ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1110 สร้าง (2)
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ในโถงร้านมองผ่านกระจกโชว์ไปยังถนนของเมืองที่เงียบสงัดด้านนอก
ระบบจ่ายไฟของเมืองแห่งนี้เหมือนจะเสียหายไปแล้ว ไฟเปิดไม่ได้ น้ำเองก็ไม่มี
ลู่เซิ่งได้แต่พักผ่อนสักพัก พรุ่งนี้จะออกไปตรวจสอบรอบๆ แต่เช้าตรู่ ดูว่าจะหาของกินได้ไหม
อาศัยของกินที่เขาพกติดตัว อย่างมากสุดก็กินได้แค่สองวัน
ไม่มีเสียงคนคุย ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใดๆ ถึงขั้นไม่มีเสียงแมลงด้วยซ้ำ
ลู่เซิ่งนั่งในความมืดคนเดียว นอนหงายพิงโซฟาหนังตัวยาวในร้าน ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงสมาธิ
ร่างกายจะปรับตัวเข้ากับหมัดลอบสังหารระดับสิบได้อย่างสมบูรณ์ในอีกสามวัน จากนั้นถึงจะดำเนินการยกระดับขั้นต่อไปได้
เวลาค่อยๆ เลื่อนไหล
จากนั้นลู่เซิ่งก็นั่งสมาธิเสร็จ ก่อนจะหลับไปโดยไม่รู้ตัว
แม้จะเป็นเพียงการหลับตื้นๆ ขอแค่ด้านนอกมีการคุกคามเล็กน้อยเขาก็จะตื่นมาป้องกันได้ทันที
ทว่าสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือเขากลับฝัน
ในความฝัน เขายืนอยู่ใต้ดวงอาทิตย์สีดำดวงมหึมา
ดวงอาทิตย์สีดำดวงนั้น แค่เงยหน้าก็มองเห็นได้ว่ากำลังปล่อยไอเย็นเยียบเสียดกระดูกออกมาอย่างต่อเนื่อง
ดวงอาทิตย์สีดำดวงนั้นเหมือนจะกำลังตกลงมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเกือบจะถูกแช่แข็งเป็นแท่งไอศกรีม
พึ่บ…
ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ลู่เซิ่งถูกแสงอาทิตย์อ่อนๆ ส่องหนังตา ทำให้ตื่นขึ้นมาเอง
เขาพลิกตัวลุกขึ้น กินคุกกี้และน้ำสะอาดที่พกมา จัดเสื้อผ้า จากนั้นก็ไปสำรวจที่ส่วนลึกของกาฟอล
ไม่นานเขาก็เจอรถตู้ที่อยู่ในสภาพดี จึงขนถังน้ำมันหลายถังจากปั๊มน้ำมันมาไว้บนรถ แล้วเริ่มออกค้นหาอาหารรอบๆ เมือง
สิ่งที่เขาได้เจอเมื่อก่อนหน้านี้ทำให้เขาตระหนักรู้ว่า ก่อนที่พลังจะสูงถึงระดับหนึ่ง หากคิดจะสร้างฐานที่มั่นที่มั่นคงขึ้น แทบเป็นคนปัญญาอ่อนเพ้อฝัน
อย่างอื่นไม่พูดถึง แค่หญิงชุดขาวคนนั้นก็ทำลายทุกสิ่งได้อย่างง่ายดาย ทำให้ความพยายามที่เขาใช้ไปละลายไปกับแม่น้ำได้แล้ว
ลู่เซิ่งไม่ได้เข้าสู่สัมผัสความเจ็บปวดเป็นเวลาสองวันติดกัน ต่อให้จะเป็นเขาในตอนนี้ ที่นั่นก็อันตรายเกินไป
ไม่นาน ลู่เซิ่งก็เจออาหารแห้งและน้ำดื่มในตู้ใหญ่สองตู้กลางซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของกาฟอล รวมถึงอาหารเสริมส่วนหนึ่งซึ่งเอามาใช้ป้องกันโรคขาดวิตามิน
จากนั้นเขาก็ขับรถตู้สีดำไปยังทางอาโซมตามแผนที่ด้วยความเร็วสูง
หลังออกจากกาฟอล รถที่จอดอยู่บนถนนก็บางตาลง และพบเจอสิ่งก่อสร้างและอาคารสองข้างทางได้เป็นบางครั้งเท่านั้น
สิ่งที่มาแทนที่คือทุ่งหญ้ารกร้าง
เขาขับรถไปตามถนนบนแผนที่ตลอดทั้งวัน
ไม่มีอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ก็ใช้ไม่ได้ ตอนที่ลู่เซิ่งรวบรวมของกิน ยังได้เพิ่มแผงโซลาร์เซลล์ไว้บนหลังคารถ เพื่อใช้ชาร์จไฟฟ้าชั่วคราว
เขาขับรถไปถึงตอนบ่ายของวันที่สาม
ท้องฟ้าค่อยๆ มึดครึ้มลง
ด้านข้างถนนด้านหน้าปรากฏปั๊มน้ำมันขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ลู่เซิ่งลดความเร็วและกดแตรตามความเคยชิน
ปิ๊นๆ!
นี่เป็นการเตือนผู้รอดชีวิตว่า ทางนี้มีคนมา
ถ้าที่นี่มีคนอยู่อาศัย และได้ยินเสียง ก็จะออกมากันเอง
ต่อมาลู่เซิ่งก็เปิดประตูรถ สวมถุงเมือ เดินลงจากรถ
หลังออกจากสัมผัสความเจ็บปวด ถุงมือของอัศวินขาวก็กลายเป็นถุงมือหนังอ่อนสีขาว ไม่รู้สร้างจากวัสดุอะไร
เวลาใส่ให้ความรู้สึกร้อนเหมือนถูกกัดกร่อน แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับลู่เซิ่งผู้เสริมความแข็งแกรงให้แก่ร่างกายมาแล้ว
ปั๊มน้ำมันอาบอยู่ในแสงสลัวจากอาทิตย์อัสดง เงียบสงัดและเปล่าเปลี่ยว
ลมหอบใหญ่พัดผ่าน พัดใบไม้และใบหญ้าบนพื้นบางส่วนให้ปลิวละลิ่ว
ลู่เซิ่งถอนหายใจพร้อมกับเดินไปยังร้านขายของในปั๊มน้ำมัน
ครืด
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ พลังไฟฟ้าตรงนี้ยังใช้งานได้ ประตูอัตโนมัติค่อยๆ แยกออก ส่งเสียงดังติ๊งกังวานใส
สิ่งที่โผล่มาในเวลาเดียวกันคือปืนล่าสัตว์สีดำทะมึน เล็งมาที่จมูกลู่เซิ่ง
“อย่าขยับ!” ชายผิวดำร่างกำยำผู้มัดผมเป็นหางม้าคนหนึ่งจ่อปืนมาที่ลู่เซิ่งด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว
“โชคดีจริงๆ ดูสิ มีแกะอ้วนมาอีกตัวแล้ว! มีเนื้อเยอะขนาดนี้ พอให้พวกเราสองพี่น้องกินไปหนึ่งอาทิตย์!”
ชายผิวดำหัวเราะฮ่าๆ
ในร้านมีคนผิวขาวร่างล่ำสันอีกคนเดินมา เขาสวมกางเกงยีนส์และเชิ้ตสีขาว ถือปืนลูกซองไว้ในมือ เล็งมาที่ลู่เซิ่งเช่นกัน
“ใจเย็นก่อน ถามมันซิว่ายังมีคนอื่นมาด้วยอีกไหม!” ชายผิวขาวเลียริมฝีปากพลางกล่าวเสียงทุ้ม
ลู่เซิ่งมองคนทั้งสอง ก่อนยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ที่นี่มีแค่พวกนายสองคนเหรอ”
“อาจจะ ใครจะรู้ล่ะ ไม่แน่อีกสักสองสามวันอาจโผล่มาอีกหลายคน” ชายผิวขาวตอบด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“แล้ว พวกนายอยู่ที่นี่มีน้ำมีของกินไหม” ลู่เซิ่งถามอีก
“มีสิวะ ก็แกไง ฮ่าๆๆๆ!” ทั้งสองอดหัวเราะไม่ได้
ลู่เซิ่งกวาดตามองในร้าน บนชั้นวางของหลายแถวยังมีอาหารและเครื่องดื่มวางอยู่จนเต็ม
ชั้นวางของทั้งหกแถวยัดอาหารหลายชนิดไว้แน่น
“งั้น ขอฉันสักหน่อยได้ไหม” ลู่เซิ่งถามยิ้มๆ
“แกบ้าไปแล้วเหรอไง” ชายผิวดำเปิดเซฟตี้ปืนดังแกร๊ก
ลู่เซิ่งหัวเราะ เดินไปยังชั้นวางของ เข้าใกล้ปากกระบอกปืนที่อยู่ห่างแค่คืบอย่างไม่ยี่หร่ะ
“บ้าเหรอไง! อยู่นิ่งๆ! ฉันบอกให้อยู่นิ่งๆ ไง!”
