างกายเหมือนสายน้ำเย็นฉ่ำ
หลายนาทีต่อมา
กรอบกลับมาชัดเจนเหมือนเดิม
‘[หมัดลอบสังหารสายลวงจิต: ระดับสิบ (คุณสมบัติ: สิบแหวนลวงจิต)]’
ลู่เซิ่งรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากการที่พลังอาวรณ์กำลังส่งเสริมและหล่อเลี้ยงร่างกาย เขาหงายหลังเล็กน้อย กระดูกทั้งตัวส่งเสียงดังลั่นกร๊อบแกร๊บ
ความแตกต่างระหว่างระดับสิบที่พัฒนาออกมาและระดับเก้าคือ พละกำลังถูกเขาเน้น เทียบกับก่อนหน้านี้ที่ไม่มีการยกระดับพละกำลัง พละกำลังและการป้องกันที่ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น นมีการยกระดับอย่างใหญ่หลวงในสภาพระดับสิบ
ความเร็วเพิ่มถึงขั้นออกหมัดได้เก้าหมัดในหนึ่งวินาที และภายใต้การหล่อเลี้ยงของพลังอาวรณ์ เขาในตอนนี้เท่ากับฝึกฝนวิชาหมัดระดับสิบมาหลายสิบปี
ร่างกายกำลังถูกเคี่ยวกรำภายใต้การฝึกฝนเป็นเวลาสิบปี ไปถึงขอบเขตผสมผสานที่หลอมรวมกับพลังหมัดได้ดีที่สุด
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือทักษะคุณสมบัติที่โผล่ออกมาใหม่ สิบแหวนลวงจิต
ชื่อนี้เป็นชื่อที่ดีปบลูตั้งจากคำสำคัญในรายชื่อของวิชาต่อสู้อ้างอิง
เนื่องจากวิชาหมัดลวงตาเมื่อก่อนหน้าใช้งานได้ยากเกินไป ลู่เซิ่งจึงทำการแก้ไขวิชาหมัดที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ในระดับหนึ่ง
สิบแหวนลวงจิตเป็นทักษะหนึ่งที่วิชาหมัดระดับสิบที่เขาปรับปรุงสร้างขึ้นมาเอง
‘ควรไปทดสอบดูหน่อย’
ลู่เซิ่งปิดหน้าต่าง หยิบปลอกนิ้วออกมาจากกระเป๋าเสื้อ สวมบนนิ้วซ้ายเบาๆ
คุณสมบัติร่างกายของเขาที่มาถึงระดับสิบ ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้ว ปลอกนิ้วจึงแน่นอยู่บ้าง
พรึ่ด
ลู่เซิ่งรัดเข็มขัดด้านล่างปลอกนิ้ว
มีเสียงฉึกดังขึ้นเบาๆ หนามแหลมแทงเข้าไปในร่องเล็บของลู่เซิ่ง
ความเจ็บปวดกลบความรู้สึกทั้งหมดของลู่เซิ่งเหมือนกระแสน้ำ
ด้านหน้าเขาพลันพร่ามัว
ห้องยามที่เมื่อครู่ยังมืดครึ้มและอับชื้น กลายเป็นห้องไม้ทรงกลมที่เหมือนกับเพิงของนายพรานซึ่งทำจากไม้ล้วนๆ
กองไฟในเตาเผามอดดับ บนโต๊ะวางกับข้าวสามอย่างซุปหนึ่งอย่าง เพียงแต่ผักในซุปขึ้นราแล้ว
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งประหลาดใจที่สุดก็คือ มีภาพคนสองภาพวางอยู่บนเก้าอี้สองตัวข้างโต๊ะกินข้าว
ทางซ้ายคือภาพสเก็ตผู้หญิงที่ลายเส้นเนียนละเอียด เธอมีผมยาวสีดำ ตาโต สวมกระโปรงสีเหลืองอ่อน
ทางขวาคือเด็กชายผมทองที่นั่งอย่างเรียบร้อย องคาพยพที่หมดจดทำให้เขาดูเหมือนตุ๊กตา
