ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1131 ล่อลวง (3)
ไปหรือว่าไม่ไป
ความจริงคำถามนี้ไม่ได้ยุ่งยากอะไร
ลู่เซิ่งรวบรวมกำลังคนในวันนั้นทันที เขาเลือกคนสามคนจากในสำนักมารลวงออกจากซีเลียมุ่งหน้าไปยังอาโซมตอนดึกร่วมกับเขา
อาโซมอยู่ห่างจากซีเลียราวสามพันกว่ากิโลเมตร ระหว่างทางต้องข้ามสถานที่ที่มีชื่อว่าช่องแคบไข่มุก จำเป็นต้องโดยสารเรือ
และจำเป็นต้องข้ามฐานที่มั่นสามแห่ง
ลู่เซิ่งพกตัวอย่างเนื้อของดวงอาทิตย์หมายเลยหนึ่งมาด้วยก้อนหนึ่ง ขณะนี้กำลังมุ่งหน้าเลียบถนนรกร้างไปยังทิศทางที่กำหนด
พวกเขาออกจากซีเลียมาได้สามวันแล้ว ระหว่างทางคอยกำจัดสัตว์ประหลาดไปด้วย ทำให้การเดินทางล่าช้า ไม่นานรถก็น้ำมันหมด ระหว่างทางไม่มีสถานที่เติมน น้ำมัน
ลู่เซิ่งตัดสินใจพาคนลงรถแล้วเดินเท้าต่อ
เขาสังหรณ์เรื่องหนึ่งได้จากเป้าหมายของหญิงสาวดอกตูมประหลาดคนนั้น แต่เป้าหมายหลักที่เขามายังโลกใบนี้คือการตามหาครอบครัว
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกับดักหรือไม่ เขาก็ต้องไปด้วยตัวเอง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ซีเลียและอาโซมไม่มีการติดต่อสื่อสารกัน
ระหว่างทาง ลู่เซิ่งเจอสัตว์ประหลาดที่หน้าตาแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย แต่ในฐานะผู้เข้มแข็งที่ถูกจัดอยู่ระดับ A สัตว์ประหลาดพวกนี้ก็เป็นเพียงแค่ กาวน้ำเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา สามารถฝ่าผ่านได้อย่างสบายๆ
ความจริงความหมายของระดับ A ก็คือไร้เทียมทาน เจ้าหญิงแมลงศพก็ไร้เทียมทาน และลู่เซิ่งก็มอบนิยามให้ตัวเองว่าไร้เทียมทานเช่นกัน
แต่ระหว่างระดับ A ด้วยกัน ใครร้ายกาจกว่าใครกันแน่ ยังต้องสู้ก่อนถึงจะรู้ได้
…
หิมะปลิวโปรย ปูทับที่ราบเป็นสีขาวผืนหนา
ต้นไม้ใบหญ้าบนที่ราบเหมือนกับทะเลทรายสีขาว มองเห็นอะไรไม่ชัดอีกแล้ว สิ่งที่มาแทนที่คือพื้นหิมะบาดตาที่ขาวจนสว่างไสว
บนเส้นทาง พวกลู่เซิ่งสี่คนขับรถฟอร์ดจี๊ปที่เจอระหว่างทางไปด้านหน้าดังครึ่กครั่กๆ
ล้อรถจี๊ปเหมือนจะมีอะไรสักอย่างหลุดออกมาชนกับพื้นยางตลอดเวลา ส่งเสียงสั่นประสาทบาดหู
ลู่เซิ่งนั่งบนที่นั่งข้างคนขับ เล่นหนามแหลมสีเขียวที่หักมาจากร่างสัตว์ประหลาดในมือ
คนที่ขับรถคือมาร์ค ชายฉกรรจ์สองคนด้านหลังคือศิษย์มือดีของสำนักมารลวงตา พวกเขาประกาศอย่างกล้าหาญว่าจะติดตามลู่เซิ่งมาด้วย
พวกเขาเป็นพี่น้องกัน คนหนึ่งชื่อเคน อีกคนชื่อแอนดี้
ทั้งสองสูงหนึ่งเมตรเก้าสิบเซนติเมตร เตี้ยกว่าลู่เซิ่งเล็กน้อย ร่างกำยำหนั่นแน่น หนักหนึ่งร้อยหกสิบขึ้นไป เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นคนที่ไม่ค ควรหาเรื่อง