ปัง!
ชายผิวดำลั่นไกปืนด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
กระสุนพุ่งผ่านด้านข้างลู่เซิ่ง ทะลุผิวตู้น้ำแข็งที่เป็นโลหะเป็นรูดำรูหนึ่ง
เวลานี้ลู่เซิ่งเจอถุงพลาสติกใบหนึ่ง กำลังเริ่มยัดอาหารใส่ถุงอยู่
“ทำอะไรวะ!” ครั้งนี้ชายผิวขาวทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน กราดยิงใส่ลู่เซิ่ง
ปังๆๆๆๆๆ!
กระสุนที่หนาแน่นพุ่งใส่บริเวณรอบๆ ตัวลู่เซิ่งเหมือนห่าฝน แต่สิ่งที่ประหลาดก็คือกลับยิงไม่โดนเขาสักนัดเดียว
นี่คืออานุภาพอันเหี้ยมหาญของสิบแหวนลวงจิต พริบตาที่เห็นลู่เซิ่ง สองคนนี้ก็โดนสิบแหวนลวงจิตของเขาเข้าแล้ว
ความสามารถพิเศษที่มีคุณสมบัติสะกดจิตนี้ไม่เพียงกระตุ้นให้เกิดความคลาดเคลื่อนในด้านจักษุประสาทเท่านั้น ยังกระตุ้นให้เกิดอาการหูฝาดในด้านโสตประสาทด้วย
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเสียงปืนก็หยุดลง
ชายผิวขาวยิงใส่ศีรษะของชายผิวดำตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
ไขสมองทะลัก เลือดกระจายว่อน
ชายผิวดำผุดสีหน้าตกตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยรูเลือด หงายหลังล้มตึง ปืนในมือตกลงบนพื้น
ลู่เซิ่งรวบรวมอาหารและเครื่องดื่มเสร็จแล้ว ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากประตูร้าน
ชายผิวขาวที่อยู่ด้านหลังกำลังกราดกระสุนด้วยใบหน้าคลุ้มคลั่ง
สุดท้ายเขาก็ยกปากกระบอกปืนเล็งแก้มของตัวเอง
“บังอาจแย่งของกินฉัน ไปตายซะ!”
ปัง
ทุกอย่างเงียบสงบ
ลู่เซิ่งเดินออกจากปั๊มน้ำมัน ขณะกำลังจะเดินถึงรถ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องเบาๆ
เขาชะงักฝีเท้า ก่อนใช้ประสาทสัมผัสอันปราดเปรียวกำหนดตำแหน่ง
“ใต้ดินของที่นี่”
เขาหมุนตัวกลับถึงในร้านขายของอีกครั้ง จากนั้นก็เดินเข้าห้องด้านในโดยไม่สนใจศพสองศพที่กองอยู่แทบเท้า
มุมหนึ่งของห้องที่กองสิ่งของไว้หลายกองมีฝากระดานไม้สำหรับห้องใต้ดินอยู่แผ่นหนึ่ง
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปนั่งลงเปิดฝา ด้านในมีบันไดหินทอดลงด้านล่าง
“ช่วยด้วย!”
“ช่วยด้วยค่ะ!”
“ขอร้อง!”
“ใครก็ได้!”
เสียงมากมายดังมาจากใต้ดิน
ลู่เซิ่งเดินลงไปช้าๆ ด้านล่างคือห้องใต้ดินที่กว้างขวางมาก
ในห้องใต้ดินทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีกรงเหล็กขนาดใหญ่สีดำวางอยู่หลายกรงเหมือนกับคุก
ในกรงส่วนใหญ่ขังผู้รอดชีวิตหนึ่งคนหรือสองคนเอาไว้
คนในกรงมีทั้งชายทั้งหญิง มีทั้งเด็กทั้งแก่ แต่ที่มีมากสุดคือคนหนุ่มสาว
พอลู่เซิ่งลงมา คนพวกนี้ก็ตื่นเต้น เริ่มกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งทันที
ขณะมองคนรอดชีวิตสิบกว่าคน ลู่เซิ่งก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร
“มีใครรู้ไหมว่าจะเดินทางไปอาโซมยังไง” ในดวงตาเขาปรากฏวังวนเป็นจุดขาวๆ ขนาดเล็กๆ
เสียงเงียบลงอย่างรวดเร็ว
อารมณ์ของทุกคนถูกแรงกดดันสะกดไว้อย่างบรรยายไม่ถูก ไม่กล้าส่งเสียงอีก
“ไม่มีใครรู้เลยเหรอ” ลู่เซิ่งผิดหวังเล็กน้อย
“พวกเราไม่จำเป็นต้องไปอาโซม!” ชายชราในกรงขังคนหนึ่งเอ่ยเสียงดัง “ที่นี่เป็นที่หลบภัยเร่งด่วนที่ฉันสร้างขึ้นตามลำพัง สามารถรองรับคนได้ห้าสิบคน”
“ฉันมาจากอาโซม” หญิงสาวอีกคนกล่าวเสียงแหลม “ที่นั่นมีแต่ผู้ทับซ้อนเท่านั้นถึงจะได้ทุกอย่าง หากคนธรรมดาไปอยู่ที่นั่น นอกจากจะเอาตัวรอดได้แล้ว ที่เหลือก็เหมือนแค่หมาตัวหน นึ่ง! ฉันรับที่นั่นไม่ได้เลยหนีออกมา”
“พวกบ้าวิคเตอร์มันวางยาพวกเรา!”