ทันใดนั้นก็มีเสียงกระซิบดังขึ้น เหมือนผู้หญิงจำนวนมากกำลังพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ ดังมาจากด้านหลังลู่เซิ่ง
เขาหันไปมอง
นอกหน้าต่างด้านหลังเขามีผู้หญิงผิวดำสนิทคนหนึ่งยืนอยู่
หัวของผู้หญิงเป็นสิ่งผิดปกติที่เกิดจากการเอาหัวคนหลายข้างมาผสมกัน คล้ายโคลนดำกองใหญ่วางอยู่บนร่างผอมเพรียว
ศีรษะใหญ่โตนั้นมีขนาดเท่าอ่างล้างหน้า ซ้ายขวาบนล่างเห็นตา ปาก และจมูกที่งอกออกอย่างไร้ระเบียบได้อย่างชัดเจน
ราวกับใบหน้าของคนห้าหกคนผสมรวมกัน
เสียงหัวเราะคิกๆ ดังมาจากสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
มันเพ่งจ้องมองลู่เซิ่ง สองมือยื่นมาจับสองด้านของหน้าต่าง คิดจะมุดเข้ามา
‘สายพันธุ์ใหม่เหรอ’ ลู่เซิ่งถอยหลังก้าวหนึ่ง หยิบเก้าอี้ด้านข้างขึ้นมาทุ่มใส่อีกฝ่ายอย่างแรง
เปรี้ยง
เก้าอี้แตกเป็นเสี่ยง สัตว์ประหลาดนั่นไม่ไหวติง มุดเข้ามาในห้องยามต่อ
‘ได้เวลาลองกระบวนท่าระดับสิบพอดี’ ลู่เซิ่งถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณร่างกาย ปลายนิ้วของสองมือสัมผัสกันเบาๆ แล้วหลับตา
เสียงแผ่วเบาที่เหมือนกับเสียงพึมพำดังออกมาจากปากเขา เสียงนั้นดังๆ เลือนๆ
ในที่สุดสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเป็นผู้หญิงหัวโตก็มุดเข้ามาในห้องยามจนได้ จากนั้นก็ตะปบมือใส่ลู่เซิ่งอย่างรุนแรง
เปรี้ยง
สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ มือของมันหักเลี้ยวกลางอากาศไปชนใส่ผนังของเพิงไม้ด้านข้าง
ลู่เซิ่งลืมตาช้าๆ ในดวงตาสองข้างเหมือนมีวังวนสีขาว วังวนนั้นเกิดจากจุดสีขาวเล็กๆ นับไม่ถ้วน ม่านตาตรงกลางสุดเป็นสีม่วงอ่อนๆ กลุ่มแสงแน่นขนัดขยับเคลื่อน แค่มองดูก็ทำให้เ เกิดความรู้สึกทรมานยากทนทาน
เปรี้ยงๆๆๆ!
สาวหัวโตส่งเสียงครวญครางราวเจ็บปวด โจมตีใส่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวลู่เซิ่งอย่างคลุ้มคลั่ง
มันมีแรงเยอะมาก ทุบโต๊ะไม้ ผนัง และพื้นเป็นหลุมได้อย่างง่ายดาย
แต่ไม่ว่าเธอจะโจมตีอย่างไร สภาวะการโจมตีที่ส่งออกไปจะโดนใส่จุดอื่นรอบๆ ตัวลู่เซิ่งอย่างน่าพิศวง
ลู่เซิ่งวางมือลง ปากยังส่งเสียงที่แปลกประหลาดและซับซ้อน วังวนสีขาวในดวงตายังหมุนวนไม่หยุด
สาวหัวโตคนนั้นเริ่มโซเซไปมาเหมือนคนเมา
อย่าว่าแต่โจมตี แค่จะยืนให้มั่นยังทำไม่ได้
ลู่เซิ่งเดินผ่านข้างมันไป ก่อนจะกล่าวคำสองสามคำสุดท้ายออกมา
ในที่สุดสาวหัวโตก็ล้มกับพื้น สลบไสลไม่ขยับเขยื้อน
