ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1113 นิกายใหม่ (1)
“ธนู เขาใช้กันแบบนี้”
ลู่เซิ่งจับธนูไว้ด้วยมือข้างหนึ่งแล้วฟาดใส่ศีรษะของแมลงปีกแข็งตัวหนึ่ง
“ใส่แรงเยอะๆ เคลื่อนไหวเร็วๆ ธนูเป็นเพียงภาพลวงตาที่เราเอาไว้ทำให้คนอื่นงงเท่านั้น สิ่งที่ใช้อย่างแท้จริงคือสติปัญญา!”
ลู่เซิ่งเกร็งกล้ามเนื้อสองก้อนแล้วฟาดใส่แมลงปีกแข็ง
ตูม!
แมลงปีกแข็งถูกปลายธนูแหลมคมแทงเข้าสมอง กรีดร้องโหยหวน ล้มลงกับพื้น
สิ่งที่คร่าชีวิตมัน คือแรงอันมหาศาลที่ลู่เซิ่งฟาดใส่กรามของแมลงปีกแข็ง พละกำลังนี้ทำลายกระดองขาวไปกลุ่มใหญ่ ทำให้แมลงปีกแข็งตัวสั่นจนแทบบินไม่ขึ้น
“ตามที่ฉันได้สังเกตแมลงปีกแข็งประเภทนี้ดู การโจมตีใส่กรามของมันจะทำให้เลือดมันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนสลบไป ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องทำก็คือ ยิงธนูอยู่ไกลๆ สักสองครั้ง ให้มันคิดว่าเธอเป็นพวกโจมตีระยะไกล จากนั้นรอจนมันเข้าใกล้ ให้อัดกำปั้นใส่กรามและท้องของมัน ทำให้มันรับรู้ถึงความน่ากลัวของหมัดลอบสังหาร!”
ลู่เซิ่งถอนธนูออกมาพลางกล่าวอย่างละเอียด
อิซราที่อยู่ด้านข้างไร้แรงจะโต้ตอบ
แรงมหาศาลขนาดนี้ ขอแค่โจมตีใส่ศีรษะ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งไหนก็ทำให้สลบในพริบตาได้ทั้งนั้นแหละ…
หลังจากตามคนตรงหน้ามาสามวัน เขาก็ได้เห็นว่าสามัญสำนึกของคนคนนี้บกพร่องอย่างรุนแรงขนาดไหน
ยุ้งฉางสามแห่งรอบๆ มีด้วงขาวคอยเฝ้าอยู่ ด้วงขาวแสนน่าสงสารเหล่านี้ เป็นเพราะมีคุณสมบัติ ‘ขอแค่ไม่ตาย วันต่อมาก็คืนชีพมาใหม่ได้’ จึงถูกใช้เป็นอุปกรณ์ในการสาธิตหมัดลอบสัง งหารให้เขาดู
“เอาล่ะ วันนี้พอเท่านี้ แมลงปีกแข็งต้องการเวลาพักผ่อน พรุ่งนี้เราค่อยมาใหม่” ลู่เซิ่งมองด้วงขาวที่ใกล้ไม่ไหว สะบัดธนูคืนให้อิซรา
“จะว่าไป คุณสมบัติของธนูเล่มนี้ไม่เลวเลยนะ ถึงกับทนความรุนแรงขนาดนี้ได้”
“ถ้าอาจารย์อยากได้ ผมจะเอาให้ นี่เป็นอาวุธชีวิตของผมเอง ไม่มีความสามารถพิเศษอื่นๆ ความสามารถเพียงหนึ่งเดียวคือหลอมรวมกับวัตถุดิบอื่นๆ เพื่อเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของตัวเ เองได้” อิซราตอบตามตรง
“ช่างเถอะ วิญญูชนไม่แย่งของคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังไม่ใช่ผู้ทับซ้อนอีก ได้มาก็แสดงอานุภาพไม่ได้”
ลู่เซิ่งโบกมือ
“สองสามวันที่ผ่านมาพวกเรากวาดล้างยุ้งฉางสามแห่งที่อยู่รอบๆ ไปแล้ว การทดลองชั่วคราวเพียงพอแล้ว เป็นเพราะว่าเธอมีพื้นฐานในระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องฝึกพื้นฐานมากเกินไป ป แต่ว่ารากฐานกลับไม่แน่นพอ ต้องเสริมอีกนิดหน่อย”
อิซราพยักหน้าอย่างจริงจัง “ถูกครับ อาจารย์พูดถูกแล้ว ผมเคยฝึกฝนในแผนกอัศวินของวิหารแห่งนิกายอีซิสมาก่อน แต่เป็นเพราะคุณสมบัติของผู้ทับซ้อน ตอนฝึกฝนพวกเขาไม่เคยให้เ เวลาพวกเราได้พักหายใจ ตายก็ตายไป ดังนั้นรูปแบบการต่อสู้ที่ได้มาจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“ถึงว่าสิ” ลู่เซิ่งตั้งนิ้วชี้ขึ้นให้เขาเงียบ “คนเราต้องรู้จักรักตัวเอง ยิ่งเธอทำดีต่อร่างกายตัวเองมากเท่าไหร่ มันก็จะตอบแทนนายมากเท่านั้น”
“รักตัวเองหรือ” อิซราสงสัยเล็กน้อย
“ไม่ช้าเธอจะเข้าใจเอง” ลู่เซิ่งกระชับเกราะแขนสีดำที่สวมอยู่ นี่เป็นเกราะที่อัศวินดำเคยสวมใส่ ประสิทธิภาพไม่เลวมาก
นอกจากคุณภาพความแข็งแกร่งที่ทนทานถึงขีดสุด ยังมีคุณสมบัติแพร่เชื้อแบบพิเศษที่พอแตะก็สามารถสร้างการกระจายของพิษได้ทันที
ระดับความคล่องแคล่วก็ค่อนข้างไม่เลว ถึงขั้นยังมีความสามารถอื่นที่ใช้งานได้ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าอุปกรณ์ในครั้งนี้น่าจะใช้ได้อีกนาน
หลังจากที่เมื่อวานยกระดับหมัดลอบสังหารถึงระดับสิบเอ็ด เขาก็ประกาศตั้งสำนักมารลวงสิบดวงใจสายลวงจิตขึ้น
เขาได้พัฒนาวิชาหมัดที่แตกต่างจากหมัดลอบสังหารสายลวงจิตขึ้นมา แล้วตั้งชื่อว่าหมัดมารลวงสิบดวงใจ
วิชาหมัดวิชานี้สามารถทำให้สัมผัสของศัตรูปั่นป่วนได้จากการเคลื่อนไหวรวมถึงเสียงในตอนที่ลงมือ
จากนั้นก็ล่อลวงหรือสร้างภาพหลอนขึ้นผ่านการทำให้สัมผัสปั่นป่วน
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ วิชาหมัดวิชานี้แข็งแกร่งกว่าสายลวงจิตดั้งเดิมในด้านเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายเป็นอย่างมาก
หลังจากผสานกับประสบการณ์ระดับปรมาจารย์มรรคายุทธ์ของลู่เซิ่ง หมัดมารลวงสิบดวงใจก็สามารถยกระดับความแข็งแกร่งในทุกๆ ด้านของตัวเองขึ้นได้ ผ่านวิธีการพิศวงมากมาย เช่น การ สะกดจิตตัวเอง มันได้ก้าวข้ามขอบเขตของวิชาหมัดธรรมดาไปแล้ว
นอกจากอิซราแล้ว ลู่เซิ่งยังได้รับศิษย์เพิ่มมาอีกคน เป็นอัจฉริยะสวมแว่นตาที่ชื่อแจ๊คสันนั่นเอง
หลังจากสอนบางอย่างให้กับแจ๊คสัน เขาก็ให้อีกฝ่ายฝึกฝนดู ขอแค่มีสารอาหาร ความจริงหมัดลอบสังหารสายลวงจิตเป็นวิชาหมัดที่เน้นสติปัญญาเป็นหลัก
เนื่องจากวิชาหมัดที่ใช้ปั่นป่วนสัมผัสส่วนใหญ่จะใช้การคำนวณจำนวนมากเป็นพื้นฐาน
ดังนั้นแจ๊คสันจึงเรียนรู้ได้เร็ว สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือการฝึกกายเนื้อ
ทางอิซรา สิ่งที่ลู่เซิ่งต้องทำกับศิษย์ใหม่ผู้มีความเป็นมาลี้ลับเรียบง่ายกว่า
อิซรามีคุณสมบัติร่างกายแข็งแกร่งถึงขีดสุด แทบจะไปถึงขีดจำกัดของคนธรรมดาแล้ว
ความฉลาดเองก็ไม่นับว่าต่ำ เรียนวิชาหมัดได้เร็วมาก
ในสถานการณ์ที่ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงพอ ใช้เวลาแค่หนึ่งวัน เขาก็เริ่มเข้าสู่ระดับที่สองของสายลวงจิต นี่ทำให้ลู่เซิ่งปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก
ในกระบวนการต่อสู้ภาคปฏิบัติหลังสอนจบ ลู่เซิ่งได้พาอิซรากลับชาร์เตอร์