“จุดรวมพลขนาดใหญ่มันก็เหมือนๆ กันหมด ฉันมาจากเบอร์กา ที่นั่นก็เหมือนกัน ต่อให้ผู้ทับซ้อนฆ่าคนก็ไม่ได้รับการลงโทษใดๆ! บ้าบอสิ้นดี!”
คนที่เหลือเริ่มต่อว่าต่อขานการรีดเค้นที่จุดรวมพลแห่งอื่นทำต่อคนธรรมดา
ลู่เซิ่งได้รู้จากพวกเขาว่า เดิมทีที่นี่เป็นจุดรวมพลขนาดเล็ก ผู้นำคือชายชราที่เอ่ยปากเป็นคนแรกสุด
ชายชราชื่อปาร์คเกอร์ ปีนี้อายุเจ็ดสิบเก้าปีแล้ว เดิมทีเป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยด้านฟิสิกส์และวิศวกรรมศาสตร์ เขาสร้างที่หลบภัยชั่วคราวแห่งนี้ขึ้นร่วมกับทุกคน
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกชายผิวดำและผิวขาวที่รับตัวมาวางยา ทำให้ทุกคนสลบแล้วโยนเข้ากรงขัง
“อย่างนั้นถ้าฉันปล่อยพวกคุณออกมา ฉันจะได้อะไรล่ะ” แม้ลู่เซิ่งจะไม่ใช่คนเลว แต่ก็ไม่ใช่คนดีเช่นกัน เขาเป็นเพียงคนหนุ่มที่มีเบื้องหลังคนหนึ่ง
ไม่กระทำความเลวเอง แต่ก็ไม่ทำความดีเช่นกัน
ปล่อยคนนั้นทำได้ แต่ก็ต้องได้ผลประโยชน์มากพอก่อน
คนในกรงขังเงียบเสียงลง ทุกคนต่างมองไปยังชายชราปาร์คเกอร์
ชายชราลูบศีรษะล้านพร้อมกับยิ้มขื่นขม
“พวกเราจะยกคุณเป็นผู้นำ ฉันดูออกว่าคุณจัดการไอ้ชาติชั่วสองคนนั่นได้อย่างง่ายดาย ไอ้สองคนนั่นมีคนหนึ่งเคยประจำกองทัพเรือมาก่อน การที่คุณกำจัดพวกมันได้อย่างสบายๆ แสดงว่าต้องมีพลังแข็งแกร่งมาก”
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ
“ที่นี่มีคนฝึกสายลวงจิตไหม”
สถานะของสายลวงจิตแพร่หลายเป็นอย่างยิ่งเหมือนกับเทควันโดและยูยิตสูในโลกใบเดิม
พอเขาถาม ก็มีชายหญิงสองคนลุกขึ้นทันที
“ฉันเคยเรียน!”
“ฉันเป็นครูฝึกสายลวงจิต”
ลู่เซิ่งยิ้ม
“ความจริง ฉันเป็นปรมาจารย์การต่อสู้สายลวงจิตที่ฝึกฝนมาหลายปี เร้นกายอยู่ในภูเขาลึกมานาน ตอนนี้สังคมตกต่ำ ชีวิตสิ้นสูญ เป็นโอกาสใหญ่ที่พวกเราคนฝึกวิชาต่อสู้จะได้สร้าง งระเบียบและปกป้องวิชาต่อสู้”
ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็ทำหน้างง
ความจริงพวกเขาแค่ฝึกวิชาต่อสู้เป็นงานอดิเรกเท่านั้น แต่ว่าคนตรงหน้าเหมือนจะผิดปกติ แต่ทำเป็นเออออไปก่อนค่อยว่ากัน