ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1133 เจอกันอีกครั้ง (1)
ร่างสีดำร่างหนึ่งถูกระเบิดกระเด็นออกไป กระอักเลือดออกมาคำโต แต่ตอนใกล้ร่วงลงถึงพื้น เงาดำที่ปรากฏบนพื้นก็กินร่างนั้นเข้าไป ก่อนจะหายส สาบสูญ
“อาจารย์ เป็นพวกเดียวกัน จะให้พวกเราลงมือไหมครับ” พวกมารค์ส่งเสียงถามขึ้นด้านหลังลู่เซิ่ง
“ไปตรวจสอบรอบๆ อย่าปล่อยผ่านรายละเอียดใดๆ” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงเรียบ
“ครับ!” อีกสามคนกระจายตัวไปตรวจสอบซากโบราณสถานอย่างละเอียด
ส่วนลู่เซิ่งเดินถึงจุดที่เงามืดกินพยัคฆ์ดำ
เขาก้มมองพื้น
ทันใดนั้นเขาก็ฟาดฝ่ามือลงดินอย่างรุนแรง
ครืน!
เสียงระเบิดทึบหนักดังสนั่นมาจากส่วนลึกใต้ดิน
“โฮก!”
สัตว์ประหลาดที่เหมือนมังกรยักษ์สีดำทะลวงพื้นดินที่อยู่ใกล้ๆ ออกมา ยังไม่ทันพุ่งขึ้นฟ้า มันก็ตัวระเบิดกลายเป็นก้อนเลือดแล้วโปรยปรายลงมาเต็ มพื้น
“ฉันจะฆ่าแก!” ในซากโบราณสถานไกลออกไปมีร่างสีดำร่างหนึ่งพุ่งมาหาลู่เซิ่งดุจสายฟ้าฟาด
ยังไม่รอเขาเข้าใกล้ ความบิดเบี้ยวโปร่งใสกลุ่มหนึ่งก็ฟาดใส่ผิวของเขาอย่างหนักหน่วงก่อนก้าวหนึ่ง
ตูม!
ฝนเลือดตกลงมาจากกลางท้องฟ้าอีกรอบ
เลือดเนื้อนับไม่ถ้วนถูกแบ่งเป็นเศษซากที่เล็กยิ่งกว่าเล็บนิ้วขณะตกร่วงลงมา
ลู่เซิ่งยืนขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ร่างเมื่อครู่ไม่ใช่พยัคฆ์ดำ เขาเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน
มีเสียงต่อสู้แผ่วเบาดังมาจากอาคารหินที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ลู่เซิ่งเงยหน้ามอง ก่อนวูบไหวร่างข้ามผ่านระยะห่างหลายสิบเมตรในพริบตา พาเงาหลงเหลือไปหยุดอยู่หน้าอาคารหินที่ส่งเสียงดัง
เคนกำลังสู้ระยะประชิดกับหญิงชุดแดงคนหนึ่ง ยังไม่รอพวกเราตัดสินผลแพ้ชนะ
ลู่เซิ่งก็หันไปมองหญิงชุดแดง
เธอพลันชะงัก ดาบที่เดิมแทงใส่เคนโค้งอย่างน่าประหลาด
สวบ!
ปลายดาบเสียบเข้าไปในอกตัวเอง หญิงสาวลืมตาโพลง ก่อนล้มลงกับพื้นด้วยใบหน้างุนงง
อาคารหินแห่งนี้ใหญ่กว่าอาคารหินหลังเมื่อครู่มาก เสาหินหลายต้นที่สูงเกือบหกเมตรกว่าๆ ค้ำยันประตูใหญ่ของอาคารหินเอาไว้
ลู่เซิ่งเดินไปถึงหน้าประตูแล้วมองไปด้านในผ่านประตูใหญ่ที่เปิดอ้า ยังไม่ทันยืนตั้งหลักก็มีเสียงแหวกอากาศดังมาจากในความมืด
ลู่เซิ่งมองเห็นอย่างชัดเจนว่า พยัคฆ์ดำกำลังวิ่งตะบึงไปยังส่วนลึกของอาคารหิน
ขณะเขากำลังจะไล่ตามไปนั่นเอง
ฟ้าว!
