ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1128 พ่ายแพ้ (2)
อิซราที่มองดูอยู่ไกลๆ รู้สึกสงสารแทน
ความสามารถทั้งหมดของออร์เพิ่งจะใช้ออกมา ก็ถูกทำลายทิ้งทันที และสิ่งที่สร้างความอัปยศให้มากที่สุดก็คือ มือปืนรอบๆ เพียงแค่ทำลายความสามารถของเขาเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดฆ่ าเขา เนื่องจากไม่มีคำสั่งของลู่เซิ่ง
ตูม!
ทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือน
อิซรารีบมองไปยังการต่อสู้
ลู่เซิ่งเพิ่งต่อยหมัดใส่ทรวงอกของมือกระบี่ร่างทอง ต่อยจากด้านบนลงด้านล่าง
พื้นดินระเบิด ดินโคลนหลายชั้นปรากฏลวดลายเหมือนคลื่นทะเล กระเพื่อมออกไปยังรอบๆ จนถึงที่ที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร
เกราะบนตัวมือกระบี่ยุบเข้าไป เกราะแหลมที่เปิดออกกลับปักเข้าไปในทรวงอกของมือกระบี่
เขากระอักเลือดออกมาคำโต ล้มหงายลงไปในหลุม มือเท้าปัดป่ายเหมือนชัก ใกล้จะหมดลมหายใจเต็มที
ส่วนชายชราคาเมียร์ที่อยู่อีกด้านกลายเป็นเส้นสีขาวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ คว้าตัวออร์พุ่งหนีไปยังที่ไกลอย่างบ้าคลั่ง
เสียงปืนไล่ตามทั้งสองดังระงม แต่เป็นเพราะการระเบิดและความเร็วของอีกฝ่ายอยู่เหนือความคาดหมาย กระสุนทั้งหมดจึงยิงโดนด้านหลังของอีกฝ่าย ระเบิดดินกลุ่มใหญ่ขึ้นมาเท่านั้น
ลู่เซิ่งไม่ได้ไล่ตาม ชายชราคนนั้นมีความสามารถรักษาชีวิตอยู่หลายอย่าง หลายๆ ครั้งที่เขานึกว่าอีกฝ่ายตายแน่ ชายชราก็จะใช้ความสามารถหนีเอาชีวิตรอด ดิ้นรนออกมาจากสถานการณ ณ์ที่ต้องตายได้
แหล่งกำเนิดความสามารถของอีกฝ่ายลึกลับเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีไพ่ตายหรือไม่ จึงไม่คิดจะไล่ตามอีก
อย่างไรเขาก็มาเพื่อปกป้องอิซราเท่านั้น
ขุมกำลังรอบๆ ต่างก็ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อกดดันให้เขาปล่อยตัวอิซราไป น่าเสียดาย เขาลู่เซิ่งชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง คนที่กล้าโจมตีเขา เท่ากับรอให้เขาไปกระทืบ
“แก…จะต้อง…เสียใจ…” มือกระบี่สีทองดิ้นรนพลางสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย
“อยากจะพล่ามคำพูดอย่างการต่อสู้กับความว่างเปล่าสีดำอะไรอีกใช่ไหม ไอ้พวกสวะ! รู้จักแต่ฝากความหวังไว้บนตัวคนอื่น” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเย็นชา “ชะตาของตัวเอง ได้แต่กุมไว้ใ ในมือตัวเอง คนที่ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับสิ่งอื่น ต่างก็พ่ายแพ้ให้แก่ตัวเอง พ่ายแพ้ให้แก่ชะตากรรม”
น่าเสียดายที่ตอนนี้มือกระบี่หมดลมหายใจ ไม่ได้ยินคำพูดของเขาอีก
ตึง
ลู่เซิ่งโยนศพทิ้ง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่นี่จะเป็นฐานที่มั่นแห่งที่สี่ของสำนักมารลวง แบ่งคนส่วนหนึ่งมาตั้งค่ายที่นี่”
“รับทราบ” ผู้นำของหมัดมารลวงสองคนเข้ามาขานรับพร้อมกัน
คนชุดดำด้านนอกปราสาทพากันเข้ามาในปราสาท
ร่องรอยสมรภูมิที่หลงเหลืออยู่ทำให้คนที่เข้าไปส่งเสียงถอนใจดังจุ๊ๆ
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างรู้ว่าอิซราบุกเข้าไปช่วยคนในปราสาทเพียงลำพัง แต่ตอนนี้…
“ช่วยคนหรือ เดี๋ยวสิ…” สีหน้าอิซราพลันเปลี่ยนไป
แมร์รี่ล่ะ!
เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!
