ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1114 นิกายใหม่ (2)
“ก็ดีออกไม่ใช่เหรอ ระบบแบบนี้มีการแข่งขันสูง ถ้าไม่นับว่าดูแคลนศักดิ์ศรีของคนอื่นๆ ก็สร้างการปรับตัวที่ไม่เลว” ลู่เซิ่งลูบคาง “ถ้าหากเปลี่ยนระบบทาสเป็นระบบเนรเทศ ความจริงจะ ะดีกว่าเดิม”
“ก็ใช่อยู่นะครับ” แจ๊คสันเห็นด้วย “ระบบทาสจะสร้างความชั่วร้ายที่ผิดปกติมากมาย ผู้หญิงหลายคนต้องแปดเปื้อนกลายเป็นทาสของคนอื่นๆ ด้วยวิธีการต่างๆ เพียงเพราะความสวย เรื่อง งแบบนี้มีอยู่ในจุดรวมพลแห่งนั้นมากมายเหลือเกิน”
“ไม่เลวจริงๆ ค่ะ ถ้าตัดระบบทาสออกไป เหลือไว้แค่ระบบเนรเทศ ทั้งรักษาการแข่งขันไว้ได้ ทั้งลดพวกมอดที่เอาแต่กินแต่ไม่ยอมสร้างผลงาน กระตุ้นให้ทุกคนกระตือรือร้น” คาเฟียร์ ใคร่ครวญอย่างละเอียด ก่อนจะเห็นความได้เปรียบในนี้
“อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ ให้เริ่มแผนการนี้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ พวกเธอสองคนปรึกษากันดู แล้วเอารายละเอียดมาให้ฉันดู ไม่ ช่างเถอะ ฉันจะไปซีเลียเอง”
ลู่เซิ่งลูบเคราใต้คาง
“พวกเธอพยายามรวบรวมฐานที่มั่นเล็กๆ ที่อยู่รอบๆ เข้ามาร่วมด้วยโดยเร็วที่สุด พวกเราต้องการที่ดินและคนมีความสามารถมากกว่านี้”
“รับทราบ!”
ทั้งสองตอบเป็นเสียงเดียวกัน
…
เวลาบ่าย
ขบวนรถสีขาวของซีเลียกลับมาพร้อมของเต็มพิกัด แล่นเลียบเส้นทางกว้างขวาง
เสียงเครื่องยนต์ทุ้มต่ำของรถบรรทุกดังสลับกัน ท่อไอเสียที่ยื่นออกมาพ่นควันขาวจางๆ จนตลบอาณาเขตเล็กๆ
บนรถบรรทุกด้านหลังสุดของขบวนรถ
ลู่เซิ่งปัดฝุ่นที่เกาะบนชุดขณะนั่งอยู่ในกระบะท้ายรถ
ในกระบะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ยังมีสมาชิกคนอื่นๆ ในขบวนรถ และผู้รอดชีวิตที่ช่วยมาจากสถานที่อื่นๆ
คนที่นั่งข้างเขาคือแม่ลูกคู่หนึ่ง
คนแม่ใบหน้าเปื้อนรอยน้ำตา กอดเด็กผู้หญิงสวมกระโปรงสีชมพูและถุงน่องสีขาวคนหนึ่งไว้
เด็กผู้หญิงผมยาวถึงบ่า อายุราวๆ สิบสองสิบสามปี ดวงตาเหมือนบวมเพราะร้องไห้ กำลังสั่นอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่
คนที่นั่งอยู่อีกด้านของลู่เซิ่งเป็นชายฉกรรจ์ผิวดำที่กำลังเช็ดถูปืน เขาใช้ผ้าเช็ดแว่นตาเช็ดปืนสุดรักของตัวเองอย่างตั้งใจ ไม่พูดอะไรสักคำเดียว ดวงตาฉายแววย้อนรำลึกแล ละอ่อนโยนตลอดเวลา
คนอื่นๆ ในกระบะบ้างก็พึมพำกับตัวเอง บ้างก็ใจลอย คนอีกราวๆ ครึ่งหนึ่งกำลังนอนหลับ
พวกเขาหวาดกลัวอยู่ด้านนอกมานานเหลือเกิน พอเจอสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย จิตใจก็ผ่อนคลาย ทนทานไม่ไหวอีก
“อีกเดี๋ยวพอถึงปลายทาง ใครที่มีทักษะให้ไปลงทะเบียนที่จุดลงทะเบียน ส่วนใครที่ไม่มีให้ไปดูที่ส่วนงานจิปาถะว่ามีงานอะไรให้ทำไหม ถ้าไม่เจองานที่ทำได้อีก ฉันขอเตือนว่าอ อย่าเข้าซีเลียจะดีกว่า”
บางทีอาจเป็นเพราะใกล้ถึงจุดหมายแล้ว ชายฉกรรจ์ผิวดำข้างลู่เซิ่งจึงถอนใจ วางปืนลงแล้วเอ่ยเตือน
“ขอบคุณค่ะ คุณลุงเลอมันน์ คุณลุงเป็นคนดีนะ” หญิงสาวที่หน้าตาสะสวยอยู่หลายส่วนเอ่ยเบาๆ
“ใช่แล้ว เลอมันน์ แค่เธอพาพวกเราขึ้นรถ พวกเราก็รู้สึกขอบคุณถึงที่สุดแล้ว” ชายชราผมหงอกคนหนึ่งกล่าวพลางถอนใจ
“แต่ เธอช่วยให้ถึงที่สุดได้ไหม ช่วยส่งพวกเราเข้าไปในซีเลีย เธอเองก็เห็น เกิดไม่มีใครต้องการคนแก่ๆ และเด็กๆ อย่างพวกเรา…พวกเราก็จะกลายเป็นทาสระดับต่ำสุด”
“ใช่แล้ว คุณลุงเลอมันน์ คุณช่วยพวกเราอีกสักครั้งได้ไหม”
“ต่อจากนี้พวกเราจะตอบแทนคุณแน่! ขอยืนยัน! เห็นแก่พระเจ้า ช่วยพวกเราด้วยเถอะ!”
“ขอแค่ไม่กลายเป็นทาสก็พอ สหายเลอมันน์ พวกเราไม่คุ้นกับสถานที่ ได้แต่พึ่งพานายจริงๆ”
“คุณลุงเลอมันน์…”
“เลอมันน์…”
ทุกคนพากันวิงวอน
ตลอดทางที่ผ่านมา พวกเขามองออกว่าเลอมันน์เป็นคนใจอ่อน ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ
เลอมันน์พยายามตอบสนองคำขอร้องหลายๆ ครั้งของพวกเขาขณะอยู่ระหว่างทางอย่างเต็มกำลัง
นี่ทำให้พวกเขาเกิดความคาดหวังยิ่งกว่าเดิม
พวกเขามองเห็นเลอมันน์เป็นฟางช่วยชีวิตอย่างไม่รู้ตัว เกาะแกะไม่ยอมปล่อย
กลับไม่รู้เลยว่าเลอมันน์เหน็ดเหนื่อยอิดโรยแทบทนไม่ไหวมานานแล้ว
เขาไม่ใช่เทพเจ้า เป็นแค่คนคุมรถธรรมดาๆ เขาเป็นคนดูแลรถคันนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาดูแลคนทั้งหมด
เขาให้การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตพวกนี้เท่าที่จะทำได้ เนื่องจากเขาเองก็เคยประสบกับความรู้สึกเจ็บปวดที่สิ้นหวังและไม่มีที่พึ่งแบบนั้นมาก่อน
