ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1135 มหันตภัย (1)
นอกธารมารดา
ในความมืดมิดที่ล้ำลึกและไร้ขอบเขต
ดาวสีดำขนาดยักษ์ที่กะพริบแสงสีหยกมีฟองสีดำเล็กๆ กลิ้งอยู่บนผิวช้าๆ
กลางความว่างเปล่าตรงขอบดาวสีดำ
อุกกาบาตสีดำสนิทที่ขรุขระและทนทานหลายลูกกำลังหมุนวนรอบดวงดาว
แกร๊ก
อุกกาบาตลูกหนึ่งในนี้ค่อยๆ แตกออกจากตรงกลาง ใช้เวลาไม่ถึงสองสามวินาที มันก็กลายป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้มีสองตาแดงฉานและผมสีดำ
“กลับมาแล้วหรือ” ด้านในดาวสีดำมีคลื่นล่องลอยเล็กๆ ส่งมา “เกิดอะไรขึ้นกัน”
“เกิดปัญหาเล็กๆ ถูกฆ่ากลับมา ร่างหลักของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” บุรุษตาแดงถาม
“ความคืบหน้ายังนับว่าราบรื่น แต่ถ้าต้องแบ่งพลังงานให้เจ้า เกรงว่าจะส่งผลต่อความก้าวหน้าโดยรวม” ดาวสีดำตอบช้าๆ
“ทิ้งเรื่องอื่นแล้วช่วยข้าสังหารคนก่อน!” บุรุษกล่าวอย่างเคียดแค้น
“จะส่งผลต่อแผนการโดยรวม”
“ขอแค่ฆ่ามันได้ ผลประโยชน์ที่พวกเราจะได้จากการกลืนกินจักรวาลต้องห้ามแห่งนั้น จะเยอะกว่าเรื่องแค่นี้มากโข” บุรุษเอ่ยเสียงเย็นชา
“เจ้าถูกความต้องการควบคุมแล้ว” ดาวดำเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่ มองจากมุมมองอื่น นี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพวกเรา ไม่อย่างนั้นหากเอาแต่หยุดอยู่ที่เดิม พวกเราต้องใช้เวลานานขนาดไหนถึงจะบรรลุเป้าหมายได้” บุรุษอธิบาย
“เป้าหมายหรือ เหอะๆ…เจ้าแน่ใจเหรอว่าเป็นแผนการของพวกเรา” เสียงของดาวดำค่อยๆ เงียบลง บุรุษนิ่งไปเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรอีก
…
“อ๊ากกก!”
ลู่เซิ่งเงยหน้าคำราม
เส้นเลือดปรากฏทั่วร่าง หมอกแดงมากมายระเหยออกมาจากรูขุมขน วนเวียนอยู่รอบตัวเขา
หนึ่งนาทีก่อนหน้านี้ เขายั้งปากไม่ทัน กินหัวใจของซีหนิงที่เพิ่งควันออกมาโดยไม่ทันระวัง
จากนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ในตอนนี้
เขาสาบานว่าไม่ใช่เพราะยั้งปากไม่ทัน แต่แค่เผลอไปชั่วขณะเท่านั้น! ตอนนั้นเขาเผลอทำหลุดมือ รอได้สติกลับมา หัวใจก็ไหลลงคอไปแล้ว!
เขารู้สึกได้ทันทีว่ามีพลังแห่งความว่างเปล่าที่มองไม่เห็นหลายสายเติมเต็มเข้ามาในร่างหลักของเขา เติมเต็มเข้ามาในร่างหลักที่ซ่อนอยู่ในหัวใจอย่างต่อเนื่อง
แม้ร่างหลักจะมีจำนวนคืนชีพมหาศาล แต่เวลานี้ถูกพลังแห่งความว่างเปล่าผลาญพลัง กำลังตายอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วหลายครั้งต่อวินาที
โลกรูปจิตที่มีเฉพาะในหมู่มารสวรรค์กำลังค้ำยันการคืนชีพของร่างหลักอย่างบ้าคลั่ง ทรัพยากรและพลังงานปั้นวิญญาณและกายเนื้อให้แก่ร่างหลักอย่างต่อเนื่อง
นี่เป็นพลังแห่งการดำรงอยู่กำลังสู้กับพลังแห่งความว่างเปล่า
สองฝ่ายอยู่ในสมดุลที่ละเอียดอ่อนชั่วคราว
ลู่เซิ่งอ้าปาก หมอกแดงนับไม่ถ้วนไหลออกมาเหมือนเปลวไฟ แล้วลอยขึ้นไปยังอากาศรอบๆ
‘ดีปบลู’
ลู่เซิ่งอดกลั้นต่อกระแสคลื่นความเจ็บปวดที่ราวกับไร้สิ้นสุดพร้อมเรียกอินเตอร์เฟซดีปบลูออกมา
เขาย่อมไม่ใช่มีพลังควบคุมตัวเองไม่พอ เลยเลือกกินหัวใจ แม้จะรีบร้อนไปบ้าง แต่ก็มีแผนการเช่นกัน
ชิ้ง
อินเตอร์เฟซสีฟ้าพลันเด้งออกมาด้านหน้าเขา
ลู่เซิ่งดิ้นรนขณะรักษาสติตัวเอง พยายามดูเครื่องมือปรับเปลี่ยน
ด้านหลังตัวเลขพลังอาวรณ์ของเขามีสัญลักษณ์ประหลาดสีดำเพิ่มมา นั่นคือดวงอาทิตย์สีดำที่กำลังลุกไหม้ช้าๆ
‘มีจักรวาลระดับพลังงานสูงสุดแห่งนี้สะกดไว้ นี่เป็นสถานที่และโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะทำความเข้าใจพลังแห่งความว่างเปล่า เปลี่ยนเป็นที่อื่น จักรวาลแห่งอื่น ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งขนาดสะกดหัวใจจากร่างแปลงของราชาโลกได้’
ลู่เซิ่งข่มความเจ็บปวด รีบใช้จังหวะที่ร่างหลักสัมผัสกับพลังแห่งความว่างเปล่าในหัวใจ ทดลองวิธีการต่างๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อสร้างอิทธิพลต่อพลังแห่งความว่างเปล่า
ธาตุพลังและชนิดพลังที่ร่างหลักควบคุมมีอยู่มากมาย เมื่อเผชิญกับหัวใจของราชาโลกที่ถูกสะกดถึงขีดสุด ก็สามารถทดลองใช้พลังประเภทต่างๆ หยั่งเชิงแบบมีลำดับขั้นตอนได้
ส่วนความเจ็บปวดและหมอกเลือดของร่างกายร่างนี้ เป็นเพียงผลตกค้างที่เกิดขึ้นเพราะไม่ชินกับการสู้กันระหว่างพลังสองชนิดเท่านั้น
‘ดีปบลู พัฒนาหมัดมารลวงสิบดวงใจ! ทิศทางคือควบคุมพลังงานทั้งหมดในตัว!’
ลู่เซิ่งสัมผัสได้เล็กน้อยว่าสถานการณ์ในตัวมั่นคงขึ้นบางส่วน จึงรีบออกคำสั่งเงียบๆ
ซู่…
เพียงอึดใจเดียว กรอบของหมัดมารลวงสิบดวงใจก็พร่ามัว
พลังอาวรณ์มากมายลดลงอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่น่ากลัวราวกับเสียสติ
ลู่เซิ่งลืมตาขึ้น ต่อให้เขาจะจุติผ่านโลกมาหลายไป นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพลังอาวรณ์ถูกผลาญเร็วขนาดนี้
ความเร็วในการผลาญพลังที่ระดับหลายล้านหน่วยต่อวินาที ทำให้ลู่เซิ่งที่เพิ่งเยือกเย็นลงขนลุกขึ้นมาเมื่อเห็นตัวเลขที่กำลังเด้ง
แม้จะตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่า จะใช้ดีปบลูพัฒนาพลังแห่งความว่างเปล่าเพื่อทดลองควบคุมพลังชนิดนี้
แต่ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะผลาญพลังอาวรณ์มากขนาดนี้
ขณะที่ดีปบลูใช้พลังอาวรณ์ยกระดับพลัง ย่อมฟื้นฟูความเสียหายทั้งหมดของร่างกายโดยอัตโนมัติ
แต่พลังแห่งความว่างเปล่าหรือหัวใจของราชาโลกที่หลงเหลืออยู่ด้านในตัวลู่เซิ่ง ไม่ยอมถูกพลังอาวรณ์ขจัดซ่อมแซมง่ายๆ
สองฝ่ายกำลังสู้กันในร่างลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งคิดจะใช้พลังแห่งความว่างเปล่าตรวจสอบเบื้องหลังของเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูเช่นกัน
ความจริงเขารู้สึกกังวลเกี่ยวกับพลังอาวรณ์มาตั้งแต่เริ่มใช้งานแล้ว
ระดับของพลังงานชนิดนี้สูงส่งเกินไป ถึงขั้นที่พลังแหล่งกำเนิดโลกก็ไม่ได้สูงเท่ากับพลังอาวรณ์
ตอนนี้พอสู้กับพลังแห่งความว่างเปล่า จึงค่อยเห็นขีดจำกัดของพลังชนิดนี้
แต่น่าเสียดายที่ ลู่เซิ่งยังไม่ทันสังเกตเห็นการต่อต้านของพลังแห่งความว่างเปล่าในร่างกายอย่างละเอียด กรอบของอินเตอร์เฟซปรับเปลี่ยนก็ชัดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ไม่นานหมัดมารลวงสิบดวงใจก็ปรากฏด้านหน้าลู่เซิ่ง
และเวลานี้พลังานต่อต้านทั้งหมดในตัวเขาต่างถูกคลื่นเล็กละเอียดที่ละเอียดถึงขีดสุดชนิดหนึ่ง เกาะเกี่ยวหลอมรวมกันอย่างแยบยล
เหมือนกับถักไหมพรมสีรุ้งเป็นแถบผ้าเส้นยาว
พลังงานลึกลับโปร่งแสงชนิดหนึ่งที่เกิดจากพลังอาวรณ์ ห่อหุ้มหัวใจของราชาโลก หรือแก่นแกนของพลังแห่งความว่างเปล่าเอาไว้ ชั้นนอกคลุมด้วยแสงสีรุ้งและอักขระที่ไม่อาจทำความเข้าใจ กลายเป็นก้อนสีรุ้ง
จากนั้นก็แบ่งรูสีดำเล็กๆ รูหนึ่งออกมาจากผิวก้อนสีรุ้ง
พลังงานเล็กละเอียดแปลกประหลาดหลายสายแผ่ออกมาจากในรูดำอย่างช้าๆ
ความเจ็บปวดค่อยๆ จางหายไป
ตึง
ลู่เซิ่งกึ่งคุกเข่ากับพื้น มือยันพื้นดิน ผมห้อยตก เหงื่อไหลลงไปตามคางเป็นสาย
หัวใจเต้นเร็วจี๋ เขาสัมผัสได้ถึงพลังแปลกประหลาดที่กระจายออกมาจากในรูดำเหล่านั้น เป็นแหล่งกำเนิดหลักของวิชาหมัดระดับสามสิบนั่นเอง
‘ร้ายกาจ! ถึงกับหาวิธีหลอมรวมพลังแห่งความว่างเปล่ากับพลังในร่างหลักของเรา แล้วสร้างพลังงานประหลาดชนิดนี้ออกมาได้!”
ลู่เซิ่งมองดูด้านในตัว แล้วเห็นอย่างชัดเจนว่า พลังแห่งความว่างเปล่าสายหนึ่งที่เพิ่งโผล่ออกมาจากหัวใจราชาโลกในตัวเขา ถูกร่างหลักแบ่งเส้นสีรุ้งแน่นขนัดออกมาห่อหุ้มไว้เป็นก้อนกลมในพริบตา
ก้อนกลมแตกเป็นช่องจากตรงกลาง ปลดปล่อยพลังงานประหลาดที่สร้างสำเร็จผ่านกระบวนการนับไม่ถ้วนออกมา
‘แม้แต่พลังแห่งความว่างเปล่าก็จัดการดีปบลูไม่ได้ ร้ายกาจ…’ ลู่เซิ่งยอมรับความจริงขึ้นบ้างแล้ว พลังประหลาดที่อยู่ด้านในตัวแทรกซึมและแผ่ขยายไปตามเนื้อตัวในร่างกายราวกับผ้าเนื้อบาง
“ฟู่…”
ลู่เซิ่งลุกขึ้นจากพื้น เหงื่อแตกโซมกาย
การใช้ดีปบลูพัฒนาวิชาพิเศษที่ควบคุมพลังแห่งความว่างเปล่าได้ออกมา วิธีการนี้ลู่เซิ่งได้เริ่มเตรียมไว้นานแล้ว
ในจักรวาลแห่งนี้ หัวใจราชาโลกที่ถูกกฎจักรวาลกดข่มถึงขีดสุดจึงเป็นอุปกรณ์ทดลองที่เหมาะสมที่สุดของเขา
เดิมทีหัวใจราชาโลกเป็นเพียงหัวใจของร่างแปลง บวกกับการสะกดจากจักรวาล บวกกับตัวลู่เซิ่งที่เดิมมีการปรับตัวเข้ากับพลังแห่งความว่างเปล่าอยู่แล้ว ยังมีการผลาญพลังอาวรณ์อันมหาศาลคอยสนับสนุน
ปัจจัยพวกนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ลู่เซิ่งตัดสินใจทำการทดลองในครั้งนี้
ขณะสัมผัสพลังงานประหลาดสีเทาในร่างกายที่ถูกแปลงออกมา
ลู่เซิ่งยื่นฝ่ามือออกมา
ซู่…
ในชั่วขณะที่เลือนราง เขาเหมือนเห็นระหว่างนิ้วของตัวเองมีเส้นเหนียวๆ นับไม่ถ้วนเกาะติดอยู่
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งต่อยใส่พื้น ทุกสิ่งบนมือพลันจางหายไปเหมือนภาพลวงตา
ท้องฟ้าเริ่มสาง
แสงอาทิตย์สว่างไสวที่ลอยขึ้นมาส่องสว่างทุ่งหญ้าทั้งทุ่ง
ลู่เซิ่งลุกขึ้นจากพื้น
กวาดตามองรอบๆ
ในอาณาเขตหลายร้อยเมตรรอบๆ ตัวเขาไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ
ไม่มีสัตว์ ไม่มีสัตว์ประหลาด ไม่มีพืช แม้แต่เส้นหญ้าสักเส้นก็ไม่ดำรงอยู่
‘แค่พริบตาเดียวก็ผ่านไปคืนหนึ่งเลยหรือ’
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจ เดินออกจากเขตนี้ เร่งรุดไปยังซากโบราณสถานแห่งเดิม
ถ้าไม่ผิดจากที่คาด ศิษย์ของสำนักมารลวงน่าจะรอเขาอยู่ที่ซากโบราณสถานหินแห่งนั้น
เดินออกไปได้พันเมตร ลู่เซิ่งก็เห็นศิษย์หมัดมารลวงที่สลบล้มอยู่บนทุ่งหญ้า
เคนและแอนดี้ ยังมีมาร์ค
ทั้งสามไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่ตกอยู่ในห้วงนิทราอันน่าพิศวง
ลู่เซิ่งตรวจสอบดู สามคนนี้กลับหลับอยู่จริงๆ!
ผัวะ
เขาตบแก้มมาร์ค
มาร์คที่นอนขวางอยู่บนพื้นถูกพละกำลังมหาศาลฟาดกระเด็นออกไปสิบกว่าเมตร จากนั้นจึงค่อยหยุดลง
“หือ…ฉันอยู่ไหนเนี่ย” มาร์คลืมตาอย่างงัวเงีย
เขาจำได้ว่าเมื่อวานไล่ตามอาจารย์มาถึงที่นี่ เห็นอาจารย์กำลังสู้กับชายแปลกประหลาดที่สองตาเป็นสีแดงฉาน จากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีก
อีกสองคนถูกลู่เซิ่งฟาดอย่างเดียวกัน ไม่นานก็ค่อยๆ ได้สติ
“อาจารย์!”
“อาจารย์…”
พวกเขาลุกขึ้นจากพื้น พอเห็นลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้าง สมองก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว นึกถึงสถานการณ์เมื่อคืน ต่างเผยสีหน้าละอายใจ
“ไม่ต้องท้อไป แค่เกิดอุบัติเหตุครั้งเดียวเท่านั้น นี่ไม่เกี่ยวกับความสามารถและกำลังใจของพวกเธอ” ลู่เซิ่งอธิบาย
“เจ้านั่นมันเป็นใครกันครับ! มาร์คนวดศีรษะพลางถามอย่างปวดระบม
“คนคนนั้น…ตอนนี้พวกเธอยังไม่ต้องรู้หรอกว่ามันเป็นใคร อย่าเพิ่งไปสนใจ เราควรเดินทางต่อได้แล้ว” ลู่เซิ่งมองดวงอาทิตย์
“ไปเถอะ กลับกันก่อน เจอรถของพวกเราแล้วค่อยว่ากัน”
ทั้งสามคนที่เหลือไม่คัดค้าน พวกเขาวิ่งไล่ตามพยัคฆ์ดำมาถึงสถานที่ห่างไกลแบบนี้ ก็ควรจะหาเส้นทางเดิมกลับไป
ทั้งสี่คนเดินทางกลับปราสาทตามร่องรอยการไล่ล่า
เวลานี้ปราสาทเมื่อคืนเหลือแค่ซากปรักหักพังซีกเล็กๆ ไม่เหลือตำแหน่งที่สมบูรณ์อีก
มาร์คอุ้มก้อนหินที่ใหญ่เท่าหนึ่งคนครึ่งก้อนหนึ่งขึ้นแล้วโยนไปด้านข้าง จากนั้นก็ลูบรถที่ผิดรูปเพราะถูกก้อนหินทับไว้ข้างใต้
“ดูท่าทาง พวกเราจะไม่มีพาหนะเพิ่มเติมแล้ว”
“เดินเท้าเถอะ ดีที่เดินเท้าเร็วกว่ารถ แค่เหนื่อยกันหน่อยเท่านั้น” ลู่เซิ่งเดินเข้าไป ยื่นมือไปหยิบเป้สะพายหลังที่ใส่สัมภาระออกมา ผ่านหน้าต่างรถ แล้วโยนให้เคนที่อยู่ด้านข้าง
เคนรับไปสะพายไว้
“ไปเถอะ ไปถึงจุดเติมเสบียงแห่งถัดไปก่อนมืด”
ลู่เซิ่งเดินนำออกจากซากปราสาท
คนที่เหลือติดตามไป
……………………………………….