ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1136 มหันตภัย (2)
ตั้งแต่ลู่เซิ่งกินหัวใจราชาโลกจนถึงใช้ดีปบลูและกฎของจักรวาลแห่งนี้สะกดหัวใจ ห่อหุ้มมันให้หมุนวนช้าๆ กระบวนการนี้ความจริงกินเวลาไม่เกินสามชั่วโมง
เวลาส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการไล่ล่าพยัคฆ์ดำ และทำลายฐานที่มั่นกระจัดกระจายแห่งอื่น
เมื่อปลดพันธนาการทั้งหมดทิ้ง ความเร็วของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นแทนที่จะช้าลง
เวลาใกล้เที่ยง ทั้งสี่คนไปถึงเมืองเวเจนี จุดเติมเสบียงแห่งแรกของการเดินทางนี้
เวลานี้เมืองหลักด้านการคมนาคมที่เคยใหญ่ที่สุดในประเทศกลายเป็นเมืองร้างอย่างสมบูรณ์
หลังจากพวกลู่เซิ่งเจอเสบียงบางส่วนแถวรอบนอก พวกเขาก็เจอรถยนต์คันหนึ่ง เติมน้ำมันแล้วเดินทางต่อ
รถในคราวนี้มีแรงขับเคลื่อนแบบผสมระหว่างพลังงานดวงอาทิตย์และน้ำมัน หลังจากพวกเขาปล้นปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องแรงขับเคลื่อนไปอีกหลายวัน สองสามวันต่อจากนี้ พ พวกเขาคงไปถึงที่หมายแล้ว ย่อมไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนี้อีก
เมื่อมีรถ พวกเขาก็สบายขึ้นมาก
ลู่เซิ่งคอยสังเกตหัวใจราชาโลกที่ห่อหุ้มอยู่ในตัวหลังตนกิน มาตลอดทาง พลังงานสีเทาแปลกประหลาดหลายสายที่หัวใจแปลงออกมา โคจรในตัวเขาอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเพิ่มความแข็งแกร่ งให้แก่กายเนื้อของเขาที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากแล้วอีก
การเพิ่มความแข็งแกร่งนี้ คล้ายจะไม่ใช่การเพิ่มความแข็งแกร่งด้านคุณสมบัติเท่านั้น หากมีความรู้สึกกลวงเปล่าอันแปลกประหลาดด้วย
วิชาที่ดีปบลูพัฒนาออกมาในครั้งนี้ ทำให้เขางุนงงเล็กน้อย แม้เขาจะทบทวนกระบวนการพัฒนาได้ตลอดเวลา แต่กระบวนการที่ละเอียดและแยบยลถึงขีดสุดนั้น ต่อให้จะทบทวนและสร้างขึ้นใหม่ด้ วยตัวเองได้ แต่เขาก็ทำไม่ได้
พลังงานสีเทาที่ถูกสร้างออกมา คล้ายกับผสานพลังแห่งความว่างเปล่าเข้ากับพลังงานธาตุต่างๆ ที่ลู่เซิ่งครอบครอง
พลังงานเกิดใหม่ชนิดนี้ เหมือนกับเมล็ดที่ปลูกบนพลังแห่งความว่างเปล่าและพลังงานธาตุต่างๆ ของลู่เซิ่ง เหยียดยื่นรากออกมาดูดซับพลังงานทั้งหมดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง
พลังงานสีเทา ลู่เซิ่งตั้งชื่อให้มันว่า พลังหมอกเทา
คุณสมบัติของพลังหมอกเทาไม่ได้อยู่สูงกว่าพลังแห่งความว่างเปล่า เมื่อสัมผัสกับพลังแห่งความว่างเปล่าตรงๆ มันจะถูกทำลายทิ้งในทันที แต่พลังงานชนิดนี้มีคุณลักษณะเด่นที่น่ากลัวอย ย่างหนึ่ง
นั่นก็คือสามารถเปลี่ยนพลังงานอื่นๆ ในรัศมีหนึ่งให้กลายเป็นพลังหมอกเทาได้
พลังแห่งความว่างเปล่าถูกพลังหมอกเทากลืนกินต่อเนื่อง แล้วค่อยๆ ลดจำนวนในหัวใจราชาโลกลง
แรงกระตุ้นในการกินพลังแห่งความว่างเปล่าของกระบวนการนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามการเพิ่มจำนวนของพลังหมอกเทา
พลังทั้งหมดในตัวลู่เซิ่ง และพลังมากมายในร่างหลักที่อยู่ ณ ส่วนลึกของหัวใจ ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นจำนวนมากภายใต้การกลืนกินอันน่าพิศวงของพลังหมอกเทา
รอเขารู้สึกตัว พลังหมอกเทาก็เข้ายึดครองทุกซอกทุกมุมของร่างกายร่างนี้อย่างสมบูรณ์แล้ว
หัวใจราชาโลกและร่างหลักเหมือนกับแบตเตอรี่สองก้อนที่คอยแปลงพลังหมอกเทาจำนวนมากออกมาหลอมรวมกับร่างกายร่างนี้อย่างต่อเนื่อง
และในเวลานี้ พวกเขาก็มาถึงช่องแคบไข่มุกแล้ว
…
น้ำทะเลสีฟ้าม้วนเส้นสีขาวมาปะทะกับหินโสโครกสีดำริมหาดอย่างรุนแรง ละอองน้ำที่กระเซ็นลอยสูง แล้วหล่นลงอีกครั้งพร้อมกับเกล็ดหิมะที่ล่องลอยเต็มฟ้า หลอมละลายหายไปในผิวทะเล
พวกลู่เซิ่งยืนอยู่ริมช่องแคบไข่มุก เห็นเพียงท่าเรือขนาดเล็กโดดเดี่ยว ในท่าเรือมีเรือหาปลาขนาดเล็กหลายลำลอยอยู่กระจัดกระจาย
เรือสินค้าและเรือขนส่งที่ใหญ่หน่อยไม่มีให้เห็นสักลำ
น้ำทะเลตรงช่องแคบราบเรียบขุ่นคลั่ก ลู่เซิ่งถึงขั้นสัมผัสพลังชีวิตใดๆ ไม่ได้
“น้ำทะเลตรงนี้เหมือนนิ่งไปแล้ว…” มาร์คอดกล่าวเบาๆ ไม่ได้
เขาสัมผัสความปั่นป่วนจางๆ ได้เช่นกัน
“อาจารย์ พวกเราต้องข้ามช่องแคบนี้เท่านั้นเหรอครับ” เคนถาม
“ได้แต่นั่งเรือไป ไม่มีทางอื่น” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ถ้ามี ฉันไม่มีทางเลือกวิธีที่ยุ่งยากแบบนี้แน่”
ศิษย์ทุกคนต่างแสดงสีหน้าปั้นยาก
ใต้ผิวทะเลของช่องแคบแห่งนี้เห็นได้ชัดว่ามีอันตรายอะไรสักอย่างซ่อนอยู่ แม้แต่พวกเขาก็ยังสัมผัสได้ อาจารย์ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่รู้
ถ้าวู่วามออกทะเลแบบนี้ ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่
“พวกผู้อพยพและผู้รอดชีวิตธรรมดาพวกนั้นมุ่งหน้าไปยังอาโซมยังไงกันแน่” แอนดี้อดถามไม่ได้
“ฉันว่า ที่นี่เคยเป็นเส้นทางที่ปลอดภัย แต่นั่นมันเรื่องในอดีต” เคนนั่งลงข้างชายหาดที่อยู่ไม่ไกลออกไป หยิบเศษบิดเบี้ยวที่ดูคล้ายแผ่นเหล็กของเรือขึ้นมา
“เวลาแตกหักไม่เกินสองวัน ยังมีรอยกรีดแหลมคมติดอยู่ด้วย” เขาถือแผ่นเหล็กชิ้นนั้นพลางกล่าวเสียงทุ้ม
“งั้นพวกเราก็ซวยจริงๆ” มาร์คกล่าวอย่างจนปัญญา มองไปยังลู่เซิ่ง “อาจารย์ ตอนนี้อาจารย์ว่า…”
ลู่เซิ่งนิ่งเงียบ ตอนนี้มีกรอบอินเตอร์เฟซของหมัดมารลวงสิบดวงใจปรากฏอยู่ด้านหน้าเขา
[หมัดลอบสังหาร หมัดมารลวงสิบดวงใจ: ระดับสามสิบ (คุณสมบัติ: สิบแหวนลวงจิต หัตถ์ที่มองไม่เห็น เคลื่อนที่โดยไร้แรงเฉื่อย ร่างมายาสูญ]
หมัดมารลวงสิบดวงใจที่เดิมทีมีคุณสมบัติด้านกายภาพเท่านั้น เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลังหมอกเทาที่กลืนกินทุกอย่างได้ปรากฏ
หัตถ์ที่มองไม่เห็นและร่างมายาสูญที่โผล่ออกมาใหม่ ต่อให้เป็นลู่เซิ่งก็ไม่รู้ความสามารถของพวกมัน
นี่เหมือนการทดลองทางเคมี ผลิตภัณฑ์ที่ทดลองได้ในตอนสุดท้าย ตนเองก็ไม่แน่ว่าจะเข้าใจอย่างสมบูรณ์
จำเป็นต้องค้นหาอย่างละเอียดอีกที
ลู่เซิ่งเดินบนท่าเรือ มุ่งหน้าตามสะพานไม้ลอยน้ำที่เปื่อยยุ่ยอยู่บ้างจนถึงปลายสะพาน
สองฟากข้างของสะพานสีเทาคือรั้วสีขาวที่ถูกแรงมหาศาลบางอย่างฉีกทึ้ง
ลู่เซิ่งนั่งยองลง ยื่นมือซ้ายจุ่มไปในน้ำทะเลสีเหลืองอ่อน
โดยไร้สุ้มเสียง สีเทาหลายสายแผ่ขยายไปยังส่วนลึกของน้ำทะเลจากตำแหน่งที่มือเขาแตะ
ลู่เซิ่งลุกขึ้นยืน ยังคงรู้สึกได้ว่า พลังหมอกเทาที่ตนปล่อยลงไปในน้ำกำลังรวมตัวกับน้ำทะเล ให้กำเนิดสิ่งที่น่าตกใจออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้พลังหมอกเทา
พลังประหลาดที่จัดการพลังแห่งความว่างเปล่าในหัวใจราชาโลกแล้วใช้ดีปบลูพัฒนาออกมาชนิดนี้ มีประสิทธิผลแบบไหนกันแน่ ลู่เซิ่งเองก็ไม่แน่ใจ
แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า พลังนี้จัดการปัญหาตรงหน้าได้
ถ้าเป็นคนปกติ ต่อให้พลังแข็งแกร่งอย่างไร เมื่อกินหัวใจราชาโลกเข้าไปโดยทนการล่อลวงไม่ได้ จุดจบเพียงหนึ่งเดียวคือถูกราชาโลกวิญญาณยึดครองกายเนื้อ กลายเป็นตัวแทนคนที่สอง
แต่ลู่เซิ่งแตกต่างออกไป ตอนที่พลังแห่งความว่างเปล่าคิดจะยึดครองกายเนื้อของเขา เขาพบว่าตัวเองได้ย่อยสลายมันไปไม่น้อยแล้ว จึงตัดสินใจให้ร่างหลักรับมือไปก่อน จากนั้นจึงใช้ดีป ปบลูสร้างวิชาที่ย่อยสลายพลังแห่งความว่างเปล่าได้ออกมา ทั้งยังใช้พลังอาวรณ์ไปจำนวนมหาศาล
สุดท้ายก็สร้างพลังที่มีความสามารถเป็นปริศนาอย่างพลังหมอกเทาออกมา