แต่ตอนนี้…
เขาถอนใจ
“ฉัน…ช่วยไม่ได้จริงๆ…ฉันเป็นแค่คนคุมรถตัวเล็กๆ ไม่สามารถช่วยหาช่องโหว่ผ่านระบบในเมืองได้…”
“เลอมันน์มองตาฉันสิ พวกเรารู้ว่าเธอจะต้องคิดหาวิธีได้แน่ เธอเป็นเด็กหนุ่มที่ดีคนหนึ่ง พวกเราเห็นเธอช่วยเหลือเรา ปัญหาในตอนนี้ก็คือ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับซีเลียเล ลย คนที่พึ่งได้เพียงคนเดียวก็คือเธอ…”
ชายชราเพียงคนเดียววิงวอนอย่างจริงจัง
“คุณลุงเลอมันน์ ขอร้องล่ะค่ะ ช่วยพวกเราที…”
เด็กผู้หญิงฝาแฝดที่อยู่ด้านข้างวิงวอนเสียงออดอ้อนหลังจากได้สัญญาณจากแม่
ฝาแฝดคู่นี้เพิ่งอายุแปดขวบ พอเห็นพวกเธอ เลอมันน์ก็นึกถึงลูกฝาแฝดที่ตนเคยมี
จิตใจที่เดิมทีแน่วแน่ของเขาอ่อนลงบ้างเล็กน้อย
“ฉันได้แต่…ลองดูนะ…” เขาตอบอย่างจนปัญญา
“ไม่ เธอจะต้องทำได้แน่ เชื่อตัวเองสิ” ชายชรากล่าวเสียงจริงจัง “เลอมันน์ เธอน่ะเก่งกาจที่สุด เธอช่วยพวกเรามาได้ตั้งหลายครั้ง พระเจ้าคุ้มครองเธอ พระองค์มองเธอ นี่เป็นบุญ ของเธอ ทุกสิ่งและชีวิตของพวกเราต่างฝากไว้ในมือเธอ”
“ผม…” เลอมันน์รู้สึกมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าหนุ่ม นายต้องการความช่วยเหลือนะ” ทันใดนั้นก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งลูบผมเขาอย่างอ่อนโยน
เลอมันน์งุนงง เงยหน้าขึ้นเห็นชายหนุ่มคนที่เขาช่วยขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย
ลู่เซิ่งมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“สิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้ไม่ใช่กังวลและเจ็บปวด แต่หยิบปืนขึ้นมา เงยหน้าขึ้น เธอช่วยทุกคนไม่ได้หรอก”
“ครับ…ผมรู้…ผมแค่…ผมก็แค่…” เลอมันน์ไม่รู้ควรพูดอะไรดี
ชายชราคนเดิมเสนอหน้าอีกครั้ง กล่าวอย่างจริงจังว่า
“เลอมันน์ เธอทำได้แน่ เชื่อตัวเองสิ ศักยภาพของมนุษย์แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่อาจ…” เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งต่อยใส่ท้องชายชรา จากนั้นก็เปิดประตูแล้วโยนเขาออกไป
“เฮ้! แก!”
“แกบ้าไปแล้ว! ทำอะไรเนี่ย!