“แมร์รี่!” เขารีบพุ่งเข้าไปยังซากปราสาทครึ่งหนึ่งที่ถล่มลง
แต่ถูกแจ๊คสันที่อยู่ด้านหลังคว้าตัวไว้
“ไม่ต้องไปหรอก รอนายไปถึง เธอคงตายไปแล้ว” แจ๊คสันพูดอย่างระอา
เขาชี้ไปที่ด้านนอกปราสาท บนแคร่ตรงนั้นมีหญิงสาวอ่อนแอที่พันผ้าพันแผลไว้เต็มตัวคนหนึ่งนอนอยู่
หญิงสาวกำลังถูกคนส่งขึ้นรถพยาบาลที่มาช่วยเหลือ เตรียมไปรับการรักษาที่ซีเลีย
“แมร์รี…” อิซราแสดงสีหน้าละอายใจ เขากลับลืมเป้าหมายหลักของตัวเองไปเสียสนิท
“ไม่เป็นไรหรอก ทำใจให้ชินซะ นี่ถือเป็นจุดบกพร่องหนึ่งเดียวของการฝึกหมัดมารลวง พอสู้ไปสู้มาก็ลืมทุกอย่าง” แจ๊คสันตบไหล่เขาอย่างเห็นใจ
“ครั้งก่อนฉันสู้กับคนอื่น สุดท้ายพอโมโหก็ลืมทุกอย่างหมด เกือบจะพาไอ้หมอนั่นไปตายด้วย”
“ตามที่เจ้าสำนักบอก การใช้สติปัญญาส่วนใหญ่มากดข่มและควบคุมความสามารถปั่นป่วนสัมผัสแบบนี้ ทำให้เหลือสติปัญญาไม่มาก การที่ความสามารถในการควบคุมตัวเองลดลงจึงเป็นเรื่องปกติมาก ก” หัวหน้าหมัดลวงอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
อิซราเอามือปิดหน้าอย่างละอายใจ ขณะกำลังจะเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของแมร์รี ก็ถูกแจ๊คสันดึงมือไว้อีก
“เธอไม่เป็นไรหรอก แค่ถูกหินหล่นใส่หัวเลยสลบไป สมองไม่กระเทือนด้วยซ้ำ มีแต่แผลถลอกบนผิว นายห่วงตัวเองก่อนเถอะน่า” แจ๊คสันกดหน้าอกของอิซรา
“อ๊าก!”
อิซราร้องโหยหวน เลือดไหลออกมาจากปาก ด้านหน้ามืดมัว ในที่สุดก็หงายหลังล้มลงหมดสติ
“บาดเจ็บถึงขั้นนี้ยังทนอีก อยากตายนักเหรอไง” แจ๊คสันหมดคำพูด
จากนั้นเขาก็ให้คนหามอิซราจากไป ส่วนตัวเองเดินไปหาลู่เซิ่ง
“อิซรากับแมร์รี่ไม่เป็นอะไรครับ อาจารย์ ขั้นต่อไปจะทำอะไรต่อ”
ลู่เซิ่งละสายตากลับมาจากปราสาท
“ขยายอิทธิพล ฉันสนใจในเทคโนโลยีลึกลับของนิกายอีซิสมาก ยังมีนิกายรัตติกาลนั่นอีก พวกเขาคือขุมกำลังที่ได้สัมผัสกับคัมภีร์แรกเริ่มในตอนแรกสุด แล้ววิจัยสร้างเทคโนโลยีต่า างๆ ออกมา”
“ความหมายของอาจารย์ก็คือ คัมภีร์แรกเริ่มหรือ” แจ๊คสันถามอย่างสงสัย
“คัมภีร์แรกเริ่มมีทั้งหมดเจ็ดหน้า อิซราเคยบอกฉันว่า คนทุกคนที่หลอมรวมกับหน้ากระดาษต่างมีร่างกายอมตะของจริง เธอเข้าใจไหม” ลู่เซิ่งถามเสียงทุ้ม
“ร่างอมตะ ไม่ว่าจะอยู่ในความจริงหรือสัมผัสความเจ็บปวดเหรอครับ” แจ๊คสันผุดสีหน้าเคร่งขรึม เขาเพิ่งผ่านการทดสอบความเจ็บปวดไป สามารถเข้าออกโลกสัมผัสความเจ็บปวดได้อย่างอิสระ ย่อมมีความรู้ทางด้านนี้
“จะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือสัมผัสความเจ็บปวดก็ไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้ สิ่งที่ใช้เอาชนะพวกเขาได้มีแต่สงครามในจิตใจ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ร้ายกาจขนาดนี้เชียว” แจ๊คสันอึ้งเล็กน้อย คนที่ฆ่าไม่ตายก็คือไร้เทียมทานไม่ใช่หรือ