เครื่องยนต์รถทำงานอยู่สักพักก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้รถไถลไปด้านหน้า
พื้นน้ำแข็งที่เรียบลื่นเหมือนกับกระจก ทำให้รถจี๊ปขนาดใหญ่ที่หนักหนึ่งตันแล่นไปด้านหน้าได้อย่างสบายๆ
“
“อาจารย์ อากาศผิดปกติอยู่บ้างนะครับ” มาร์คเงยหน้ามองท้องฟ้า
เมฆดำเคลื่อนตัวเหนือศีรษะ มืดหม่นกดทับ อากาศร้อนระอุมาก
เมฆสีเทาที่เหมือนงูก้อนหนึ่งหมุนช้าๆ อยู่ตรงขอบฟ้าไกลออกไป ลอยละล่องราวกับสิ่งมีชีวิตจริงๆ
“ฝนใกล้ตกแล้ว…” ลู่เซิ่งเงยมองท้องฟ้า “ฝนเยือกแข็ง หิมะแทรกในลม”
“พวกเราหาที่หลบเถอะครับ” มาร์คไม่เคยสงสัยคำวินิจฉัยของลู่เซิ่ง
รถหักเลี้ยวไปทางซ้าย ผละจากถนนเส้นหลักเข้าไปในที่ราบรกร้าง
บนที่ราบมีอาคารหินร้างส่วนหนึ่งโผล่มาเป็นระยะ ส่วนใหญ่เป็นซากโบราณสถานหินในอดีต บางครั้งยังมีปราการหินขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก
รถลดความเร็วลง ค้นหาอยู่สักพัก ไม่นานก็เจอปราสาทร้างเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับราวป่าท้อแห่งหนึ่ง
ปราสาทขุดคูเมืองลึก อาณาเขตครึ่งวงกลมรอบๆ มีป่าท้อสีเหลืองเข้มผืนใหญ่ ยังมีเสียงน้ำไหลเบาๆ
“ที่นี่ไม่เลว ตรวจสอบดูก่อนว่ามีภูตผีหรือไม่ จากนั้นค่อยหาที่พักผ่อน” ลู่เซิ่งกำชับ
“ครับ”
รถขับตรงไปยังปราสาท
ตอนที่หยุดข้างสะพานหินหน้าประตูใหญ่ ก็มีร่างคนหลายร่างชะโงกออกมาจากในปราสาท
คนพวกนี้สวมเสื้อลายพลางที่เก่าเล็กน้อย ถือปืนในมือ
“ใครน่ะ”
มีเสียงตะโกนมาจากด้านใน
“ผ่านทางมา ขอที่พักผ่อน” มาร์คตอบเสียงดัง
ด้านในเงียบไปพักหนึ่ง
“พวกนายทางซ้าย พวกเราทางขวา”
“ได้!”
มาร์คดูออกว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคาราวานที่มาอาศัยที่นี่ชั่วคราว
ที่นี่มีคาราวานเดินทางไปๆ มาๆ ไม่น้อย หลายกลุ่มจะพกพาอาวุธไว้คอยป้องกันตัว ไม่อย่างนั้นคนทั่วไปก็ยากจะเดินทางในป่าที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยอันต ตราย
รถแล่นผ่านสะพานหินเข้าสู่ปราสาท เข้าไปทางด้านซ้ายตามที่ตกลงกัน
มาร์คหาที่ว่างจอดรถ ก่อนจะลงรถพร้อมกับพวกลู่เซิ่ง
ในกำแพงสูงของปราสาทค่อนข้างกว้างขวาง ใหญ่ราวสนามฟุตบอล พวกเขาสี่คนยึดครองที่หนึ่ง คนห้าคนอีกฝั่งยึดครองที่หนึ่ง
อีกฝ่ายก่อกองไฟ เปลวไฟสีแดงฉานสูงเท่าคนครึ่ง ส่งเสียงฟืนระเบิดดังเปรี๊ยะๆ เป็นระยะ
มาร์คหามุมกำแพงที่กว้างขวาง แล้วกางเต็นท์บังฝนบนรถไว้เหนือศีรษะ ทำเป็นจุดพักผ่อนง่ายๆ
ที่เหลืออีกสองคนเริ่มก่อไฟทำกับข้าว
ลู่เซิ่งหยิบกล่องโลหะสีดำใบเล็กออกมาจากเป้สะพายหลัง เปิดกล่องออก ด้านในมีกล่องโลหะสีขาวอีกชั้น เขาเปิดกล่องขาว ระหว่างกำมะหยี่สีดำด้านใ ในมีเนื้อทรงกลมขนาดเท่าไข่มุกวางอยู่ก้อนหนึ่ง
ลู่เซิ่งหยิบก้อนเนื้อออกมาแล้วใช้นิ้วแคะเศษลงมาเบาๆ จากนั้นก็วางก้อนเนื้อกลับไปในกล่อง ปิดกล่องสองชั้น แล้วเก็บใส่เข้าไปในเป้สะพายหลังอ อีกรอบ
จากนั้นเขาก็กอบหิมะบางส่วนมาจากรอบๆ ตัว หาก้อนหินและวัชพืชส่วนหนึ่งมากองรวมกัน ก่อนจะโรยผงเศษเนื้อกลางฝ่ามือใส่กองสิ่งของกองนี้
“อาจารย์ อาจารย์ทำอะไรน่ะครับ” มาร์คกางเต็นท์เสร็จแล้ว จึงมาดูลู่เซิ่งโปรยผงอย่างสนใจ
“ทำกับข้าว”
“ทำกับข้าวหรือ” มาร์คผุดสีหน้างุนงง
“อาหารแห้งของพวกเราหมดแล้ว ต้องประหยัดหน่อย มื้อนี้ฉวยโอกาสตอนที่รอบๆ ยังมีวัตถุดิบ ประทังหิวไปก่อน”
เวลานี้กองไฟด้านข้างลุกไหม้แล้ว ลู่เซิ่งขยับเข้าไปหยิบฟืนที่ลุกไหม้มาดุ้นหนึ่ง แล้วจ่อเข้ากับกองหิมะของตัวเอง
ซู่…
อย่างค่อยเป็นค่อยไป เสียงที่เหมือนกับแมลงกินอาหารก็เริ่มดังมาจากในกองหิมะ
ไม่นานนัก ภายใต้สายตาราวเห็นผีของมาร์คและอีกสองคน กองหิมะด้านหน้าลู่เซิ่งก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาด
เดิมทีกองหิมะสีขาวผสมกับก้อนหินและวัชพืช แต่เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นหิมะ วัชพืช หรือก้อนหิน ต่างก็เริ่มละลายอย่างรวดเร็วเหมือนเทียนไข
สิ่งของทั้งหมดกลายเป็นเมือกสีเนื้อในเวลาสิบกว่านาทีสั้นๆ เมือกกัดกร่อนพื้นดินอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่นานนัก ราวๆ ยี่สิบวินาที กระบวนการกัดกร่อน นก็ค่อยๆ หยุดลง
“พลังชีวิตอยู่ได้แค่ครึ่งนาที” ลู่เซิ่งดูนาฬิกาข้อมือแล้วยื่นมือไปหยิบเมือกก้อนนี้ขึ้นมา
เมือกถึงกับแข็งตัวเป็นวุ้น
“เอาไปต้มซุปที สารอาหารดีมากนะ” ลู่เซิ่งส่งวุ้นให้กับมาร์ค
มาร์ครับของมาด้วยสีหน้างุนงง วุ้นสีอำพันก้อนนี้สั่นไหวในมือเขา เหมือนกับเยลลี่สีเนื้อขนาดใหญ่เท่าอ่างล้างหน้า
“นี่เป็นอาหารเร่งด่วน อาหารทหารเร่งด่วนที่สร้างจากเซลล์แกนกลางในเนื้อของปาฮั่น ใช้เปลี่ยนคุณสมบัติของทั้งหมด ยกเว้นโลหะ เพื่อเปลี่ยนให้เป ป็นโปรตีนและไขมันสำหรับชดเชยให้พวกเราได้” ลู่เซิ่งอธิบาย
“…สิ่งนี้ กินได้เหรอครับ” มาร์คหมดคำพูด
“แน่สิ ลองดูเถอะ” ลู่เซิ่งหัวเราะ
ไม่นาน มาร์คก็ใช้สิ่งนี้ต้มเป็นซุปเนื้อที่ดูน่ากินมาก ยังไม่ทันสุก กลิ่นหอมในหม้อก็ลอยไปไกลแล้ว
แม้แต่ขบวนคนแปลกหน้าอีกฝั่งก็ยังอดจ้องมองมาทางนี้ไม่ได้
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปตักซุปขึ้นเป่าแล้วเงยหน้าดื่มลงไป
“หอมมาก”
“อาจารย์…อาจารย์แน่ใจนะว่าพวกผมกินได้” มาร์คเอ่ยอย่างลำบากใจ
“เธอก่อนหน้านี้กินไม่ได้ ตอนนี้ได้แล้ว” ลู่เซิ่งตอบอย่างจริงใจ