ทุกคนทยอยลุกขึ้น
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งต่อยใส่แผ่นโลหะด้านข้าง รถบรรทุกสั่นสะเทือน แผ่นโลหะหนาเท่าฝ่ามือยุบเป็นรอยมือ
“อะไร พวกแกหาเรื่องเหรอ” เขากวาดตามองทุกคนในรถ
พวกเขาพากันกลืนน้ำลาย จากนั้นก็เลือกยอมแพ้อย่างแน่วแน่
แม่ที่กอดลูกสาวตื่นแล้ว กำลังมองดูลู่เซิ่งอย่างหวาดกลัวอยู่บ้าง
เลอมันน์ก็แตกตื่นหวาดกลัวเช่นกัน แต่เขาแค่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบพุ่งไปยังประตูรถ คิดจะลงรถไปตรวจสอบสภาพชายชรา
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งต่อยใส่เลอมันน์จนสลบ
“ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ มักเกิดอุบัติเหตุหลายอย่าง”
เขาเดินไปลากเลอมันน์กลับมาวางที่เดิม
ด้านหน้ารถบรรทุกมีเสียงถามดังมาเบาๆ เหมือนคนขับกำลังใช้ภาษาถิ่นถามว่าด้านหลังเกิดอะไรขึ้น
ลู่เซิ่งตะโกนกลับไปหลายประโยคโดยเลียนแบบเสียงของเลอมันน์
ทุกคนในกระบะเงียบเป็นเป่าสาก ไม่กล้าขยับเคลื่อนไหว
ลู่เซิ่งมองผ่านหน้าต่างไป เห็นว่ารถลดความเร็วลงเล็กน้อย จากนั้นก็เร่งความเร็วตามขบวนรถต่อ
เขาเห็นบนชั้นวางของชั้นหนึ่งด้านข้าง วางวิทยุที่เลอมันน์รักที่สุดเอาไว้
วิทยุสีดำเหมือนกับกล่องดนตรีเก่าๆ กรอบมีลายมนุษย์สีขาวแขวนห้อยหัว
ลู่เซิ่งเอามาเปิดดู
ฉับพลันนั้นเสียงผู้หญิงที่ไพเราะและอ่อนโยนก็ลอยออกมาจากวิทยุ
คนขับที่อยู่ด้านหน้าเหมือนได้ยินเสียงเพลง จึงขับรถเร็วขึ้นเล็กน้อย
“นี่เป็นเสียงเพลงของเคลลิส เเฟลป์ส บางทีอาจเป็นเพราะต้องการตามหาแสงสว่างและความหวังในความสิ้นหวัง แม้เสียงเพลงจะกดดัน แต่มักจะระเบิดการสั่นสะเทือนที่ดังสนั่นในวินาทีสุด ดท้ายเสมอ”
หญิงสาวสวมแว่นตาที่รู้เบื้องหลังเอ่ยปาก
“จากนั้นล่ะ เธออยากพูดอะไรเด็กน้อย” ลู่เซิ่งมองอีกฝ่าย
“ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณอยากทำอะไร ฉันแค่หวังว่าคุณจะไม่สร้างความลำบากให้เลอมันน์ ถ้าไม่ใช่เขา ฉันคงตายในตู้สินค้าของห้างสรรพสินค้าไปแล้ว เขาคือความหวังสุดท้ายและเป็นแส สงแห่งชีวิตของฉัน”
หญิงสาวลุกขึ้นยืน ถอดแว่นตาลง เผยให้เห็นใบหน้างดงามที่อ่อนโยนและแน่วแน่
แว่นตาและคราบสกปรกบางส่วนบนร่างเหมือนจะเป็นอุปกรณ์ที่เธอใช้ปลอมแปลง
“เพื่อตอบแทน คุณสามารถเสนอคำขอได้ ดูว่าพวกเราจะสนองคุณได้หรือไม่” หญิงสาวเอ่ยอย่างใจเย็น
“ฉันเห็นแสงสว่างบนตัวเธอ เด็กน้อย” ลู่เซิ้งยิ้ม “ความจริงฉันเป็นบาทหลวงหลงทางคนหนึ่ง อุบัติเหตุครั้งหนึ่งทำให้ฉันมาถึงที่นี่ มายังดินแดนที่ชื่อซีเลียแห่งนี้”
“บาทหลวงหรือ แล้วคุณพ่อต้องการอะไรล่ะ” หญิงสาวถามเรียบๆ
“ฉันมาที่นี่ ย่อมเพื่อทำให้ทุกคนยึดถือพราะเจ้าของฉัน ศรัทาในเทพที่แท้จริง” ลู่เซิ่งกางมือพลางถอนใจ
นี่เป็นแผนการใหม่ของเขา เทพเจ้าองค์ใหม่ย่อมเป็นร่างหนึ่งในบรรดาร่างหลักของเขา หากเหล่ามนุษย์ที่สิ้นหวังคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นหนึ่งได้ในโลกอันวุ่นวายแห่งนี้ ก็จะพุ่ง งใส่ทั้งกายทั้งใจทันที
ถ้าฟางเส้นนี้ตอบสนองทางด้านจิตใจและทรัพยากรได้ อย่างนั้นก็แทบไม่มีใครหลบเลี่ยงนิกายแบบนี้ไปได้
เหมือนกับนิกายอีซิส
ไม่สิ ลู่เซิ่งเชื่อว่าเขาทำได้สมบูรณ์แบบกว่าอีซิส
“ถึงแล้ว!”
“ถึงซีเลียแล้ว!”
“ฮ่าๆๆ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!”
เวลานี้ในที่สุดรถบรรทุกก็ลดความเร็วลง
เสียงอุทานและเสียงหัวเราะดังมาจากด้านนอกเบาๆ
ตอนแรกลู่เซิ่งยังคิดพูดอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อคุยไร้สาระกับคนกลุ่มนี้
ลู่เซิ่งยิ้มให้ทุกคน จากนั้นเปิดประตูกระบะแล้วโดดลงรถ
เขาอ้อมผ่านขบวนรถไปยังด้านหน้าขบวนรถ
ซีเลียที่อยู่ไกลออกไปเป็นปราการสีดำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ระหว่างหน้าผา
คนจากขบวนรถถูกคัดเลือกเข้าไปตรงทางเข้าออกด้านล่างปราการ คนสวมเสื้อคลุมสีดำหลายคนถือปืนกลอัตโนมัติ เฝ้าผู้อยู่อาศัยทุกคนที่เข้าออก
ลู่เซิ่งเดินไปยังประตูปราการ แล้วดึงฮู๊ดลงอำพรางใบหน้าครึ่งบน
เขากดแหวน ทุกสิ่งที่อยู่ด้านหน้าเหมือนภาพวาดติดไฟ เปลี่ยนจากสีรุ้งเป็นสีขาวดำ
แกร๊ก
เกราะอัศวินดำรวมตัวปรากฏด้านข้างลู่เซิ่ง ห่อหุ้มร่างกายและศีรษะเขาไว้
ท่ามกลางสัมผัสความเจ็บปวด
องครักษ์ที่สวมเสื้อคลุมสีดำและเกราะครึ่งตัวสีเขียวหลายคนลาดตระเวนอยู่ด้านหน้าประตูปราการขนาดยักษ์
โล่โปร่งแสงขนาดมหึมาปกคลุมอยู่เหนือปราการ
รอบๆ ยังมีด้วงขาวขนาดใหญ่โตอีกหลายตัว รวมถึงหญิงสาวร่างสูงโปร่งสีดำที่มีศีรษะสามข้างเร่ร่อนไปมา
ลู่เซิ่งฉีกยิ้มมุมปาก ค่อยๆ ยืนขึ้น
“จงยึดถือพระเจ้าของฉัน…”
ดวงตาของเขาพลันมีจุดสีขาวกลุ่มใหญ่ปรากฏและหมุนวน ตรงกลางมีแสงสีม่วงกะพริบวนเวียน
ไฟสีม่วงหลายสายลุกไหม้ขึ้นบนเกราะของเขา
ลู่เซิ่งค่อยๆ กางห้านิ้วออก ควันสีดำกลุ่มใหญ่ขยายออกมาจากฝ่ามือด้วยความเร็วสูง
“หมัดมารลวงสิบดวงใจ…”
อัศวินดำหลายนายพากันรวมตัวกลายเป็นรูปเป็นร่างท่ามกลางควันหนา และพุ่งไปยังปราการด้วยความเร็วสูง