ค้างคาวหินสองหัวที่ปีกยาวสี่เมตรกว่าๆ ก็โถมพุ่งออกมาจากความมืดมิดอย่างฉับพลัน
ลู่เซิ่งคว้าค้างคาวเอาไว้
ค้างคาวสองหัวร้องโหยหวน ก่อนโดนฟาดใส่ผนังสองฟากข้างเหมือนของเล่น แล้วแหลกสลายเป็นเศษหินนับไม่ถ้วน
ลู่เซิ่งเดินเข้าอาคารหินด้วยสีหน้าเฉยชา ไล่ตามพยัคฆ์ดำต่อไป
เขารู้สึกสนใจมากว่าผู้ทับซ้อนที่หลอมรวมกับคัมภีร์แรกเริ่มมีร่างอมตะจริงๆ หรือไม่
จนถึงตอนนี้ เขาฆ่าอีกฝ่ายไปแล้วสิบสามครั้ง ยังไม่เห็นสัญญาณว่าพยัคฆ์ดำจะหมดลมโดยสิ้นเชิง
และสิ่งที่ทำให้เขาสนใจก็คือ พยัคฆ์ดำมาจากขุมกำลังใดกันแน่ เป้าหมายคืออะไร และมีวิธีหาร่องรอยของพวกมันเวลาอยู่ในป่าอย่างไร ปัญหาพวกน นี้ต้องการคำตอบจากอีกฝ่าย
ส่วนการหลบหนี สถานที่ที่พยัคฆ์ดำล่อให้เขาไปตลอดทาง ล้วนเป็นฐานที่มั่นที่คล้ายฐานทัพของอีกฝ่าย และเขาก็ยินดีจะทำลายฐานทัพที่กระจัดกระจา ายพวกนี้อยู่แล้ว
อาคารหินขนาดยักษ์เหมือนกับวิหารหินมากกว่า ด้านในดำทะมึนเต็มไปด้วยเทวรูปหินหลายแถว เทวรูปบางส่วนมีรอยร้าวเหมือนใยแมงมุม ดูเหมือนจะถูกทิ้งมาห หลายปีแล้ว
พยัคฆ์ดำที่เข้าไปด้านในหายตัวไปโดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งเดินไปถึงหน้าเทวรูปแปดเศียรองค์หนึ่งที่มีขนาดใหญ่สุด
เปรี้ยง!
เขายื่นมือออกมาฟาดใส่ฐานเทวรูป
เกิดเสียงระเบิดดังตูม เทวรูปแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกระจัดกระจายออกไปเหมือนก้อนเต้าหู้
ฝุ่นผงและเศษหินผืนใหญ่ลอยตลบไปรอบๆ
ร่างสีดำร่างหนึ่งพุ่งโซเซออกไปจากหลังเทวรูป เลือดสาดกระจายออกมากลางอากาศ หนีไปยังด้านหลังเทวรูปที่อยู่ลึกเข้าไปด้วยความเร็วสูง
ลู่เซิ่งแค่นเสียงหัวเราะพร้อมโถมตัวไล่ตาม
เปรี้ยงๆๆๆ!
เทวรูปหลายองค์ระเบิดอย่างต่อเนื่อง ถูกฉีกราวกับกระดาษกาว
พยัคฆ์ดำเหมือนถูกขีปนาวุธยิงใส่ เลือดไหลรินออกมาอย่างต่อเนื่องในตอนที่หนีไปด้านหลัง
ตูม
เขากระโดดออกไปจากช่องประตูหินอันเป็นประตูหลังของวิหาร
คนห้าคนที่หมอบซุ่มอยู่ตรงประตูหลังผุดสีหน้าตกใจ เกือบจะเผลอลงมือ
แต่พอเห็นว่าเป็นพยัคฆ์ดำ ทุกคนก็ผ่อนคลายทันที
“คนล่ะ!” ชายชราชุดคลุมดำคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าถลึงตาถาม
“อยู่…อยู่ข้างหลัง!” พยัคฆ์ดำหอบหายใจบนพื้นอย่างทุลักทุเล เลือดเนื้อบนตัวเลอะเลือน แทบมองไม่ออกว่าเป็นคน เป็นเพราะส่วนหัวที่ฟื้นฟูด้วย ยความเร็วสูงที่ทำให้คนอื่นๆ จดจำได้ว่าเขาคือพยัคฆ์ดำ
บาดแผลที่สมานตัวห่อหุ้มเศษหินมากมายไว้ ดูแปลกประหลาดผิดมนุษย์มนา
ทั้งห้าคนเตรียมจะถาม แต่ไม่ทันการณ์แล้ว
ประตูด้านหลังวิหารระเบิดดังโครมคราม ร่างร่างหนึ่งเดินออกมาจากในความมืด
ลู่เซิ่งกวาดตามองคนห้าคนที่คอยอยู่นาน จากนั้นก็มองพยัคฆ์ดำบนพื้น
“ไม่หนีแล้วเหรอ”
“ต้นกำเนิดเชื้อโรค!” เส้นสีดำที่ดำสนิทเหมือนกับเชือกพุ่งออกมาจากข้างใต้ชุดคลุมบนตัวชายชราชุดดำ เส้นสีดำมากมายลอยเข้าหาลู่เซิ่ง จุดที่ มันพุ่งไปโดนล้วนเกิดรอยดำเกรียม
อีกสี่คนที่เหลือสร้างดาบน้ำแข็งสีขาวหลายเล่มขึ้นในมือ ไอเย็นหลายสายวนเวียนรอบตัวเขาพร้อมกับเริ่มจับตัว คิดจะใช้ค่ายกล
ลู่เซิ่งย่อมไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาตั้งหลัก ก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง จากนั้นสองมือก็ราวกับกลายเป็นปีก สร้างแสงสีขาวสว่างไสวออกมาสองสาย
เฟี้ยว!
ตูมๆๆ!
ร่างสี่ร่างพากันระเบิดเป็นหิมะสีขาวกลุ่มใหญ่
ลู่เซิ่งยังไม่ทันชักแขนกลับ ก็รู้สึกหิมะกลายเป็นแถบผ้ามัดพันร่างเขาจากทุกทิศ
เพล้ง!
แถบหิมะถูกแรงสลัดแตก ลู่เซิ่งคว้ามือใส่พยัคฆ์ดำบนพื้น
“หยุดนิ่ง!”
เสียงห้าเสียงตะโกนขึ้นพร้อมกัน ทำให้การลงมือของลู่เซิ่งหักเหในพริบตา
ห้านิ้วของเขาตะปบไปโดนพื้นหินด้านข้าง พื้นหินถูกเจาะกลายเป็นรูดำห้ารู
เกิดเสียงดังแคว่ก แขนข้างหนึ่งของพยัคฆ์ดำถูกฉีกโยนไปยังที่ไกล
แม้ลู่เซิ่งจะตะปบไม่โดน แต่แรงที่เฉียดผ่านก็ทำให้แขนขวาของเขาพิการอยู่ดี
“ฆ่า!” เสียงห้าเสียงดังขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง
บนตัวลู่เซิ่งปรากฏรอยเลือดห้ารอย ราวกับถูกคนใช้อาวุธกรีดฟันออกมาในพริบตา
เขาแค่นเสียงและสูดหายใจลึก
ซู่…
กระแสอากาศนับไม่ถ้วนถูกเขาสูดเข้าไปในปอด
“อ๊าก!”
ลู่เซิ่งก้มหน้าคำราม คลื่นเสียงดังสนั่นสร้างการสั่นสะเทือนน่ากลัว ร่างคนสีขาวราวหิมะห้าร่างถูกลู่เซิ่งกระแทกออกมาจากในเงาด้านหลัง ก่อนจะโซเ เซถอยห่าง
แต่ก็สายไปแล้ว
ลู่เซิ่งกางแขนและหมุนตัวอย่างฉับพลัน
ฉัวะๆๆ!
การโจมตีสี่สายที่มองไม่เห็น ฟันร่างคนสี่คนเป็นสองท่อน
ชายชราชุดดำที่เหลืออยู่ ผุดสีหน้าหวาดกลัว หมุนตัวคิดหนี แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกว่าด้านหน้ามืดมิด ศีรษะระเบิดออก ศพไร้หัวโผตัว วไปด้านหน้าได้สิบกว่าเมตร ในที่สุดก็หมดแรงล้มลงกับพื้น
ลู่เซิ่งเพียงแค่ใช้พลังไร้รูปร่างของหมัดมารลวงแบบง่ายๆ ผู้ซุ่มโจมตีห้าคนก็พินาศหมดสิ้น
“อ่อนแอเกินไปแล้ว…” เขาเดินไปหาพยัคฆ์ดำที่นอนอยู่บนพื้น
“เสียทีที่ฉันคาดหวังในตัวแก”
ลู่เซิ่งยกพยัคฆ์ดำขึ้น รอยเลือดบนร่างสมานตัวจนหมดแล้ว
กายเนื้อระดับยี่สิบเก้าพัฒนาถึงขั้นที่อยู่เหนือจินตนาการในทุกๆ ด้านแล้ว
“เหอะ…เหอะๆ…แกคิดว่าเอาชนะฉันกับคนพวกนั้นได้ ก็ถือว่าชนะแล้วเหรอ” พยัคฆ์ดำหัวเราะ
ลู่เซิ่งหยีตา ขณะกำลังจะถาม
จู่ๆ เขาก็ถอยหลังก้าวหนึ่ง
ฉึก
พื้นข้างใต้เท้าแยกออกเป็นรอยมีดแหลมคม
ถ้าเมื่อครู่ไม่ถอยหลัง สองเท้าของตนต้องถูกตัดแน่
ลู่เซิ่งเกิดลางสังหรณ์นี้
“ปล่อยมันไป แล้วข้าจะให้ศพเจ้าสมบูรณ์หน่อย”
เสียงผู้ชายที่ราบเรียบมีเสน่ห์ดังมาจากในความมืดด้านหน้าลู่เซิ่ง
วังวนสีดำกลุ่มหนึ่งรวมตัวเป็นรูปเป็นร่างด้วยความเร็วสูง จากนั้นก็มีชายหล่อเหลาสวมชุดขาวเดินออกมาจากด้านในช้าๆ
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือในสองตาของเขามีแสงสีแดงฉานไหลเลื่อน
“ทำร้ายสัตว์เลี้ยงของข้าหนักขนาดนี้…ช่างเป็นมนุษย์ที่ป่าเถื่อนจริงๆ” ชายคนนั้นมองพยัคฆ์ดำในกำมือลู่เซิ่งอย่างเวทนา
เขายกนี้วชี้ขึ้นชี้ลู่เซิ่ง
“แสงเทียม”
ฟ้าว!
ระฆังเตือนภัยในใจลู่เซิ่งดังขึ้น เขารีบหงายไปด้านหลังจนชิดพื้น
ฟ้าว แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งวาดผ่านศีรษะเขา ฟันไปยังที่ราบด้านหลังไกลออกไป
นั่นเป็นคลื่นกระจายตัวขนาดใหญ่สีขาวนวล ปลายคลื่นแหลมเหมือนคมดาบ ซากโบราณสถานหินด้านข้างแค่แตะโดนเฉี่ยวๆ ก็ถูกตัดเป็นช่องไร้รูปร่างที่ เรียบเสมอกัน
คลื่นแสงสีขาวลอยไปยังที่ราบด้านหลังลู่เซิ่ง จนกระทั่งหายไปจากสายตา
ทุกสิ่งที่มันพุ่งผ่านถูกแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง ไม่ว่าจะเป็นหินก้อนใหญ่บนทุ่งหญ้า หรือสายฝนที่โปรยปรายลงมาจากฟ้า
ลู่เซิ่งยืดตัวตรง เหวี่ยงพยัคฆ์ดำในมือทิ้ง จากนั้นก็มองชายคนนั้นอีกรอบ สายตาเคร่งขรึมน้อยๆ
“แกนี่เอง!” เขาจำอีกฝ่ายได้
นี่เป็นตัวตนนอกธารมารดาที่เรียกตัวเองว่าราชาโลกซึ่งเขาได้เจอในที่ซ่อนเร้นบนโลกเทพทำลายล้าง
“หือ?” ชายคนนั้นแปลกใจเล็กน้อย “แกรู้จักฉันด้วยเหรอ” สามารถหลบการโจมตีที่มองไม่เห็นของเขาได้ อีกฝ่ายเหมือนจะมีความสามารถอยู่บ้าง
แม้นี่จะเป็นเพียงร่างแปลงธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครจะหลบการโจมตีที่เขาลงมือเองได้
“ซีหนิง” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “ราชาโลกวิญญาณอุดร ตัวตนนอกธารมารดา ฉันพูดถูกไหม”
รอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าชายหล่อเหลาหายไปช้าๆ
“ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักข้า การที่เข้ามายังโลกระดับสูงสุด หรือหนึ่งในสนามรบแห่งนี้ได้ ทั้งยังรู้จักข้า น่าจะเป็นร่างแปลงที่เคยเจอกับข้าท ที่ไหนมาก่อนสินะ”
ลู่เซิ่งไม่ได้ตอบ
เขานึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่า แค่ไล่ฆ่าตัวประกอบตัวเดียว จะไปหาเรื่องเจ้าคนที่ยุ่งยากแบบนี้เข้า
ราชาโลกวิญญาณอุดร เขาเคยประจักษ์พลังอันน่ากลัวของอีกฝ่ายในโลกของเทพแห่งการทำลายล้างมาแล้ว
เพียงแค่แรงกดดันที่ยิ่งใหญ่จากสายตาก็แทบทำให้ตนในตอนนั้นถูกบดขยี้
แม้ตอนนี้เขาจะแกร่งกว่าตอนนั้นไม่รู้เท่าไหร่แล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นศัตรูที่ควรค่าให้ความสำคัญ
“ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นใคร ยังกล้าเผชิญหน้ากับข้าอีกเหรอ” ซีหนิงสงสัยเล็กน้อย แม้ร่างแปลงนี้จะเป็นเพียงร่างแปลง เป็นเพียงตัวแทนในโลกใบ นี้ แต่ก็ไม่ใช่ร่างแปลงที่คู่ต่อสู้ทั่วไปจะรับมือได้
“หมายความว่า เจ้ารู้ความจริงของโลกใบนี้แล้วสินะ” เขาถามอย่างประหลาดใจ
“ความจริงหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา