ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1109 สร้าง (1)
สวบ
กระบี่ยักษ์ถูกถอนออกพร้อมเลือด
ลู่เซิ่งควงกระบี่ ถีบร่างอัศวินขาว
เปรี้ยง อัศวินขาวเซถอยหลังสองก้าว แต่ยังรักษาสมดุลได้ พุ่งมาหาเขาต่อ
ลู่เซิ่งออกแรงสองมือ ฟันท่ากระบี่ลอบสังหารไร้เสียงใส่อีกรอบ
ฉัวะ!
กระบี่นี้ฟันร่างท่อนบนของอัศวินขาวขาดเป็นสองท่อน
ลู่เซิ่งควงกระบี่แทงใส่บาดแผลเดิมอย่างแม่นยำ ในที่สุดก็แยกร่างอีกฝ่ายจากหนึ่งเป็นสองผ่านบาดแผล
แต่ต่อให้จะเป็นเช่นนี้ ความทนทานทางร่างกายของอัศวินขาวก็ยังอยู่เหนือความคาดหมายของเขา
เขาต้องใช้พลังแทบทั้งหมดถึงจะฟันอัศวินขาวขาดเป็นสองท่อนได้
ตึงๆ
ท่อนล่างของอัศวินขาวพุ่งไปด้านหน้าสองก้าว ในที่สุดก็แน่นิ่ง
เลือดไหลออกมาตามร่างส่วนที่ขาดของมัน อวัยวะภายในสีแดงก่ำบางส่วนปลิ้นออกมาพร้อมกระแสความร้อน เหมือนกับขวดที่บรรจุสิ่งของเอาไว้
ลู่เซิ่งนั่งก้มลงตรวจสอบร่างกายอัศวินขาว แต่ไม่เจออะไรที่มีค่า
เขาคิดจะถอดหมวกเกราะของอัศวินขาวออกมา เกราะถูกเขาฟันแตกไปแล้ว แต่หมวกเกราะน่าจะยังใช้ได้
แต่เหมือนหมวกเกราะจะเชื่อมกับส่วนศีรษะของอัศวินขาว จึงดึงไม่ออก
ลู่เซิ่งทดลองถอดถุงมือ
ถุงมือโลหะสีขาวที่เชื่อมไปถึงแขนท่อนปลายกลับถอดออกมาได้สบายๆ เพียงแต่ส่งกลิ่นเหม็น
เขาหยิบถุงมือสองข้างขึ้นมา แล้วฉีกผ้าตรงชายเสื้อด้านล่างมาพันไว้
จากนั้นก็ลุกขึ้น กวาดตามองซ้ายขวา ตอนสู้กับอัศวินขาวเมื่อก่อนหน้านี้ อัศวินขาวนายอื่นๆ ไม่ตอบสนอง
‘ขอแค่ไม่เข้าไปในระยะปลอดภัยของพวกมัน ก็จะไม่มีการตอบสนองใดๆ เลยเหรอ’ ลู่เซิ่งฉุกใจ
เขากวาดตามองอัศวินขาวคนอื่นๆ บนถนนรอบๆ อย่างน้อยมีอัศวินหกนายที่เดินเนิบนาบอยู่
ลู่เซิ่งหาอาคารหลังหนึ่งริมถนนแล้วพังประตูเข้าไป นำถุงมือออกมาล้างน้ำ หลังเช็ดอย่างสะอาดค่อยลองใส่ดู
ถุงมือใหญ่ไปเล็กน้อย แต่ไม่ส่งผลต่อการใช้งาน
เขาทดสอบดู พลังป้องกันไม่เลวจริงๆ อย่างน้อยคนธรรมดาฟันมีดด้วยแรงทั้งหมดก็เพียงทิ้งรอยขาวไว้เท่านั้น ซ้ำยังมีพลังฟื้นฟูตัวเองในระดับหนึ่งด้วย
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ จากนั้นก็ไปถอดเกราะเท้าของอัศวินขาวนายนั้นออกมาล้างๆ พอเช็ดแห้งแล้วก็เอามาใส่
ใหญ่ไปหน่อย แต่เขาใช้ทักษะอย่างวิชาหดกระดูกปรับแต่งเล็กน้อยก็พอดี
หลังจากทำความเข้าใจโครงสร้างร่างกายของมนุษย์บนโลกใบนี้ การฝึกฝนทักษะเล็กๆ อย่างวิชาหดกระดูกก็เพียงแค่สิ้นเปลืองพลังอาวรณ์ยี่สิบสามสิบหน่วยเท่านั้น ไม่นับเป็นอะไรสำหรับล ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งที่สวมอุปกรณ์ของอัศวินขาวเดินไปยังทิศทางของห้องใต้ดิน
เขาหลบเลี่ยงอัศวินขาวตลอดทาง ก่อนกลับถึงทางเข้าห้องใต้ดิน
ลู่เซิ่งเปิดประตู กองไฟในห้องใต้ดินดับลงเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ จดหมายสีขาวที่สะดุดตาฉบับหนึ่งวางอยู่ข้างกองไฟ ตัดกับถ่านสีดำอย่างชัดเจน จึงดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
ลู่เซิ่งชะงักเล็กน้อย ถอนใจทีหนึ่ง สุดท้ายก็เดินไปหยิบกระดาษ
บนกระดาษคือข้อความของถังเอิน
‘เกิดเรื่องด่วน พี่คาโปต้องจัดการธุระ จำเป็นต้องไปทันที โทมัส ผมทิ้งของที่จำเป็นให้คุณไว้ในห้องใต้ดินบางส่วน อย่าลืมเอาไปด้วยล่ะ ในเวลาต่อจากนี้พวกเราจะไปยังอาโซม ผม วาดที่อยู่ให้คุณแล้ว ที่นั่นเป็นจุดรวมพลมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุด ต้องมาให้ได้นะครับ ทางที่ดีอย่าเปิดใช้สัมผัสความเจ็บปวดในการเดินทาง พี่คาโปเคยบอกผมว่า การเปิดสัมผัสคว วามเจ็บปวดจะมอบเส้นทางที่มีอันตรายทำร้ายพวกเราให้จำนวนไม่น้อย’
ด้านล่างกระดาษวาดแผนที่หยาบๆ เอาไว้ แต่ก็ดูใส่ใจอย่างยิ่ง
ลู่เซิ่งพลิกหาตรงมุมห้องใต้ดิน เจอห่อสิ่งของสีดำห่อหนึ่ง
เขาแก้เงื่อนของห่อสิ่งของเบาๆ ของสามสิ่งกระจายออกมาจากด้านใน
เม็ดยาเล็กๆ สีขาวที่บรรจุอยู่ในขวดแก้วโปร่งแสง ใช้ปากกาเขียนติดว่ายาห้ามเลือด
แหวนสีดำที่ไม่รู้ใช้ทำอะไรวงหนึ่ง บนแหวนสลักเค้าโครงหยาบๆ ที่รูปร่างเหมือนค้างคาวเอาไว้
ยังมีกุญแจสีเงินอีกดอกหนึ่ง
ใต้กุญแจมีกระดาษวางอยู่แผ่นหนึ่ง
ลู่เซิ่งหยิบขึ้นมาคลี่อ่าน
‘แหวนเป็นสัญลักษณ์ทางเข้าที่เอาไว้เข้าอาโซม และเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้เข้าสู่สัมผัสความเจ็บปวดได้ กุญแจจะยืดผลของปานบนตัวคุณให้ช้าลง แต่จงจำไว้ให้ดีว่าตอนที่มันกลายเป็น นสีดำโดยสมบูรณ์ ให้มุ่งหน้าไปยังอาโซม ที่นั่นมีวิธีรักษาถาวร’
ลายมือไก่เขี่ย เห็นได้ชัดว่าถังเอินเร่งรีบมากตอนเขียน
‘ใส่ใจกันดีจริง’ ลู่เซิ่งถอดปลอกนิ้วออกแล้วใส่แหวนแทน
แหวนให้ความรู้สึกเย็นเยียบ เหมือนทำจากโลหะ หนักอึ้งถึงขีดสุด ตอนเพิ่งใส่ไม่มีความรู้สึกใด แต่ผ่านไปอีกสองสามวินาที ก็รู้สึกได้ว่าตำแหน่งที่สวมแหวนเริ่มร้อนลวกจนเจ็บ
ลู่เซิ่งถือโอกาสถอดปลอกนิ้วแล้วโยนทิ้ง จากนั้นด้านหน้าก็พร่ามัว สัมผัสความเจ็บปวดจากแหวนเข้ามาแทนที่
‘ไม่เลวนี่นา’ ขณะสัมผัสความเจ็บปวดรุนแรงซึ่งส่งมาจากตำแหน่งที่แหวนอยู่อย่างไม่ขาดสาย ลู่เซิ่งก็พยักหน้าอย่างพอใจ
จากนั้นเขาก็ใช้กระเป๋าผ้าบรรจุเม็ดยาในขวดแก้วกับกุญแจ รอยปานบนตัวกำลังหายไปด้วยตัวเอง เขาจึงไม่คิดจะใช้กุญแจ คิดดูก็รู้ว่าของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกคาโปมอบให้ถังเอิน ใครจะรู้ว่าวางกลไกอะไรเอาไว้หรือไม่
หลังเก็บของเรียบร้อย ลู่เซิ่งก็เดินสำรวจห้องใต้ดินรอบหนึ่ง นอกจากอาหารห่อหนึ่งที่ทิ้งไว้ให้เขาแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรอีก
ส่วนกองไฟ เขารู้วิธีจุดมาจากถังเอินแล้ว ของสิ่งนี้ต้องให้ผู้ทับซ้อนรวบรวมสมาธิอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงถึงจะจุดสำเร็จ
นอกจากนี้ทุกๆ วันต้องมีผู้ทับซ้อนมาเพ่งสมาธิไว้ที่กองไฟ
กองไฟจะทำให้วิญญาณอ้อมผ่านไป และสามารถขับไล่อันตรายมากมายที่ไม่รู้จักในความมืดได้
แต่ในเมื่อไม่มีวิธีจุด ลู่เซิ่งก็ไม่ฝืน
หลังยืนยันแล้วว่าในห้องใต้ดินไม่เหลืออะไรอีก เขาก็ออกจากประตู เงยหน้ามองท้องฟ้า มืดครึ้มอึมครึม ดูเหมือนจะเย็นแล้ว
“อา”
จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงที่เหมือนกำลังร้องเพลงดังมาจากถนนข้างขวา
ลู่เซิ่งหนังศีรษะชา ขนลุกขนพอง รีบมองไปยังต้นเสียงทันที
ไกลออกไป เขาเห็นร่างโปร่งแสงขนาดใหญ่ร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนที่มาทางนี้
นั่นเป็นผู้หญิงเสื้อขาวร่างใหญ่ที่สูงถึงสิบกว่าเมตร
เพียงแต่ด้านหลังของเธอมีแขนสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนโบกไปมา แขนพวกนี้เคลื่อนไหวสะเปะสะปะเหมือนกับหนวด ราวกับกำลังคว้าจับอะไรบางอย่างจากความว่างเปล่ารอบๆ
บนตัวหญิงเสื้อขาวเหมือนสวมชุดสีขาว แต่ความจริงเป็นโคลนสีขาวที่ขยับขยุกขยิก ยังเห็นแมลงตัวเล็กๆ มุดเข้ามุดออกอย่างแน่นขนัดจากด้านในได้
แมลงตัวเล็กๆ จำนวนเหลือคณานับบินวนเวียนอยู่รอบหญิงชุดขาวร่างมหึมา ตามมาด้วยเสียงประหลาดที่เหมือนนักแสดงละครเวทีหญิงร้องเพลง
สัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้เข้ามาใกล้ทางนี้อย่างเชื่องช้า
เหล่าอัศวินขาวบนถนนยังคงเดินอย่างไร้สติ เท้าของหญิงชุดขาวคนนั้นทะลุผ่านตัวพวกเขาไปเหมือนกับเงาลวงตา ไม่เกิดการชนกัน
‘เจ้าตัวนี้โผล่มาจากไหนกัน’ ลู่เซิ่งรู้สึกหนังศีรษะชาโดยสัญชาตญาณ ร่างหลักที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจส่งเสียงเตือนอย่างเร่งร้อน
เขาหมุนตัวหลบหนีโดยไม่คิดอะไรมากความ พุ่งไปยังทิศทางตรงข้ามกับหญิงชุดขาว
ฟ้าว!
ทันใดนั้นก็มีเงาดำร่างหนึ่งปรากฏแวบขึ้น
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้นมอง เห็นมือนับไม่ถ้วนด้านหลังหญิงชุดขาวจับงูหลามยักษ์สีดำตัวหนึ่งเอาไว้แน่น
ดวงตาของงูหลามแสดงอารมณ์สิ้นหวังเหมือนมนุษย์ บนตัวมันโชยกลิ่นที่เข้มข้นหลายสายและลู่เซิ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดี
กลิ่นอายมารสวรรค์…
ลู่เซิ่งเพิ่งจะรู้ว่าอีกฝ่ายมาจากไหน ก็เห็นงูดำตัวนั้นถูกชูขึ้นด้านบน
ตูม!
มือนับไม่ถ้วนออกแรงฉีกอย่างเมามัน งูดำถูกฉีกเป็นเนื้อสับเหลือคณานับ แล้วกระจายไปรอบๆ เหมือนห่าฝนเลือด
“ทำไมข้าถึง…ใช้พลังของตัวเอง…ไม่ได้กัน…?!”