ลู่เซิ่งไม่คิดจะสัมผัสสัตว์ประหลาดเหล่านี้ส่งเดช โดยเฉพาะสัตว์ประหลาดในโลกแห่งความเจ็บปวด ใครจะรู้บ้างว่าที่นี่มีเชื้อโรคติดต่อชนิดใหม่หรือไม่ การใช้มือโจมตีโดยตรงออกจะโง่ ไปบ้าง
เขาเดินออกจากห้องยาม ตรงไปยังทางออกของตึกสำนักงาน
ห้องยามตั้งอยู่ในสวนเล็กๆ ชั้นล่างของตึกสำนักงาน พอออกมาจะเจอประตูนอกสวนทันที
เดินออกมาถนน วังวนสีขาวในตาลู่เซิ่งก็ค่อยๆ หายไป
เขาหันกลับไปมองด้านหลัง สาวหัวโตยังหอบหายใจอยู่บนพื้น เวลานี้ร่างกายหลอมละลายลงไปในพื้นอย่างแปลกประหลาดแล้วครึ่งหนึ่ง
‘สิ่งมีชีวิตที่รับโสตประสาทและจักษุประสาทได้ เผชิญกับการโจมตีจากสิบแหวนลวงจิตซึ่งหน้า ไม่ได้แน่’
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าประสิทธิผลของสิบแหวนลวงจิตน่าตกใจเช่นกัน
ด้านหน้ามีอัศวินขาวสองนายเดินมาพอดี
ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก จะได้ทดสอบพลังต่อสู้ในตอนนี้ของตัวเองแล้ว ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าระดับเก้าราวเจ็ดส่วน พละกำลังและการป้องกันได้รับการส่งเสริมอย่างใหญ่หลวง
พลังในความเป็นจริงอยู่ในช่วงเวลาที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เขาจุติมา
เขาเดินเข้าใกล้อัศวินขาวคนหนึ่ง ตอนที่อยู่ห่างจากอีกฝ่ายหลายเมตร ลู่เซิ่งก็พลันพุ่งไปฟันแขนขวาใส่ข้อมือที่ถือกระบี่ของอัศวินขาวอย่างหนักหน่วงเหมือนดาบ
เคร้ง!
กระบี่ยักษ์ของอัศวินขาวกับเกราะบนมือพันติดกันอย่างเหนือความคาดหมาย เหมือนรากไม้สานเกี่ยวกันไม่ชัดเจน
การโจมตีนี้ของลู่เซิ่งหนักหน่วงทรงพลังจนทำให้อัศวินขาวที่กำลังยกกระบี่แน่นิ่งไป
แม้พละกำลังของเขาในตอนนี้จะยังสู้อัศวินขาวไม่ได้ แต่ก็แตกต่างกันไม่มาก สามารถทำให้การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งต่อยหมัดใส่นิ้วที่กำกระบี่ยักษ์ของอัศวินขาวอีกครั้ง
เวลานี้เขาเร็วกว่าอีกฝ่ายอย่างยิ่ง อัศวินขาวโต้กลับหลายครั้ง แต่ก็สัมผัสชายเสื้อลู่เซิ่งไม่ได้
หลังต่อยใส่ตำแหน่งเดิมซ้ำๆ ในที่สุดก็เกิดเสียงดังแกร๊ก กระบี่ยักษ์หล่นลงพื้น ถูกลู่เซิ่งหยิบมาถือไว้
“กระบี่ลอบสังหารไร้เสียง” ลู่เซิ่งจับขอบคมกระบี่ มือหนึ่งจับด้ามแน่น พร้อมฟันใส่อัศวินขาวที่พุ่งเข้ามาทันที
ฉัวะ
คมกระบี่สั่นไหวน้อยๆ หลบอัศวินขาวที่พุ่งมาได้อย่างน่าประหลาดใจ แล้วแทงเข้าไปในเกราะอกของอัศวินขาว
กระบี่ยักษ์ปักลึกเข้าไปเกือบถึงหนึ่งในสาม เลือดสีแดงเข้มซึมออกมาผ่านร่องระหว่างเกราะ