ถึงขั้นกล่าวได้ว่า ลู่เซิ่งรู้สึกว่าพลังหมอกเทาไม่เหมือนพลังงานบริสุทธิ์ แต่เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดแบบพิเศษจนบรรยายไม่ถูกมากกว่า
บรื๊น
เรือท่องเที่ยวลำหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไปส่งเสียงเครื่องยนต์ทำงาน
“อาจารย์ เจอเรือที่ใช้ได้ตรงนั้นครับ พวกเราไปก่อนเถอะ” เคนเดินมาบอกลู่เซิ่ง
“อืม” ลู่เซิ่งพยักหน้า ลุกขึ้นกลับไปยังชายหาด ไม่นานก็ขึ้นไปบนเรือท่องเที่ยวที่พวกแอนดี้กำลังติดเครื่อง
ในท่าเรือที่ว่างเปล่า มีเรือท่องเที่ยวลำเดียวที่ส่งเสียงเครื่องยนต์ เสียงสะท้อนกลับไปกลับมา แทรกด้วยเสียงคลื่นทะเลที่กระทบหินโสโครกอย่างต่อเนื่อง ฟังดูเงียบสงัดเป็นพิเศษ
หิมะขาวร่วงหล่นลงจากฟ้าสีเทาไม่หยุด
เรือท่องเที่ยวที่ยาวถึงห้าเมตรบรรทุกพวกลู่เซิ่งออกจากท่าเรือ
บนผิวทะเลที่ลูกคลื่นซัดขึ้นลง เรือท่องเที่ยวเหมือนกับแพขนาดเล็กบนน้ำเชี่ยว แค่คลื่นลูกเดียวก็สามารถพลิกให้จมได้
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่หัวเรือ มองดูผิวทะเลด้านหน้า
ลูกคลื่นสีขาวกระเพื่อมอยู่ข้างเรือพร้อมปะทะใส่ตัวเรือ
ในชั่วขณะที่เลือนราง เขาเหมือนเห็นใบหน้าสีน้ำเงินใบหนึ่งที่ส่วนลึกของผิวทะเลข้างเรือ จ้องมองตนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ซ่า
ลูกคลื่นกลุ่มหนึ่งม้วนซัดมา ใบหน้านั้นหายวับไป
ลู่เซิ่งได้สติ
“เร่งความเร็ว” เขาหันไปสั่ง
แอนดี้รับคำ ควบคุมเครื่องยนต์ที่หางเรือ เพิ่มความเร็วแรงม้า
ในน้ำทะเลล้ำลึกข้างใต้เรือ
เงาสีดำที่มีหางเป็นปลาตัวเป็นคนขนาดมหึมา กำลังปรากฏร่างกลางแสงสีเทาที่สาดลงมาจากผิวทะเลอย่างช้าๆ
นั่นเป็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ที่มีหัวมนุษย์เก้าหัวเรียงกันในลักษณะพัด
หัวทุกข้างของมันต่างเหมือนถูกทั่งเสียบไว้ด้วยกัน ปลายทั่งเชื่อมกับคอหยาบใหญ่
หัวเก้าข้างเรียงกันเป็นหน้ารูปพัดขนาดใหญ่ ต่างก็มีใบหน้าที่แปลกประหลาดแตกต่างกันไป
มีทั้งชายทั้งหญิง มีทั้งเด็กและชรา แต่ใบหน้าทุกใบมีจุดร่วมเดียวกันตรงที่ไร้อารมณ์…
เรือท่องเที่ยวที่แล่นช้าๆ บนผิวทะเลมีขนาดเท่านิ้วมือข้างหนึ่งที่สัตว์ประหลาดยื่นออกมาเท่านั้น
มันมองตามจนเรือท่องเที่ยวจากไป
สัตว์ประหลาดยื่นมือออกมา ระหว่างห้านิ้วเรียวยาวแหลมเล็ก มีหมอกสีเหลืองประหลาดสายหนึ่งลอยวนเวียน
รอจนเรือท่องเที่ยวหายลับไปจากปลายสายตา
สัตว์ประหลาดค่อยหมุนตัวว่ายไปยังก้นทะเล ก่อนจะหายไปในความมืดอันลึกล้ำอย่างช้าๆ
…
ลู่เซิ่งลืมตาขึ้น
เมื่อครู่นี้เขาเหมือนเห็นสิ่งมีชีวิตที่เจ็บปวดเดียวดาย ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของทะเล
ความสามารถของหัตถ์ที่มองไม่เห็น สร้างสะพานสื่อสารระหว่างจิตใจของเขากับสัตว์ประหลาดตัวนั้น
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้สัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวตัวนั้น ไม่กินเรือท่องเที่ยวลำเล็กทิ้งในทันที
ถ้าทำได้ ลู่เซิ่งไม่อยากจะอาละวาดทำลายล้างในจักรวาลระดับพลังงานสุดยอดที่หดตัวถึงขีดจำกัดแห่งนี้
สัตว์ประหลาดที่เติบโตอยู่ในจักรวาลแห่งนี้ได้ ถ้าจุติไปยังจักรวาลแห่งอื่น คงคาดเดาได้อย่างสมบูรณ์ว่า ต้องแข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการแน่นอน
พลังแห่งความว่างเปล่าแทรกซึมจักรวาลแห่งนี้หนักหน่วงเกินไป
ตัวจักรวาลกำลังปล่อยศักยภาพทั้งหมดของตัวเองออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้านทานการกัดกร่อนจากพลังแห่งความว่างเปล่า
นี่เป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของจักรวาล
และสัตว์ประหลาดตัวนั้น ก็เกิดขึ้นตรงจุดที่พลังแห่งความว่างเปล่าและพลังมากมายของจักรวาลมารวมตัวกัน
มันไม่ใช่ทั้งฝ่ายความว่างเปล่า และไม่ใช่ทั้งฝ่ายจักรวาล
เป็นเพียงเด็กพิการที่เดียวดาย
มันเกิดขึ้นจากความสิ้นหวังและความเจ็บปวดของสิ่งมีชีวิต แต่กลับซุกซ่อนความหวังสุดท้ายในการมีชีวิตเอาไว้
มันมีชื่อว่าซิเซรอธ ผู้คนคิดว่ามันคือเทพที่ช่วยเหลือปกปักษ์คนเดินเรือ
มันกลืนกินเรือเดินสมุทร รวมถึงสิ่งมีชีวิตบนทะเล มาเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ดูดซับความปรารถนาในการมีชีวิตของพวกเขา ดูดซับวัสดุที่แข็งแกร่งของเรือเดินทะเล ดูดซับความเจ็บปวด ดและความสิ้นหวังสุดท้ายของคนเดินเรือ
มันวาดหวังมาโดยตลอด แต่ความสิ้นหวังของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนได้เปลี่ยนเป็นสายโซ่ ผูกตรึงมันไว้ที่ก้นทะเล ไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือ ไม่อาจดิ้นรน ไม่อาจสื่อสาร
และหัตถ์ที่มองไม่เห็นที่เกิดจากพลังหมอกเทาสายหนึ่งของลู่เซิ่งก็ได้มอบความหวังและคำสัญญาให้มัน
ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นตัวตนหนึ่งเดียวที่ติดต่อกับมันได้ ดังนั้นมันจึงเลือกเชื่อ
……………………………………….