ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1117 เสียงพึมพำ (1)
คมมีดสีขาวแทงเขาไปในหว่างคิ้วของลู่เซิ่ง
แต่สิ่งที่แทงเข้าใส่เป็นเพียงเงาลวงตา
ทั้งๆ ที่มีดแทงเข้าไปในศีรษะของลู่เซิ่ง แต่ความรู้สึกพร่ามัวที่โปร่งใสก็ทำให้เขาร่างกะพริบอย่างต่อเนื่อง ราวกับเป็นเงาที่จับต้องไม่ได้
ไม่มีเลือดไหลออก ไม่มีบาดแผลใดๆ เพียงแค่เหมือนแทงมีดไปตรงตำแหน่งนั้น
เจอลิกาหัวใจเต้นระทึก รีบถอยหลังทันที
แต่ไม่ทันกาลแล้ว
ลู่เซิ่งคว้ามือไปด้านหน้า จับผมของเธอด้วยมือข้างขวา
จากนั้นก็แทงเข่าขึ้น
พรวด!
สันจมูกโด่งกลางใบหน้าเจอลิกายุบลงไป
เธอที่เลือดกลบปากคิดจะถอย แต่ผมของเธอถูกลู่เซิ่งจิกไว้จนขยับไม่ได้
“เห็นหรือยัง นี่แหละคือพละกำลัง”
เขาแทงเข่าใส่อีกรอบ พละกำลังมหาศาลและน้ำหนักตัวพุ่งใส่คางเจอลิกาพร้อมกัน
กร๊อบ ผิวคางของเธอถลอกเป็นบริเวณกว้างขวาง เผยให้เห็นวัตถุปลูกฝังโลหะโปร่งแสงด้านใน
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นกระสุนอานุภาพสูงลูกหนึ่งก็หมุนพุ่งใส่ขมับของลู่เซิ่งอย่างรุนแรง
ลู่เซิ่งถอยหลังก้าวหนึ่งเพื่อหลบกระสุน แล้วพุ่งไปด้านหน้า
เปรี้ยง!
เจอลิกากระเด็นออกไปหล่นลงบนพื้นเหมือนกับตุ๊กตาโทรมๆ
“หัวเละหมดแล้ว ถ้ายังรอดอีกฉันยอมกราบเลยก็ได้” ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจอีก ก่อนจะตรวจสอบคนอื่นๆ ที่อยู่บนพื้น แต่ไม่พบสิ่งใดบนตัวศพ
นอกจากสมุดเล่มเล็กทางศาสนาที่พกติดตัว ก็ไม่เหลืออะไรที่มีค่าอีก
ถึงขั้นไม่มีร่องรอยของอาหารแห้งเช่นกัน
จากนั้นเขาก็ไปตรวจสอบผู้หญิงคนนั้น แต่ศพสะอาดยิ่งกว่า แม้แต่สมุดสักเล่มก็ไม่มี
ลู่เซิ่งเงยมองรถบัสนิกายอีซิสที่อยู่ด้านหน้า ก่อนขึ้นไปค้นหาอย่างแน่วแน่
รถบัสปรับเปลี่ยนมาจากรถบัสธรรมดา ที่นั่งหลายแถวก่อนหน้านี้ถูกถอดทิ้ง สิ่งที่มาแทนที่คือโซฟาสองคนที่กว้างขวาง ภาพสีน้ำมันทางศาสนาที่บรรจุการสั่งสอนของเทพเจ้าแขวนอยู่บนหน น้าต่างสองฟากข้าง
พื้นปูพรมสีเทาหรูหรา ตรงหัวรถมีจอโทรทัศน์ที่เปิดอยู่กะพริบ
ลู่เซิ่งเดินไปกดดู ไม่นานก็เข้าใจกฎการควบคุมพื้นฐาน
จากนั้นเขาก็หยิบหูฟังออกมายัดหูแล้วปรับความดัง
“ที่นี่อยู่ในอาณาเขตรบกวน สัญญาณไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นฉันจะเร่งกำลังขึ้นนะ”
“เอ่อ…คนของนิกายล่ะครับ” ปาร์คเกอร์ที่อยู่อีกฝั่งลังเลเล็กน้อยก่อนถามอย่างระมัดระวัง
“ไม่อยู่แล้ว”
“ไม่อยู่แล้วหรือ?!”