ศีรษะสีดำหนึ่งในสามส่วนปลิวลงมา กลิ้งมาถึงพื้นใกล้ๆ ลู่เซิ่ง ส่งเสียงสั่นสะเทือนทางจิตครั้งสุดท้าย
ลู่เซิ่งตกใจก่อนจะออกห่างด้วยความเร็วสูง
เขาแยกแยะกลิ่นอายมารสวรรค์บนตัวงูดำตัวนั้นออกว่า อีกฝ่ายอยู่ในระดับไหน
อย่างน้อยต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับมายาพิศวง!
ส่วนจะอยู่ในขอบเขตไหนเขาไม่รู้แล้ว แต่ต่อให้จะเป็นมารสวรรค์มายาพิศวง ตอนที่ถูกกดดันอย่างมากสุดก็เผยร่างหลักออกมาแล้วถูกทำร้ายออกจากโลกใบนี้ได้
ไม่ควรตกต่ำอย่างอนาถขนาดนี้
มารสวรรค์มายาพิศวงที่ทำลายดาวเคราะห์ได้ในโลกมารสวรรค์กลับตายในเมืองเล็กๆ บนโลกใบนี้อย่างไร้สัญญาณแบบนี้น่ะหรือ
ลู่เซิ่งย้อนนึกถึงความรู้สึกหนังศีรษะชาตอนตนเห็นหญิงชุดขาว แม้แต่ร่างหลักก็ยังรู้สึกว่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้มีอันตรายถึงชีวิตแก่เขา
สถานที่แห่งนี้แปลกประหลาดและอันตรายขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ
เขาวิ่งเป็นระยะทางหนึ่ง หลังจากไม่ได้ยินเสียงประหลาดด้านหลังแล้ว ค่อยหาที่พักผ่อน
เขาวิ่งมาถึงถนนเขตโบสถ์ดำโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกคุกคามที่เดี๋ยวมีเดี๋ยวหายจากบริเวณรอบๆ ทำให้เขาแสบผิวราวกับถูกเข็มทิ่ม
‘ดูเหมือนจะอยู่นี่ไม่ได้แล้ว’ ลู่เซิ่งรีบถอดแหวนออก ภาพที่เห็นตรงหน้าพลันบิดเบี้ยวด้วยความเร็วสูง
สีดำทั้งหมด สิ่งก่อสร้างทั้งหมด ท้องฟ้า ต่างก็ถอดผิวชั้นนอก กลับมาเป็นสิ่งก่อสร้างตามปกติ
รอลู่เซิ่งได้สติกลับมา เขาก็มายืนอยู่บนถนนใหญ่ที่มีรถเบียดเสียดกันเส้นหนึ่ง
หน้าหลังคือรถที่ไปไหนไม่ได้ วัชพืชงอกออกมาระหว่างรถ ทำให้ดูเปล่าเปลี่ยวยิ่งกว่าเดิม
เขากวาดตามองรอบๆ เมื่อไม่พบร่องรอยของหญิงชุดขาวคนนั้น ค่อยโล่งอก
‘ที่นี่คือที่ไหน’ ลู่เซิ่งจำแนกอย่างคร่าวๆ ดูตามแผนที่ที่จำเอาไว้ เขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่
ไม่นานนัก ป้ายโฆษณาพร่ามัวที่ตัวหนังสือเลือนไปบ้างป้ายหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของเขา
ป้ายโฆษณาล้มอยู่บนพื้น บนนั้นวาดนิ้วโป้งที่ตั้งขึ้น ข้างๆ มีตัวหนังสือแถวหนึ่ง
‘เฟนเนอร์เบอร์เกอร์ สาขากาฟอล’
‘กาฟอลหรือ’
ลู่เซิ่งงุนงง เขาที่เคยอ่านแผนที่มาก่อนรู้ว่ากาฟอลเป็นเมืองที่อยู่ติดกับมาร์น สถานที่ที่เขาจุติลงมาก่อนหน้านี้
แม้จะเป็นเมืองข้างเคียง แต่กลับห่างกันอย่างน้อยห้าหกสิบกิโลเมตร
‘ตอนที่วิ่งเมื่อกี้ เราวิ่งมาห้าสิบกว่ากิโลเมตรเลยเหรอ’ ลู่เซิ่งรู้สึกผิดปกติ
เขาตามหาป้ายโฆษณาจากบริเวรอบๆ ในที่สุดเขาก็ยืนยันได้จากที่อยู่บนป้ายโฆษณาจำนวนไม่น้อยว่า ที่นี่คือกาฟอลจริงๆ
ฟ้าค่อยๆ มืดลง
ลู่เซิ่งเข้าไปหาอาหารในร้านอาหาร แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คืออาหารทั้งหมดของที่นี่เหมือนถูกคนขนไปก่อนแล้ว
นอกจากถุงไม่กี่ถุง เขาก็ไม่ได้อะไรเลย
ในที่สุดฟ้าก็มืดโดยสมบูรณ์