พวกศาสตราจารย์ปาร์คเกอร์ได้อพยพมาหมดแล้ว
หลังจากลู่เซิ่งจัดการคลากหัวหน้าของชาร์เตอร์ คนส่วนหนึ่งของที่นี่ซึ่งรับความทรมานมานานเกินทนก็ยินดีปรีดา อีกส่วนหนึ่งเคยชินกับการกดขี่ทางชนชั้นที่ไร้ความยุติธรรมของค คลาก จึงเริ่มทยอยจากไปเอง
ลู่เซิ่งไม่สนใจคนพวกนี้ หากแต่คัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติพอไหวจากคนที่เหลือมาสอนวิชาหมัดและเท้าภายนอกขั้นพื้นฐานส่วนหนึ่งให้
แม้วิชาเหล่านี้จะเป็นฉบับปรับให้ง่ายลง แต่ก็เหนือกว่าขอบเขตของวิชาสายลวงจิตไปมากโข บวกกับการเน้นไปที่ความเร็วและการความแม่นยำในวิชาหมัดลวงจิตหลังจากถูกลู่เซิ่งพัฒน นา
นี่จึงทำให้ทุกคนชื่นชอบการฝึกฝนวิชาหมัดวิชานี้เป็นอย่างมาก
เป็นเพราะเอาไปใช้กับปืนได้
ความเร็วเอาไว้ใช้หลบหนีและไล่ล่า ความแม่นยำเอามายกระดับสายตาและความแม่นในการยิงปืนของตนเอง
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้วิธีการฝึกฝนของลู่เซิ่งจะแปลกประหลาดไม่เหมือนใครเขา กลับได้ผลลัพธ์ดีอย่างน่าอัศจรรย์
แค่ถึงระดับเบื้องต้นของสายลวงจิต คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ว่าจะมีคุณสมบัติแบบไหน ขอแค่ฝึกฝนหลายๆ วัน ก็จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองยิงปืนแม่นขึ้นเล็กน้อย
การฝึกฝนนี้ยังเกี่ยวพันถึงการปฏิวัติวิธีการคิดและวิธีการคำนวณ
ลู่เซิ่งเรียกวิธีการคำนวณนี้ว่าวิธีคำนวณซ้ำ ถ่ายทอดในฐานะส่วนประกอบเสริมของการฝึกหมัดมารลวงสิบดวงใจ
วิธีการคำนวณของหมัดมารลวงสิบดวงใจที่แท้จริงมีระดับสูงกว่านี้มาก
เขาพาอิซรากลับฐานชาร์เตอร์
ลู่เซิ่งนั่งในห้องสำนักงาน แจ๊คสันกับหญิงวัยกลางคนชื่อคาเฟียร์รับผิดชอบดูแลการทำงานของชาร์เตอร์
ตัวแจ๊คสันยังดี เพราะการสนับสนุนของเฒ่าปาร์คเกอร์ ชื่อเสียงจึงใช้ได้ นับว่ามีความสามารถโดดเด่นอยู่แล้ว
ส่วนคาเฟียร์เป็นตัวแทนที่คนส่วนใหญ่ในฐานชาร์เตอร์ยอมรับ จึงสามารถยืนต่อหน้าลู่เซิ่งได้
“อันดับแรก นี่เป็นปริมาณเสบียงที่พวกเราขนย้ายออกมาจากยุ้งฉางสามแห่งในสองสามวันที่ผ่านมาค่ะ” คาเฟียร์เข้ามาวางข้อมูลลงบนโต๊ะลู่เซิ่ง
“แบ่งครึ่งหนึ่งใส่โกดังส่วนตัวของฉัน ที่เหลือพวกเธอแบ่งกันเอง” ลู่เซิ่งสั่ง
“ค่ะ” คาเฟียร์พยักหน้า
แจ๊คสันที่อยู่ด้านข้างหยิบรูปภาพสีสองปึกออกมา
“หัวหน้า ผมได้รูปภาพมาสองชุดผ่านโดรนถ่ายภาพ ยืนยันภูมิประเทศทั้งหมดและสถานการณ์อื่นๆ ในบริเวณรอบๆ ได้แล้วครับ”
“เอามาให้ฉันดูหน่อย” ลู่เซิ่งรับรูปภาพมา ภาพปึกแรกคือภาพรอบๆ ชาร์เตอร์ที่ถ่ายจากด้านบน
ชาร์เตอร์เป็นเหมือนเม็ดงาสีขาวในภาพ ส่วนรอบๆ มีจุดสองจุดที่คล้ายๆ กัน จุดหนึ่งเป็นสีดำ อีกจุดเป็นสีเทา
“ใกล้ๆ ชาร์เตอร์ยังมีสถานที่สองแห่งที่น่าจะเป็นจุดรวมพล ไปตรวจสอบดูได้ นอกจากนี้ยังต้องการที่ดินสำหรับการพัฒนา พวกเราได้ตั้งกลุ่มขึ้นเพื่อเริ่มหักร้างถางพงแล้ว ด้วยการส สนับสนุนจากรถและเครื่องยนต์ วันมะรืนน่าจะบุกเบิกเรียบร้อย สามารถหว่านเมล็ดได้” แจ๊คสันรีบรายงาน
“พาคนไปดูจุดรวมพลสองจุดนี้ ดึงคนจากภายในสำนักไป พวกเขาฝึกมาหลายวันแล้ว ลองพาออกไปสู้จริงดู” ลู่เซิ่งกำชับ
ชาร์เตอร์ยังเหลือมือปืนอีกสิบกว่าคนที่ไม่ได้ไปไหน หากแต่ยอมสวามิภักดิ์กับผู้นำคนใหม่
หลังจากคัดเลือกมือปืนพวกนี้ ลู่เซิ่งก็มอบสถานะศิษย์สำรองของสำนักสำนักมารลวงสิบดวงใจให้ และดำเนินการเคี่ยวเข็ญฝึกฝนวิธีคำนวณซ้ำให้พวกเขา
เดิมทีมือปืนเหล่านี้ชำนาญด้านการใช้ปืนอยู่แล้ว หลังจากผ่านการปรับเปลี่ยนด้วยวิธีคำนวณซ้ำ ความแม่นยำก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย
แทบทุกคนใกล้จะกลายเป็นมือปืนระดับพระกาฬในระยะร้อยเมตรแล้ว
บวกกับการฝึกพิเศษด้านความเร็ว แม้เวลาจะไม่นาน แต่ก็นับว่าเป็นคนมีความสามารถ นำมาใช้งานได้
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะส่งคนไปตรวจสอบ” แจ๊คสันพยักหน้า
ในฐานะศิษย์ของลู่เซิ่ง เขาจึงมีอำนาจควบคุมศิษย์ในสำนักเช่นกัน
ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนดูภาพปึกที่สองต่อ
ในภาพแสดงรูปรถขบวนหนึ่ง รถสีขาว กำลังแล่นอยู่ด้านข้างป่าด้านหลังชาร์เตอร์
ขบวนรถประกอบขึ้นจากรถบรรทุกสิบกว่าคัน ถ้าไม่มีโดรนถ่ายภาพที่เฒ่าปาร์คเกอร์เอามาด้วย คงจะไม่เจอ
“นี่มันขบวนรถอะไร” ลู่เซิ่งชี้รถบนภาพ
“อาจารย์ นั่นคือขบวนรถที่จุดรวมพลซีเลีย ซีเลียเป็นจุดรวมพลของมนุษย์ขนาดใหญ่ที่เล็กกว่าอาโซมเล็กน้อย มีคนอย่างน้อยหลายหมื่น” แจ๊คสันอธิบาย
“หลายหมื่นหรือ” ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย
“ใช่ครับ นี่น่าจะเป็นขบวนรถค้นหาทรัพยากรของพวกเขา อุปสงค์และอุปทานทรัพยากรของคนหลายหมื่นคนเกิดช่องว่างใหญ่ ตอนนี้ขอบเขตการค้นหาของพวกเขาขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” แจ๊คสั นพยักหน้า
“อย่างนั้น ในหมู่พวกเขามีผู้ทับซ้อนไหม”
“แน่นอนครับ ผู้ทับซ้อนสองพี่น้องเบ็คแมนเป็นผู้นำของที่นั่น พวกเขาใช้ระบบทาสชนชั้น ผู้ทับซ้อนเป็นชนชั้นระดับสูงสุด ได้รับอำนาจและความสะดวกหลายอย่าง รองลงไปคือคนธรรมดาที มีความสามารถ ทุกๆ ปี ทุกๆ คนและทุกๆ ระดับชั้นจำเป็นต้องสร้างผลงานตามสัดส่วนที่กำหนดแก่จุดรวมพล ไม่อย่างนั้น…”
“ไม่อย่างนั้นอะไร” ลู่เซิ่งถามอย่างสนใจ
“ไม่อย่างนั้นจะถูกลดระดับชนชั้น สุดท้ายจะกลายเป็นทาสและถูกขาย ถ้าไม่มีใครรับซื้อ คุณจะถูกทำเป็นหมูหรือเนื้อ” แจ๊คสันกล่าวอย่างราบเรียบ แต่ในน้ำเสียงแสดงความรังเกียจและโก กรธแค้น
พูดถึงที่สุด เขายังเป็นชายหนุ่มที่เพิ่งอายุสามสิบปี และเป็นคนธรรมดาที่มีมโนสำนึกคนหนึ่ง
“ระบบควบคุมนี้น่ารังเกียจจริงๆ!” คาเฟียร์ที่อยู่ด้านข้างอดกล่าวอย่างโมโหไม่ได้ “โยนความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีสุดท้ายของมนุษย์ทิ้ง! ไอ้พวกเวรตะไล!”