“ใช่ ไม่อยู่กันแล้ว” ลู่เซิ่งจัดอุปกรณ์ปุ่มกดบนรถพร้อมกับตอบไปด้วย “ตอนแรกฉันคิดจะคุยกับพวกเขาต่อหน้าดีๆ น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ให้โอกาสฉัน พอเจอหน้าก็พุ่งใส่ทันที กระต ตือรือร้นเกินไปแบบนี้เป็นฉันก็รับไม่ไหวเหมือนกัน”
พอปาร์คเกอร์ได้ยินก็รู้ทันทีว่านี่กำลังเล่าเรื่องตรงกันข้าม ความหมายก็คือคนของอีซิสคิดจะลงมือในทันทีที่พบหน้า หาที่ตายกันเองใครจะไปห้ามได้
“หัวหน้าไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ…” เขาอึกอักอยู่นาน ถึงค่อยเค้นประโยคนี้ออกมาได้
“รถของนิกายมีฟังก์ชันครบครัน พวกเขามีน้ำใจมอบให้ฉัน ฉันปรับเปลี่ยนมันแค่เล็กน้อย ก็เปลี่ยนเป็นฐานที่มั่นเคลื่อนที่แบบง่ายๆ ได้” ลู่เซิ่งแนะนำ
“พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม แบเตอรี่ชาร์จไฟที่ติดตั้งภายในมีความจุสุงมาก เติมครั้งหนึ่งสามารถจ่ายแหล่งพลังงานขับเคลื่อนได้ติดต่อกันสองวัน ยังมีการติดตั้งเครื่องออกซิเจนภ ภายใน เครื่องกรองอากาศ และอุปกรณ์รวบรวมก๊าซธรรมชาติเหลวอัตโนมัติด้วย”
ลู่เซิ่งมองรายการอุปกรณ์บนจอภาพ ก่อนจะลุกเดินไปถึงท้ายรถทางขวามือ แล้วตบที่ครอบแก้วทรงครึ่งวงกลม
“อุปกรณ์รวบรวมอาหาร…ไม่มีอะไรสักอย่างแต่กลับสังเคราะห์อาหารขึ้นได้หรือ นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย”
เขาเดินวนรอบสิ่งนี้รอบหนึ่ง แต่ไม่พบวัตถุดิบใดๆ
“ผมรู้จักสิ่งนี้!” ปาร์คเกอร์ก็หมดคำพูดเช่นกัน “นั่นคือหนึ่งในเทคโนโลยีมืดที่นิกายใช้ หนึ่งในแกนหลักจากสัตว์ประหลาดพวกนั้นสร้างขึ้นมา สามารถสังเคราะห์อาหารทุกรสชาติที คุณต้องการได้ผ่านวิธีการรวบรวมพิเศษ ไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบใดๆ”
“เป็นเทคโนโลยีมืดจริงๆ” ลู่เซิ่งพิจารณาของสิ่งนี้
ก้อนสายฟ้าสีม่วงหมุนวนอยู่ในโล่กระจกครึ่งวงกลม มีแสงสีม่วงหลายสายไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
ด้านล่างมีปุ่มสังเคราะห์ไอศกรีมรสชาติต่างๆ
นอกจากนี้แล้ว ในโล่ยังมีอุปกรณ์ระดับสูงที่เปลี่ยนพลังงานเป็นวัตถุได้คล้ายๆ แบบนี้อยู่อีก
นี่เป็นเทคโนโลยีที่ลู่เซิ่งไม่เคยเห็นจากโลกใดมาก่อน
เขาทดลองความทนทานของรถ หยิบปืนขึ้นมายิงใส่ประตูรถสองสามนัด ประตูรถเหลือแค่รอยสีขาวตื้นๆ ไม่กี่รอยเท่านั้น
ลู่เซิ่งค่อนข้างพอใจกับรถ แต่รถไม่สามารถขับได้ตามใจ จำเป็นต้องตรวจสอบภายในดูก่อนว่าติดตั้งอุปกรณ์ระบุพิกัดไว้หรือไม่
เขาลงจากรถ ทิ้งพิกัดของรถไว้ให้ปาร์คเกอร์ จากนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซค์บุกเบิกเส้นทางต่อ
พอออกจากหมู่บ้านเล็กๆ ด้านหน้าก็เจอป่าอ้อยรกชัฏ ลิงเหลืองป่าจำนวนไม่น้อยกระโดดไปมาอยู่ด้านใน
พอพวกมันเห็นลู่เซิ่งขี่มอเตอร์ไซค์เข้าใกล้ ก็พากันส่งเสียงกรีดร้อง แตกหนีไปทุกทิศทุกทาง
“ไอ้ลิงบ้าพวกนี้” ลู่เซิ่งไม่ชอบลิง สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ผอมแห้งและชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง รังแกสัตว์อ่อนแอเกรงกลัวสัตว์ดุร้าย ไม่มีความกล้าหาญ เก่งแต่ปรับหางเสือตามลม
รถมอเตอร์ไซค์พุ่งผ่านถนนข้างป่าอ้อย ทันใดนั้นด้านหน้าเขาก็มีเงาเล็กๆ สายหนึ่งโผล่แวบขึ้น
บนพื้นโล่งในป่า ลิงแก่ผอมแห้งตัวหนึ่ง ไว้เคราขาวยาว ถือกระบองไว้ในมือ ยืนจังก้ามองเขาอยู่เงียบๆ
สายตาของลิงชราเลื่อนไปมาตามรถมอเตอร์ไซค์ สายตาสงบนิ่งและอ่อนโยน
ความรู้สึกนั้นไม่เหมือนกับลิง แต่เหมือนมนุษย์มากกว่า
เอี๊ยด!
ลู่เซิ่งเบรกรถอย่างฉับพลัน สบตากับลิงชรา ก่อนพลิกตัวลงรถ สาวเท้าเข้าป่าอ้อย
เขาย่ำผ่านพื้นที่เกลื่อนด้วยใบไม้ไปถึงหน้าลิงชราอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดลงโดยอยู่ห่างจากมันไม่ถึงสามเมตร
ลิงชราสูงเท่าน่องของผู้ใหญ่ แทนที่จะบอกว่ากระบองในมือคือกระบอง กลับเหมือนไม้เท้าที่เหลาขึ้นมามากกว่า
มันสบตาลู่เซิ่งอยู่เงียบๆ ด้วยสายตาล้ำลึกทรงภูมิปัญญา
“นาย…อยากจะพูดอะไรกับฉันเหรอ” ลู่เซิ่งส่งเสียงถาม
ลิงชราส่ายหน้าก่อนยกมือขึ้นชี้ทิศทางด้านซ้ายของลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งมองตามนิ้วของมันไป บนพื้น ณ ส่วนลึกของป่าอ้อยมีก้อนหินขนาดใหญ่ที่สูงถึงสองเมตรกว่าๆ ก้อนหนึ่งวางอยู่
บนผิวก้อนหินมีร่องรอยที่เหมือนเกิดจากธรรมชาติ เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ร่องรอยนั้นกลับเหมือนตัวหนังสือหลายแถว
ลู่เซิงย่นคิ้วพลางแยกแยะ
“ความหวัง การทำลายล้าง บุญคุณสุดท้าย”
ร่องรอยขีดเขียนเป็นคำศัพท์เดี่ยวๆ ที่ขาดๆ หายๆ ดูเหมือนกับคำศัพท์ที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง
“หมายความว่ายังไง” ลู่เซิ่งหันกลับไปมองลิงชรา กลับพบว่าลิงตัวนั้นหายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ
สามารถหายไปอย่างฉับพลันภายใต้หนังตาของเขาได้ ความสามารถระดับนี้บ่งบอกว่ามันไม่ใช่ตัวตนธรรมดา
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ ด้วยจิตใจหนักอึ้งเล็กน้อย แต่ไม่พบอะไร
เขากลับไปถึงรถมอเตอร์ไซค์ พลิกตัวขึ้นรถ ขณะกำลังจะสตาร์ทเครื่องจากไปนั่นเอง
ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ารอบข้างเหมือนเงียบสงบลง
เขาเงยหน้าขึ้นมอง ฝูงลิงที่เมื่อครู่ยังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ลิงมากกว่าร้อยตัว เวลานี้บ้างนั่งบ้างเกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่สองฟากของถนน ดวงตามากกว่าร้อยคู่จ้องมองเขาอย่างส สงบไร้ความรู้สึก
ยากจะจินตนาการได้ว่า ลิงมากกว่าร้อยตัวสามารถเพ่งสายตามาที่ตนได้โดยไม่ส่งเสียงสักแอะ
ลู่เซิ่งนิ่งไป เขาสังเกตเห็นว่านี่อาจเป็นลางบอกเหตุบางอย่าง
บรื๊น!
มอเตอร์ไซค์ถูกสตาร์ทเสียงดัง เขาเหยียบคันเร่งพุ่งออกไป ไม่กี่วินาทีก็สลัดฝูงลิงทิ้งไว้ด้านหลัง
พอออกจากป่าอ้อย ก็มีเสียงรบกวนดังซ่าๆ มาจากหูฟัง
“ฮัลโหลๆ!” ปาร์คเกอร์ส่งเสียงไม่หยุด
“อยู่” ลู่เซิ่งตอบ
“เมื่อกี้จู่ๆ สัญญาณก็ขาดไป” ปาร์คเกอร์เอ่ยอย่างสงสัย “ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ตอนนี้ผมซ่อมเสร็จแล้ว เมื่อกี้คุณเจออะไรมา”
“ลิงฝูงหนึ่ง ป่าอ้อย แค่นี้แหละ” ลู่เซิ่งขี้เกียจอธิบาย
“ก็ไม่มีอะไรจริงๆ นั่นแหละ” ปาร์คเกอร์ไม่แปลกใจ “ทางผมเรียกคนมาจับตาดูแล้ว หากมีเรื่องอะไรจะติดต่อคุณทันที อย่าลืมชาร์จหูฟังด้วยนะครับ”
“อืม” ลู่เซิ่งตอบ “จริงสิ เส้นทางอื่นเป็นยังไงบ้าง สถานการณ์ที่รายงานกลับมาเป็นยังไง”
“อิซราคืบหน้าเร็วที่สุดครับ แต่ไม่เร็วเท่าคุณ ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของคุณด้วยซ้ำ”
“ทราบแล้ว นายไปพักผ่อนเถอะ” ลู่เซิ่งถอดหูฟังออก แล้วยัดใส่กล่องชาร์จที่ติดตั้งบนตัวรถ
รถแล่นฉิวข้ามผ่านทุ่งหญ้าและที่ราบผืนใหญ่
ขี่รถเป็นเวลาหนึ่งวัน ในที่สุดลู่เซิ่งก็ไปถึงตึกผีฮอล์ลิน สถานที่มีอันตรายแห่งที่สอง
เดิมทีฮอล์ลินเป็นเมืองเล็กๆ รอบๆ มีป่าเมเปิ้ลขึ้นอยู่เต็ม
ลู่เซิ่งไปถึงในตอนเย็น ใบเมเบิลสีแดงที่กระจายทั่วป่าเขาโยกไหวตามลมเหมือนกับเปลวเพลิง
ซ่าๆ…
หลังหูฟังชาร์จเสร็จ เขาก็เอามาใส่ เกิดเสียงกระแสไฟฟ้าเบาๆ
“ทางนี้เกิดเรื่องนิดหน่อยครับ” เสียงของปาร์คเกอร์ดังมาทันที
“อะไร” ลู่เซิ่งหยุดมอเตอร์ไซค์ มองไปด้านหน้าจากตรงปากทางเข้าที่ตั้งป้ายหินของเมือง
เมืองเล็กเต็มไปด้วยซากกำแพง ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่สภาพดีสักแห่งเดียว ราวกับเผชิญความโหดร้ายจากพายุหรือไม่ก็แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ อาคารทั้งหมดในเมืองเหลือแค่กำแพงเท่านั้น
“อิซราเข้าไปในถ้ำปิดผนึกแห่งหนึ่ง สัญญาณขาดหายไป ตอนนี้ผ่านไปยี่สิบนาทีแล้วแต่ยังไม่มีการติดต่อใดๆ” น้ำเสียงของปาร์คเกอร์แสดงความกังวลเล็กน้อย
“ผ่านไปยี่สิบนาทีแต่ยังไม่ติดต่อเหรอ” ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า “ถ้ามีอุบัติเหตุอะไรให้แจ้งฉันทันที”
“เข้าใจแล้วครับ”
…
ด้านในถ้ำอันมืดสลัว
อิซราถือคันธนูด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งถือมีดสั้น หลอดไฟที่ติดบนแขนส่องพื้นที่ทรงพัดขนาดสิบกว่าเมตรด้านหน้าจนสว่าง
“เธอกำลังเพ้อฝันอยู่หรือ”
อิซราตกใจ รีบหมุนตัวกลับทันที
“ใคร!?” เขาตะโกน
ตำแหน่งที่แสงบนแขนส่องถึงว่างเปล่า มีแค่เส้นทางภูเขาที่ขรุขระเท่านั้น
“ใครอยู่ตรงนั้น!? ออกมาซะ!” อิซรากล่าวเสียงเฉียบขาด
“บุตรแห่งความโกลาหล…บุตรแห่งความหวัง…ตั้งแต่วินาที่ที่เธอเกิด จักรวาลก็หมุนรอบตัวเธอแล้ว…”
อิซราฟันมีดใส่ทางซ้าย
เคร้ง!
มีดฟันผนังถ้ำที่แข็งจนเป็นรอยลึกสายหนึ่ง
“ทำเป็นลึกลับ!” อิซราถือโอกาสปิดไฟ หลับตาเล็กน้อย อาศัยลมสัมผัสพื้นที่รอบๆ
“ฝีเท้าของเธอหยุดอยู่ที่ใด ที่นั่นจะเกิดภัยพิบัติ”
เสียงใหม่ดังมาอีกครั้ง เหมือนเป็นเสียงผู้หญิง และเหมือนคนหลายคนพูดพร้อมกัน แต่ก็เหมือนเสียงกระซิบกระซาบในความมืดมากกว่า
“เป็นไปไม่ได้!” อิซราพลันง้างสายธนู
ผึง!
สายธนูตึง อิซราเล็งลูกธนูไปบริเวณรอบๆ อย่างต่อเนื่อง
“พ่อแม่ของเธอตายอย่างไร พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว พ่อบุญธรรมของเธอ ตระกูลของพ่อทูนหัว ยังมีภรรยาของเธอ และลูกสาว…ของเธอ…”
เฟี้ยว!
“ไปตายซะเถอะไอ้ชั่ว!” บาดแผลที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของอิซราเปิดออก สองตาของเขาเป็นสีแดงเล็กน้อย แสงสีแดงอ่อนๆ กะพริบในดวงตาของเขา ลมหายใจเองก็ปั่นป่วนตามไปด้วย
ลูกธนูพุ่งเข้าไปในความมืดดุจสายฟ้าฟาด แต่ก็ไร้เสียงใดๆ ราวกับถูกความมืดกลืนกิน