เนื้อปาฮั่นมีพิษรุนแรง คนธรรมดาที่คุณสมบัติร่างกายไม่ผ่านเกณฑ์กินเสร็จจะตายทันที แต่พวกมาร์คฝึกหมัดมารลวงมานาน ทั้งยังกินเนื้อปาฮั่นที่ เจือจางแล้วมานานขนาดนี้ คุณสมบัติต้านทานจึงแข็งแกร่งขึ้นมาก
หลังกินซุปเนื้อนี้ไปย่อมไม่มีผลข้างเคียงอะไร
“ได้ครับ…” พอเห็นอาจารย์กินไป ทั้งสามคนที่เหลือก็จนปัญญา ได้แต่เอาชามมาตักกิน ชามใครชามมัน
ครืนๆ…
เสียงฟ้าร้องดังมาเป็นระยะ
ขอบฟ้าสีดำนอกปราสาทหินมีสายฟ้าแลบเป็นสีน้ำเงิน
ไม่นานนัก เสียงฝนตกปรอยๆ ก็ดังซ่าๆ
หลังลู่เซิ่งกินซุปเนื้อไปครึ่งชามก็รู้สึกอิ่ม ลุกขึ้นพิงรถจุดบุหรี่ให้ตัวเอง แล้วอัดควันเบาๆ
เขาที่อยู่ไกลออกมา เห็นคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหัวเราะกันอยู่รอบกองไฟ ผู้หญิงสองคนปิดปากโก่งตัว ผู้ชายคนหนึ่งอ้าแขนเถียงอะไรบางอย่างด้วยท่า าทางว้าวุ่นใจ
“หนุ่มสาวนี่ดีจริงๆ” ลู่เซิ่งอดยิ้มไม่ได้
“อาจารย์ก็ยังไม่แก่นี่ครับ” มาร์คเข้ามาสูบบุหรี่เป็นเพื่อน
“เธอไม่เข้าใจ ความยาวของชีวิตจะดูที่อายุไม่ได้” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงเรียบ เขาเห็นคนฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ชายคนหนึ่งก้มหน้าเหมือนม มองอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งบนเอวตัวเอง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ บอกอะไรสักอย่างกับคนที่เหลืออย่างเร่งร้อน
ฟ้าร้องดังครืนครัน บวกกับพวกเขาใช้ภาษาถิ่น ลู่เซิ่งเลยไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้างก็คือ หลังคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของชายคนนั้น ต่างก็ลนลานลุกขึ้น
“เหมือนจะเกิดอะไรขึ้นนะ” มาร์คเอ่ยอย่างสงสัย
สวบๆๆ!
ทันใดนั้นก็มีเสียงเหยียบหิมะแผ่วเบา ดังมาจากด้านนอกปราสาทอย่างหนาแน่น เหมือนมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางปราสาทแห่งนี้พร้อมกัน
“ตัวอะไรน่ะ” มาร์คพลิกมือชักมีดสั้นต่อสู้ขึ้นมาจากน่อง แล้วเดินไปมองด้านนอกผ่านประตูเมือง
“ฉิบหาย!” เขาสะดุ้งโหยง เกือบโดดผึงขึ้นจากพื้น
ลู่เซิ่งพุ่งร่างไปถึงประตูเมืองแล้วมองไปยังด้านนอกเช่นกัน
ร่างสีดำจำนวนเหลือคณานับบนพื้นหิมะนอกประตูเมืองกำลังกรูกันมาทางปราสาท
ร่างพวกนั้นไม่เห็นชายขอบ มองไปตรงไหนก็เห็น มีจำนวนไร้สิ้นสุด
ร่างพวกนี้ประกอบขึ้นจากคนหัวล้านร่างเตี้ยผิวสีเทาหลายคนที่แผ่นหลังงองุ้ม
คนพวกนี้ไม่มีดวงตา มีเพียงห้าอวัยวะที่เหลือ พวกเขาส่วนใหญ่ถือหอกหิน กล้ามเนื้อล่ำสันทำให้พวกเขาดูไม่น่าเจรจาด้วย
“คนไร้ตา! บ้าเอ๊ย! เป็นคลื่นความว่างเปล่า!” ในที่สุดเสียงที่บาดหูแต่ฟังเข้าใจก็ดังมาจากข้างกองไฟอีกฝั่ง
……………………………………….