“ไม่ใช่ร้ายกาจ” ลู่เซิ่งส่ายหน้า เดินอยู่ในสวนของปราสาทที่เหลือแต่ซาก “แม้คนที่หลอมรวมกับหน้ากระดาษจะมีร่างอมตะ แต่ร่างกายของพวกเขาจะถูกคงไว้ในสภาพคงที่ตลอดกาล”
“สภาพคงที่เหรอครับ”
“ถูกต้อง แข็งแกร่งขึ้นไม่ได้ แต่ก็ไม่อ่อนแอลง จะคืนกลับสภาพเดิมทุกๆ ระยะเวลาหนึ่งเหมือนกับการรีเซ็ตคอมพิวเตอร์ ต่อให้จะถูกทำลายกระดูกเป็นเถ้าถ่านก็ไม่มีประโยชน์ จะคืนชีพกล ลับมาใหม่อยู่ดี” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงเรียบ
“อย่างนี้นี่เอง…มิน่าพวกเขาถึงบอกว่าอิซราเป็นคนที่พิเศษที่สุด…” แจ๊คสันเหมือนจะเข้าใจแล้ว
“เพราะเขาไม่มีข้อจำกัดนี้ เขาเป็นคนเพียงคนเดียวในบรรดาผู้เป็นอมตะที่แข็งแกร่งได้อย่างอิสระ” ลู่เซิ่งกล่าวพลางพยักหน้า
“ดังนั้นอิซราจึงเป็นความหวังของพวกเขา”
“ไม่แปลก คนที่เป็นอมตะ ถ้าหากมีพลังที่แข็งแกร่งเด็ดขาด ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดชนิดไหน ก็สามารถมองหาจุดอ่อนแล้วเอาชนะได้” แจ๊คสันคิดดูก็รู้สึกขนลุก
ถ้าผู้เข้มแข็งแบบนี้มีความชั่วร้ายนิดเดียว จะกลายเป็นภัยพิบัติของโลกทั้งใบทันที
“ออร์เมื่อก่อนหน้านี้ ความสามารถควบคุมเลือดบนตัวเขานั่น…” แจ๊คสันยังงงๆ เล็กน้อย
“น่าจะเป็นความสามารถของอุปกรณ์อย่าง” ลู่เซิ่งหยีตา พอนึกถึงอุปกรณ์ เขาก็เหลือบมองศพมือกระบี่สีทองที่เพิ่งกำจัดทิ้งไป
เกราะสีทองเข้มที่อีกฝ่ายสวมป้องกันการโจมตีของเขาไว้หลายครั้งค่อยถูกต่อยยุบเข้าไป
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปหยิบศพขึ้น แล้วเริ่มปลดเกราะบนศพออกอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่กี่นาที นอกจากเกราะส่วนที่เสียหายตรงลำตัวแล้ว ส่วนที่เหลือถูกเขากระชากออกมา เกราะขาสองข้าง เกราะแขนสองข้าง หมวกเกราะหนึ่งใบ แขนขาต่างมีครบ
ลู่เซิ่งถอดถุงมืออัศวินขาวทิ้ง แล้วลองสวมเกราะแขน เล็กอยู่บ้าง
“ลองดูว่าจะปรับเอามาใช้ได้ไหม” เขาส่งสิ่งของให้กับคนของสำนักหมัดมารลวงคนหนึ่งที่เดินเข้ามา
“ครับ” คนหลายคนเข้ามาอุ้มเกราะไป ทิ้งศพไว้บนพื้น ยังดีที่ศพสวมชุดชั้นในป้องกันความเสียหาย เลยไม่นับว่าเปลือย
“ตอนนี้ฆ่าคนของนิกายอีซิสไปแล้ว พวกเรากับอีซิสกลายเป็นน้ำกับไฟ ยังมีนิกายรัตตกาลก็เหมือนกัน พวกเราต้องเพิ่มอาณาเขตป้องกันในเรื่องนี้ไว้ด้วย” แจ๊คสันพูดเบาๆ
“เป็นอะไรไป กลัวเหรอ” ลู่เซิ่งมองเขา
“กลัวครับ” แจ๊คสันยิ้มผืด “อาจารย์เองก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ผมเป็นแค่คนธรรมดา แค่หัวไวกว่าคนอื่นเขา เทียบกับอาจารย์ที่เป็นนักสู้มาแต่ต้นไม่ได้”
“ถ้ากลัว ก็แค่ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นก็พอ พลังสามารถมอบความรู้สึกปลอดภัยมากกว่าเดิมให้เธอได้” ลู่เซิ่งตบไหล่
“อย่าไปสนใจคำพูดปลุกใจพวกนั้น จงตามหาแก่นแท้ของพลัง ไม่ว่าจะใช้เหตุผลอะไรก็ได้ทั้งนั้น คุณธรรมก็ดี ความปรารถนาก็ดี ความชั่วก็ดี หรือความเหี้ยมโหดก็ช่าง โลกเป็นสิ่งที่อำมห หิตที่สุด ผู้อ่อนแอตกเป็นอาหารแก่ผู้แข็งแกร่ง แพ้ชนะต่างหากที่ตัดสินทุกอย่าง”
“แบบนี้ถูกต้องจริงๆ เหรอครับ” แจ๊คสันถามอย่างสงสัย
“ถูกต้องอยู่แล้ว” ลู่เซิ่งบอก “มีแต่ผู้เข้มแข็งเท่านั้นถึงจะครอบครองอำนาจในการกำหนดกฎเกณฑ์ รอเธอชนะทุกสิ่งได้ ค่อยกำหนดว่าโลกจะถูกต้องหรือชั่วร้าย”
“แต่ผมเคยศึกษาประวัติศาสตร์มา ความวุ่นวายส่วนใหญ่คงอยู่ได้ไม่นาน ส่วนยุคสมัยส่วนใหญ่ การที่ผู้อ่อนแอตกเป็นอาหารแก่ผู้เข้มแข็งก็เกิดเป็นบางครั้งเท่านั้น ความถูกต้องเอาชนะค ความชั่วร้ายได้ในหลายๆ ครั้ง” แจ๊คสันกล่าวอย่างจริงจัง
“อยากรู้มั้ย ว่าทำไม” ลู่เซิงเลิกคิ้ว
“อาจารย์มีคำอธิบายเหรอครับ” แจ๊คสันโต้อย่างไม่ยอม
“เป็นเพราะผู้เข้มแข็ง ก็หวังความสงบสุขเหมือนกัน” ลู่เซิ่งยิ้ม “ถ้าเธอเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก อย่างนั้นเธอต้องการให้คนรอบๆ ตัวเองเป็นคนอำมหิตไม่มีศีลธรรม หรือเป็ นคนรักความถูกต้อง ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ล่ะ”
“ต้องเป็นอย่างหลังสิครับ” แจ๊คสันเหมือนจะเข้าใจบ้างแล้ว
“ถูกต้อง” ลู่เซิ่งมองดูคนของสำนักมารลวงเก็บกวาดบริเวณรอบๆ ถอนใจกล่าว “เพราะมนุษย์ มุ่งหน้าหาความสงบสุขโดยธรรมชาตินั่นเอง…”
“ถูกแล้วครับ คนมีคุณธรรมมีทั้งหลักการและศีลธรรม ไม่มีทางโจมตีคนอื่นๆ ตามความต้องการ พวกเขามีความแน่นอน ตรงไปตรงมา ไม่ต้องคอยป้องกันตลอดเวลา” แจ๊คสันเหมือนจะเข้าใจความหมายขอ องอาจารย์แล้ว
“ไปเถอะ ฝึกฝนเยอะๆ ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดของพวกเธอ ผ่านไปอีกสักพัก อาจไม่มีโอกาสดีขนาดนี้อีกแล้ว” ลู่เซิ่งหุบยิ้ม
“ครับ”
แจ๊คสันจิตใจสั่นไหว เดาความคิดต่อจากนี้ของลู่เซิ่งได้แล้ว
…
“หัวหน้าอัศวินแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหารมืดตายไปแล้ว ”
ในสวนดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่เหมือนสวนหิมะ ชายร่างกำยำสวมหน้ากากเหล็กสีดำคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเข็นสีขาวอันวิจิตรซับซ้อน ฟังอัศวินปกป้องนิกายที่คุกเข่าข้างหนึ่งอ อยู่ด้านข้างรายงานสถานการณ์
“ฉันเคยเตือนซีแวนไปแล้ว แต่เขาไม่เคยยอมฟัง” ชายสวมหน้ากากพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง
“พระองค์ท่าน การปฏิบัติการณ์ครั้งที่สองของนิกายมืดได้รับความเสียหายอีกครั้ง ถึงขั้นเสียแม่ทัพไปคนหนึ่ง พวกเราควรบังคับให้พวกเขาหยุดเคลื่อนไหวหรือไม่” อัศวินถามเบาๆ
“ไม่จำเป็น ด้วยความดื้อรั้นของเดลซิส จะต้องไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่ ตอนนี้พวกเราไม่สามารถแบ่งกำลังทหารไปสู้กับราชาแห่งซีเลียได้” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเสียงทุ้ม “ความว่างเปล่าสีดำคร รั้งที่เจ็ดกำลังจะมาแล้ว…ถ้าซีเลียยังอยู่ หลังจากคลื่นความว่างเปล่าผ่านไป ตอนนั้นค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย”