ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1132 ล่อลวง (4)
“คลื่นความว่างเปล่าหรือ” ลู่เซิ่งมองทางนั้นอย่างประหลาดใจ แม้คนไร้ตาพวกนั้นจะมีเป็นจำนวนมาก แต่พวกมันมีพลังและกลิ่นอายต่ำมาก อยู่คนละระด ดับกับศิษย์มือดีเช่นพวกมาร์คสามคนโดยสิ้นเชิง แค่ตบทีเดียวก็ฆ่าทิ้งได้
เพียงแต่เมื่อเผชิญกับคำว่าคลื่นความว่างเปล่า เขาก็รู้สึกสนใจอย่างบอกไม่ถูก
“ครั้งนี้แย่แล้ว…เป็นคลื่นความว่างเปล่า!” มาร์คตอบสนอง ไม่รอลู่เซิ่งถาม เขาก็รีบอธิบายว่า
“อาจารย์ คลื่นความว่างเปล่าหมายถึงสัตว์ประหลาดจำนวนมากปรากฏตัวและโจมตีจุดรวมพลทุกๆ ระยะเวลาหนึ่ง ในเวลาแบบนี้ สัตว์ประหลาดทั้งหมดจะปรากฏในควา ามจริงและเข้าร่วมสงครามนี้”
“โจมตีฐานที่มั่นหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว “ระดับความรุนแรงล่ะ”
มาร์คส่ายหน้าพลางกล่าว “เรื่องนี้ผมเองก็ไม่รู้…แต่คนที่เจอเหมือนจะรู้เรื่องไม่น้อย”
“เคน ไปขวางไว้” ลู่เซิ่งหันไปมองเคนที่วางชามลง
“ครับ! อาจารย์” เคนฉีกยิ้มยิงฟันพลางสาวเท้าก้าวมายังปากประตูเมือง
คนไร้ตาพวกนั้นเบียดกรูกันมาจากบนสะพานหินแล้ว
ปังๆๆ!
เสียงปืนระเบิดอย่างฉับพลัน
กระสุนปืนกลจำนวนมากระเบิดจากกองไฟฝั่งตรงข้าม กระสุนตวัดเป็นโซ่กระสุนต่อเนื่อง ตัดเฉือนกลางฝูงคนไร้ตา
เลือดเนื้อปลิวว่อน เสียงร้องโหยหวนดังเป็นระยะ
ศพของคนไร้ตาจำนวนมากพลิกกลิ้งตกจากสะพานหิน แต่พวกมันไม่เกรงกลัว กลับพุ่งมายังประตูเมืองอย่างเดือดดาลกว่าเดิม
“อาลาซา” เสียงแหลมเสียงหนึ่งดังขึ้น
ด้านหลังคนไร้ตามีวงน้ำแข็งสีขาวหมุนวนลอยออกมา
วงน้ำแข็งหมุนวนด้วยความเร็วสูง มันมีขนาดเท่าอ่างอาบน้ำ ต้านทานกระสุนพลางพุ่งใส่ตำแหน่งของกองไฟอีกฝั่ง
ทางนั้นรับมือไม่ทัน โดนกระแทกใส่จังๆ
วงน้ำแข็งระเบิด ดับกองไฟอีกฝั่ง มีสามคนในห้าคนล้มลง เกล็ดน้ำแข็งสีฟ้าผืนหนาปกคลุมทั่วร่าง
ยังมีชายหญิงอีกสองคนกรีดร้อง ถอยหนีไปด้านหลังอย่างแตกตื่นหวาดกลัว
กระสุนปืนหยุดลง
เหล่าคนไร้ตามุ่งมายังประตูเมืองต่ออย่างเงียบเชียบ
“นั่นมันอะไร เวทมนตร์เหรอ” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
มาร์คส่ายหน้า
“ไม่รู้ครับ ก่อนหน้านี้พวกเรารู้จักแต่นิยามคลื่นความว่างเปล่า แต่ไม่เคยมีคนรอดชีวิตมาได้ คนที่เจอคลื่นความว่างเปล่าทั้งหมดล้วนตายไปแล้ว”
“แค่จำนวนอย่างเดียวก็ลำบากมากจริงๆ แต่นี่มันสำหรับคนธรรมดา” ลู่เซิ่งผงกศีรษะ
ด้านนอกเมืองมืดทะมึนไปทั้งฟ้าทั้งดิน ไม่ทราบมีคนไร้ตากี่คนถือหอกพุ่งเข้ามา
พวกเขาเหมือนโผล่ออกมากลางอากาศ มองไม่เห็นแหล่งที่มา และบอกไม่ถูกว่าคนที่อยู่อีกฝั่งอาศัยอะไรถึงพบร่องรอยของพวกเขา
“ย้าก!”
เวลานี้เคนพุ่งเข้าไปในฝูงคนไร้ตาแล้ว
กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งมีความเร็วและกำลังที่เหี้ยมหาญ เขาวาดสองแขนเบาๆ กะโหลกของคนไร้ตาสิบกว่าคนพากันระเบิดก่อนร่างจะล้มลงกับพื้น
คนไร้ตาทั้งหมดควงหอกยาว อย่างมากสุดก็ได้แต่ปัดป่ายใส่ที่ว่างรอบตัวเคน แต่กลับทำร้ายพวกเดียวกันแทน
ทุกๆ การโจมตีของพวกมันผิดพลาด กระแทกใส่ความว่างเปล่าทั้งหมด
เหล่าศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักมารลวงมีพลังไม่พอ ทำได้ไม่ถึงขั้นปั่นป่วนสัมผัส ดังนั้นจึงลดเงื่อนไขลง สร้างวิธีพิเศษในการทำให้สัมผัสเบี่ยงเบนข ขึ้นมา
ขอแค่บิดเบี้ยวเป้าหมายในช่วงเวลาสำคัญที่อีกฝ่ายโจมตีตัวเอง จะสามารถทำให้อีกฝ่ายโจมตีพลาดได้อย่างง่ายดาย
เวลานี้เคนกำลังทำอย่างที่ว่า
เขาต่อยหมัดอย่างสงบนิ่ง ทุกๆ หมัดฆ่าคนไร้ตาได้สิบกว่าคน
กำปั้นของเขาไม่ได้กระแทกใส่ร่างคนไร้ตาจริงๆ หากพุ่งผ่านข้างตัวพวกเขาไป
คนไร้ตาทั้งหมดที่ถูกหมัดวาดผ่านจะเหมือนโดนอะไรสักอย่างทุบศีรษะ พากันล้มลงกับพื้น จากนั้นกะโหลกค่อยระเบิดดังโผละ
“การเบี่ยงเบนสัมผัสและหมัดมารลวงแยกร่าง สมกับเป็นเคน ต่อให้ผมลงมือเองอย่างมากสุดก็ถึงแค่ระดับนี้เท่านั้น” มาร์คถอนใจชมเชย
ในฐานะยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดนอกจากอิซรา แจ๊คสัน และพวกผู้ทับซ้อน เขามีสิทธิ์ยืนวิจารณ์กระบวนท่าของเคนอยู่บนที่สูง
เลือดรวมตัวอย่างรวดเร็ว ศพกองสุม จำนวนของคนไร้ตาบนสะพานหินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งต่อมาก็แทบกองรวมกันไม่ไหว เริ่มหล่นลงไปในคูน้ำสองฟากข้าง
มองไปในคูน้ำแห้งผาก มีศพหลายร้อยศพกองรวมกันแล้ว
เคนผุดสีหน้าไร้อารมณ์ สถานที่ที่สองแขนวาดผ่านกลายเป็นการสังหารฉากหนึ่ง
ฟ้าว!
วงน้ำแข็งอีกวงหนึ่งพุ่งมาใส่ตัวเขา
เคนเบี่ยงตัว วงแหวนน้ำแข็งหมุนพุ่งผ่านข้างตัวเขาไปชนใส่กำแพงอย่างหวุดหวิด
ตูม!
กำแพงเมืองผืนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งสีฟ้า
“แอนดี้ เธอไปจัดการพวกระยะไกล” ลู่เซิ่งหันไปมองศิษย์อีกคนที่กำลังดื่มน้ำอยู่
“ครับอาจารย์” แอนดี้พยักหน้า วางแก้วน้ำลง ก่อนจะพุ่งไปยังประตูเมือง หายลับไปกับความมืด
พวกเขาสองพี่น้องหนึ่งสว่างหนึ่งมืด วิชาที่ฝึกฝนต่างเป็นแนวสนับสนุนซึ่งกันและกัน
คนไร้ตากลุ่มใหญ่พากันล้มลงอย่างไร้สุ้มเสียงกลางความมืด ศพที่ล้มลงกลายเป็นเส้นทางสายหนึ่ง เชื่อมไปยังส่วนลึกของทัพคนไร้ตา
ตรงนั้นมีคนไร้ตาผมขาวที่ถือคทาสีฟ้ายืนอยู่
วงแหวนน้ำแข็งวงใหม่รวมตัวด้านหน้าคนไร้ตาผมขาวคนนี้ด้วยความเร็วสูง แต่มันยังไม่ทันยิงออกไป
เปรี้ยง!
วงแหวนน้ำแข็งระเบิด ทรวงอกของคนไร้ตาคนนี้ระเบิดแหลก ร่างท่อนบนและร่างท่อนล่างแยกจากกัน ขาดเป็นสองซีก
ไม่ถึงห้าวินาที แอนดี้ก็โผล่ขึ้นข้างลู่เซิ่ง ใบหน้าปรากฏสีแดงก่ำอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
“จัดการแล้วครับ”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
แอนดี้เดินบนเส้นทางระเบิด แต่การคงสภาพไม่ดีนัก ส่วนเคนเดินบนเส้นทางปะทะซึ่งหน้า อานุภาพในระยะเวลาสั้นๆ ไม่เท่าแอนดี้ แต่มีความทนทานเหนือ อมนุษย์
การบุกของคนไร้ตา ดำเนินอยู่สามชั่วโมงกว่าๆ จึงค่อยเบาบางลง
ศพกองอยู่ในคูเมืองด้านนอกเหมือนภูเขา มองไปมีจำนวนไม่ต่ำกว่าหมื่น
เส้นทางน้ำที่แห้งผากเกือบถูกถมเต็ม
แม้เคนจะมีความอดทนเกินคน แต่ก็เหน็ดเหนื่อยอิดโรยเช่นกัน
นอกจากพวกเขาสองพี่น้องลงมือแล้ว มาร์คกับลู่เซิ่งไม่ได้ขยับตัว ระดับเพียงเท่านี้ อันตรายที่พวกเขาเจอตอนกำจัดสัตว์ประหลาดในซีเลียยังมีมากกว่า านี้เสียอีก
“จบแล้วเหรอ” มาร์คเดินถึงหน้าประตูเมืองพร้อมมองไปด้านนอก
“ตอนนี้น่าจะหมดแล้ว” เคนพยักหน้า ร่างกายเปื้อนคราบเลือดสีแดงเข้ม “มีเสื้อสะอาดให้เปลี่ยนไหม”
“อย่าเพิ่งเปลี่ยน คลื่นความว่างเปล่าไม่ได้เรียบง่ายขนาดนี้ นี่เป็นระลอกแรก ฉันเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกว่า คลื่นความว่างเปล่ามีอย่างน้อยสามร ระลอกขึ้นไป!” มาร์คกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อาจารย์ พวกเราต้องไปจากที่นี่ทันทีครับ”
“ไปเหรอ ไปไหนล่ะ ในเมื่อคลื่นความว่างเปล่ายุ่งยากมาก ถ้าพวกเราไปที่อื่นจะป้องกันได้ลำบากกว่าเดิมไม่ใช่เหรอ” ลู่เซิ่งถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่…ผมเป็นห่วง…ซีเลียอยู่บ้าง” มาร์คเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ซีเลียหรือ” ลู่เซิ่งนิ่งไป ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น “ฉันว่าสิ่งที่เธอควรห่วงคือพวกเรามากกว่า…”
เขาพลันเงยหน้าขึ้น สัตว์ประหลาดสีดำที่ร่างเต็มไปด้วยหนามแหลมตนหนึ่ง ยืนอยู่เหนือกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
สัตว์ประหลาดตัวนั้นเหมือนกับชายฉกรรจ์สวมเกราะหนาม บนคอมีศีรษะสองข้าง ข้างหนึ่งเหมือนงู ข้างหนึ่งเหมือนม้า
หางยาวหยาบใหญ่ซึ่งมีลายเหมือนเสือสะบัดไปมาอยู่บนสะโพก
คล้ายรับรู้ว่าตนเองถูกพบแล้ว สัตว์ประหลาดตนนี้จึงกระโดดลงด้านล่างเบาๆ แล้วพุ่งมาทางลู่เซิ่ง
โฮก!
เสียงคำรามดังขึ้นกลางพื้นหิมะ
แอนดี้เข้าปะทะซึ่งหน้าโดยไม่รีรอ
เขาหวดสองหมัดเป็นร่องรอยพิศวง ทิ่มแทงใส่ร่างสัตว์ประหลาดดุจสายฟ้าฟาดเจ็ดครั้ง
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!
มีเสียงระเบิดเพียงห้าครั้ง
สัตว์ประหลาดร้องครางเจ็บปวด เข้าต่อสู้ระยะประชิดกับแอนดี้ ทั้งสองสู้กันเป็นพัลวัน พุ่งถึงมุมอีกมุมของกำแพง
“จุ๊ๆๆๆ…ร้ายกาจจริงๆ…แม้แต่ศิษย์ของตัวเองก็แข็งแกร่งถึงขั้นนี้แล้ว…”
ชายผมยาวที่มีหางยาวสีดำโบกไปมาด้านหลังเดินเข้าประตูเมืองมาพร้อมปรบมือ
“แกเป็นใคร” ลู่เซิ่งสัมผัสกลิ่นอายความว่างเปล่าได้จากร่างอีกฝ่าย พลังระดับสูงอย่างพลังแห่งความว่างเปล่าไม่ใช่สิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปจะทนรับไ ได้
สามารถครอบครองพลังที่อยู่ในระดับแหล่งกำเนิดโลกแบบนี้ได้ หมายความว่ามันคงไม่ใช่ตัวเบี้ย
“พยัคฆ์ดำ” ผู้ชายตอบด้วยรอยยิ้ม “คุณจะเรียกฉันแบบนี้ก็ได้”
“เป้าหมายของแกคืออะไร” ลู่เซิ่งผุดสีหน้าไร้อารมณ์ แอนดี้ที่อยู่ด้านหลังชักมือออกจากร่างสัตว์ประหลาด สลัดเลือดบนมือทิ้ง แล้วกลับมาอยู่ด้าน นหลังเขาเงียบๆ
“เป้าหมายหรือ” พยัคฆ์ดำหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งไร้สติ “แน่นอนว่าเป็น…การมาหาคุณ”
ร่างสูงใหญ่หลายร่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นด้านนอกกำแพงเมืองด้านหลังเขา เป็นสัตว์ประหลาดสองหัวที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นเมื่อครู่
ไม่เพียงเท่านั้น สัตว์ประหลาดสีขาวร่างอ้วนที่สูงใหญ่ถึงห้าเมตรกว่าๆ ก็กำลังเดินมาทางปราสาทเช่นกัน
มองไปไกลๆ นั่นเป็นยักษ์สูงใหญ่ตัวอ้วนที่มีเขาสองข้างเหนือศีรษะ
มันแบกกระบองเขี้ยวหมาป่าขนาดยักษ์ สวมผ้าขี้ริ้วแบบดั้งเดิม ท่าทีงุ่มง่ามเชื่องช้า
“อาจารย์…!” สีหน้าของแอนดี้และเคนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย จำนวนมากมายขนาดนี้ แค่สัตว์ประหลาดสองหัวตัวเมื่อกี้ก็เข้าใกล้ระดับ D แล้ว จำนวนมาก กมายแบบนี้ มองไปมีจำนวนไม่ต่ำกว่าหลายพัน ยังมียักษ์สูงห้าเมตรกว่าๆ อีก...
“พยัคฆ์ดำใช่ไหม” ดวงตาลู่เซิ่งนิ่งสงบ ขณะมองชายมีหางที่อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงสิบกว่าเมตร
“ฉันอยากรู้คำตอบบางอย่าง คำตอบที่อาจจะมีแต่แกที่รู้…”
“งั้นเหรอ ฉันยินดีมากที่จะคุย…แน่นอนว่า เงื่อนไขคือ คุณจะต้องรอดชีวิตให้ได้…” พยัคฆ์ดำถอยหลังเบาๆ กางสองแขน แล้วคำนับลู่เซิ่งด้วยรอย ยยิ้ม
สัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนด้านหลังโอบล้อมเข้ามา
…
เปรี้ยง!
พยัคฆ์ดำกระแทกใส่ก้อนหินใหญ่บนที่ราบด้วยร่างอาบเลือด
ก้อนหินระเบิดแหลกเหมือนเต้าหู เศษหินมากมายกระจัดกระจาย
เขาลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ลากรอยเลือดข้างใต้ร่างหนีไปยังที่ไกล
ต่อให้เป็นตอนนี้ ภาพน่ากลัวเมื่อครู่ก็ยังประทับอยู่ในความทรงจำของเขา ไม่จางหายไปไหน
กองทัพตั้งมากมายขนาดนั้นเชียวนะ!
ฉึก!
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ลูกศรเลือดดอกหนึ่งก็ยิงออกมาจากทรวงอกของเขา คล้ายถูกอะไรบางอย่างแทงทะลุอก พุ่งล้มไปบนพื้น
ถัดจากนั้นเขาก็หอบหายใจอย่างรุนแรง ตะเกียกตะกายลุกขึ้น แล้วพุ่งเข้าไปในอาคารหินที่เก่าคร่ำคร่าและขรุขระหลังหนึ่ง
อาคารหินเป็นส่วนหนึ่งของซากโบราณสถานที่ถูกทิ้ง
ลู่เซิ่งเดินถึงหน้าประตูหิน มองดูเงามืดดำทะมึนด้านในด้วยสีหน้าคงเดิม
“ยังดิ้นรนอีกเหรอ”
เขายื่นมือออกมา
ตูม!
ซากโบราณสถานหินที่สูงหลายเมตรระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่น อาคารหินส่งเสียงกรีดลมพลางปลิวกระจายไปรอบๆ ก่อนหล่นลงบนพื้นเหมือนกับดินระเบิดรุนแรง ง
……………………………………….