ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1137 การหลอมรวมและสรรพสิ่ง (1)
หมอกเหลืองหลายสายขยับขยายและแผ่กระจายไปตามน้ำทะเล ก่อนจะจมลงสู่ก้นทะเลล้ำลึกมืดมิด
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ที่กราบเรือ ค่อยๆ ชักมือกลับ
เคนกำลังควบคุมทิศทางเรืออย่างระมัดระวัง แอนดี้และมาร์คตรวจสอบแผนที่บนโทรศัพท์มือถือ ยืนยันว่าไม่ได้ขับมาผิดทาง
ด้านในความมืดมิดไร้สิ้นสุดของทะเลลึกด้านล่างเรือ
สัตว์ประหลาดสีดำมหึมาที่เหมือนแมงมุมตัวหนึ่งจ้องมองหมอกสีเหลืองสายหนึ่งที่อยู่ในมือ
แผ่นหลังของสัตว์ประหลาดมีตุ่มแข็งขนาดเล็กๆ ขึ้นอยู่นับไม่ถ้วน ตาสองข้างเปล่งแสงดาวกระจัดกระจายสีเงินจำนวนมาก
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือปากของมัน ด้านในมีหนวดโปร่งแสงหลายเส้นยื่นออกมา โบกไปมาตามกระแสน้ำทะเล
หนวดพวกนี้เรืองแสงสีขาว อยู่ในสมดุลระหว่างการเกิดใหม่และสลายหาย
สุดท้ายมันเงยหน้ามองเรือด้านบน แมงมุมทะเลละทิ้งความคิดโจมตี ดึงควันเหลืองไว้ในกรงเล็บคมกริบ ก่อนหลับตาลง
มันคือพายุ คือคลื่นยักษ์ คือราชาแห่งทะเลลึกที่ไร้เทียมทาน
แต่นั่นเป็นเพียงสัญลักษณ์
มันในตอนนี้สัมผัสได้ว่า ธรรมชาติกำลังสิ้นสูญ ความน่ากลัวที่เป็นปริศนาบางอย่างกำลังรุกรานโลกใบนี้
แม้มันจะเกิดมาได้ไม่ถึงหกปี แต่การเชื่อมต่อกับธรรมชาติทำให้มันตระหนักว่า หากไม่หาทางออกใหม่ ทุกอย่างจะสายเกินแก้
และตอนนี้ หมอกสีเหลืองสายนั้นก็ได้มอบความเป็นไปได้หนึ่งให้มัน
…
ลู่เซิ่งลุกขึ้นยืน มองดูเกาะขนาดใหญ่ที่กำลังเข้ามาใกล้ทางด้านหน้าด้วยความเร็วสูง
เกาะเป็นรูปจันทร์เสี้ยว มองดูไกลๆ เห็นเกาะเต็มไปด้วยป่ารกชัฏ คล้ายยังมีภูเขาไฟแทงยอดแหลมขึ้นมา
ริมชายหาดมีเรือสีขาวจอดอยู่หลายลำ
เรือพวกนี้มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ บนเรือหลายลำมีเงาคนกำลังเคลื่อนไหว
ลมทะเลพัดผมลู่เซิ่งปลิวไสว เขาใช้หนังยางมัดผม ทอดตามองเกาะ
นับตั้งแต่มีหัตถ์ที่มองไม่เห็น เขาก็สื่อสารกับสัตว์ประหลาดที่ได้เจอระหว่างทางทั้งหมดแล้ว
แม้สัตว์ประหลาดส่วนใหญ่จะมีนิสัยบ้าคลั่งขวางโลก แต่พวกมันก็อยู่โดดเดี่ยว ไม่ติดต่อกับโลกภายนอก
เป็นเพราะการถือกำเนิดทั้งหมดของสัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่เหมือนใคร โครงสร้างร่างกายและสภาพการใช้ชีวิตของพวกมันแตกต่างกัน
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงจนยากหยั่งคาดและเผชิญกับกาลวิบัติ สภาพแวดล้อมที่พวกมันดำรงอยู่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่โตเกือบทุกวินาที
สัตว์ประหลาดจำนวนไม่น้อยในนี้ถึงขั้นมีอายุขัยแค่ไม่กี่เดือน
‘เป็นโลกที่น่าสงสารจริงๆ’ ลู่เซิ่งถอนใจ
เขาสื่อสารกับสัตว์ประหลาดที่อยู่ระหว่างทางพวกนั้น ผ่านหัตถ์ที่มองไม่เห็น และให้สัญญาว่า ขอแค่ตนเองเจอวิธี จะพาพวกมันออกไปพร้อมกัน
ออกจากโลกที่กำลังมุ่งสู่กาลวิบัติแห่งนี้
“แย่ล่ะ! ภูตผีนี่นา!” จู่ๆ แอนดี้ก็ร้องตกใจ
พวกเขาก้มหน้าลง ไม่มองร่างคนที่อยู่บนเรือไกลออกไป
ขอแค่ไม่มองหน้าภูตผี ทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหา
ลู่เซิ่งกลับทดลองเงยหน้าขึ้นช้าๆ หลังก้มหน้าลง
พลังของเขาในปัจจุบันน่าจะเพียงพอให้เขาทดลองตรวจสอบใบหน้าของภูตผีได้แล้ว
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ พอกวาดตามองไปบนเรือ ร่างคนทั้งหมดต่างก็หันหลังให้เขา มองไม่เห็นหน้าตรงๆ นี่เหมือนจะเป็นเหตุบังเอิญ แต่ก็เหมือนไม่ใช่
เรือเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว เกาะทั้งเกาะเงียบจนน่าสะพรึงกลัว ไม่เหมือนกับที่อยู่ของผู้รอดชีวิตขนาดใหญ่ที่มีคนมากมายรวมตัวกัน
โครม
เรือชนหินโสโครกที่เขตทะเลตื้นเบาๆ หยุดอยู่ห่างจากชายหาดไม่ถึงสามสิบเมตรอย่างหมดปัญญา
พวกลู่เซิ่งแยกกันหิ้วของลุกขึ้น
“ไปเถอะ เร่งมือกันหน่อย ยังกินข้าวบนเกาะได้อยู่”
“กินข้าวหรือ” มาร์คมองเรือหลายลำที่เดินผ่าน บนเรือพวกนั้นยังมีเงาภูตผีที่เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
สภาพแบบนี้ยังจะกินข้าวอีกเหรอ
ซูม
ลู่เซิ่งลงน้ำเป็นคนแรก ก่อนสะกิดเท้ากับผิวทะเลเบาๆ พุ่งไปยังชายหาดเหมือนกับลูกศรคมกริบ
คนที่เหลือตามไปติดๆ
พุ่งผ่านผิวทะเลหลายสิบเมตร ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงบนชายหาดอย่างแผ่วเบา กลางหาดทรายบนชายหาดปรากฏกลิ่นคาวเลือดจางๆ
“สภาพไม่ค่อยเข้าท่านะครับ…” เคนกระโดดมาถึงข้างลู่เซิ่งพร้อมเอ่ยขึ้น
“รีบดูท้องฟ้าเร็ว!” เคนเตือน
ทุกคนเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกัน
กลางท้องฟ้าไกลออกไป เรือใบสีเหลืองสว่างขนาดยักษ์ลำหนึ่งกำลังพุ่งไปยังท้องฟ้าช้าๆ
นั่นคือเรือใบขนาดยักษ์ที่ยาวถึงหลายร้อยเมตร เพียงแต่ตอนนี้บนตัวมันมีแสงไฟขนาดต่างๆ ส่องสว่าง
นั่นคือระเบิด
พวกลู่เซิ่งได้ยินเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ จากการระเบิดด้านบน
“การดิ้นรนครั้งสุดท้ายเหรอ” ลู่เซิ่งเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
“ไปเถอะ เข้าไปดูกัน” เขาเดินไปยังป่ารกบนเกาะทันที
พวกมาร์คสบตากัน ต่างก็สัมผัสความสั่นสะท้านอันล้ำลึกได้จากดวงตาของกันและกัน เรือใหญ่ขนาดนี้จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรและกำลังคนมากขนาดไหนถึงจะสร้างขึ้นมาได้
พวกเขาตัดทะลุป่าอย่างปลอดภัย ก่อนจะเห็นอาโซมของจริงอย่างรวดเร็ว
เมืองสีขาวที่ถูกครอบอยู่ในโล่กระจกยักษ์กลางป่าลึกปรากฏหมอกขาวขมุกขมัวเลือนราง
ไม่มีเสียงคน มีเพียงความเย็นเยียบเงียบงันที่น่าขนลุกขนพอง
ลู่เซิ่งยืนอยู่ตรงราวป่า ทอดตามองไป
“พวกเรามาสายไป…”
“อาโซมถึงกับ…!” มาร์คแสดงสีหน้าตกตะลึงและหวาดกลัวอย่างไม่อาจข่มกลั้น
“นี่เป็นศูนย์ใหญ่ของนิกายอีซิสเชียวนะ!” แอนดี้หน้าเหย “ถ้าแม้แต่นิกายอีซิสยังป้องกันวิกฤติการณ์ไม่ได้ อย่างนั้นพวกเรา…”
“พวกเราควรไปได้แล้ว” ลู่เซิ่งตัดบทเขา ชี้ไปยังด้านบนอาโซม
หมอกขาวมากมายตรงนั้นแผ่มาอย่างรวดเร็ว รวมตัวกันเป็นใบหน้าคนขนาดมหึมา แล้วลอยมาทางด้านนี้
หน้าคนใบนั้นอ้าปากน้อยๆ แล้วส่งเสียงที่เหมือนกับผู้หญิงกำลังครวญคราง
“ถอย!” ลู่เซิ่งตะโกน
พวกเขารีบถอยหลังกลับไปในป่า
ลู่เซิ่งลังเลในช่วงเวลาสุดท้าย แต่ก็ยังสะบัดมือออกไปเบาๆ
หมอกเหลืองหลายสาย ลอยออกจากฝ่ามือของเขาเข้าหาใบหน้าหมอกขาว
จากนั้นเขาก็ถอยหลังสองก้าว ตามคนอื่นๆ ไปยังทิศทางขามา
อาโซมกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว
ไม่มีเสียงคน ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิต มีแต่ใบหน้าหมอกขาวขนาดยักษ์ใบนั้น
เบาะแสที่ลู่เซิ่งได้มาก่อนหน้านี้ขาดสะบั้นแล้ว
ข้อมูลข่าวสารที่หญิงสาวดอกตูมผู้นั้นมอบให้ผิดไปโดยสิ้นเชิง
ทุกคนเคลื่อนไหวกลางป่าอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครมีอารมณ์มาคุยกัน
อาโซมเป็นศูนย์ใหญ่ของนิกายอีซิสที่แข็งแกร่ง แต่กลับตกอยู่ในสภาพนี้
สถานที่อื่นล่ะ สถานที่ที่มีมนุษย์รอดชีวิตแห่งอื่นล่ะ
“เรือใบขนาดยักษ์ลำเมื่อกี้ บางทีพวกเราควรขึ้นไปดู” มาร์คเสนอ
“ลองดูได้” ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้น ยังเห็นเรือใบยักษ์ที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าจากกลางป่าลึกได้อยู่ ตัวเลือกมีควันดำลอยกรุ่น ไฟบนนั้นมอดดับแล้ว แต่ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ
‘ดูเหมือนข้อมูลของครอบครัวน่าจะเป็นของปลอม…’ ลู่เซิ่งอารมณ์ไม่ดีนัก เขากลัวว่าเกิดครอบครัวอยู่ในอาโซมจริงๆ อย่างนั้นอาโซมที่ถูกใบหน้าหมอกขาวใบนั้นปกคลุมก็เกรงว่าจะไม่เหล ลือผู้รอดชีวิตสักคนแล้ว
พลังแห่งความว่างเปล่าเริ่มทำให้โลกใบนี้พังทลาย ขณะเดียวกันก็ทำให้มันคลั่งตามไปด้วย…
ใบหน้าหมอกขาวนั้นไม่มีกลิ่นอายของพลังแห่งความว่างเปล่า แต่มีกลิ่นอายชั่วร้ายพิลึกพิลั่นอีกอย่าง เป็นพลังชั่วร้ายที่ขัดกับโลกใบนี้
ช่องทางที่โลกสักใบหรือจักรวาลสักแห่งสัมผัสได้มีมากขนาดไหน ลู่เซิ่งไม่รู้ แต่เขารู้ว่านี่จะต้องอยู่เหนือจินตนาการของเขาอย่างแน่นอน การที่สามารถดึงพลังอื่นๆ เข้ามาต้านท ทานในขณะที่พลังแห่งความว่างเปล่ากัดกร่อน นี่เป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้าย
ในตอนที่จักรวาลเผชิญทางตันโดยสิ้นเชิง มันคงไม่สนใจว่าเป็นพลังชนิดไหน ขอแค่ช่วยเหลือมันได้ ล้วนถูกมันดึงเข้ามาด้านใน
เหมือนกับใบหน้าหมอกขาวใบนั้น
ทั้งสี่คนเร่งฝีเท้าตัดผ่านป่ารก
ทันใดนั้นลู่เซิ่งก็ชะงักฝีเท้า
เสียงอันแผ่วเบาเสียงหนึ่งมุดเข้ามาในสมองของเขาจากด้านหลัง
“ด้านหลัง…” เขาหันไปมองอาโซม เสียงดังมาจากที่นั่น เห็นได้ชัดว่าใบหน้าหมอกขาวใบนั้นกำลังส่งเสียง
“พวกเธอไปรอฉันนอกป่า” เขายกมือ
พวกมาร์คสบตากัน ก่อนขานรับเสียงแผ่วต่ำ พุ่งไปยังทางชายหาดอย่างรวดเร็ว
ระหว่างป่าสีเขียวเข้มที่รกหนา ลู่เซิ่งยืนอยู่กับที่เพียงลำพัง แสงสีขาวที่มืดสลัวส่องลอดคาคบไม้ลงมาถึงข้างเท้าเขา
“เจ้าคิดตามหาสิ่งใด”
เสียงหนึ่งสะท้อนในสมองลู่เซิ่ง
“หาคนกลุ่มหนึ่ง ครอบครัวที่พลัดพราก” ลู่เซิ่งหลับตาตอบในใจ
“ครอบครัวหรือ เป็นแบบไหน” เสียงนั้นแสดงความสนใจ
“คนที่มีสายเลือดและกลิ่นอายเหมือนฉัน” ลู่เซิ่งตอบ “คุณเป็นใคร มาจากไหน”
“ฉัน…ฉันชื่อเวรา”
สิ่งที่เหมือนฟองน้ำลอยขึ้นมาด้านหน้าลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งพลันลืมตา กระจกบานหนึ่งที่รวมตัวขึ้นจากสายน้ำโผล่มาตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
กระจกทรงรีสูงเท่าหนึ่งคนครึ่ง ด้านในสะท้อนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
“ข้าไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหน และไม่รู้ว่า ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่” เสียงดังมาจากในกระจก
“คุณโดนหลอกแล้ว คนที่ชื่อซีหนิงกดดันให้จักรวาลแห่งนี้เต็มไปด้วยรูพรุน จากนั้นก็ดึงคุณเข้ามา” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงเรียบ
“งั้นหรือ” เสียงนั้นสงสัยเล็กน้อย
“คุณไม่ได้อยู่ในจักรวาลแห่งนี้ใช่ไหมล่ะ ตอนแรกที่นี่ไม่ใช่แบบนี้ คุณน่าจะรู้เหตุผลใช่ไหม” ลู่เซิ่งว่า
“บางที…” เสียงนั้นเงียบไป
“คุณไม่อยากแก้แค้นเหรอ” ลู่เซิ่งถาม เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เข้ากันไม่ได้กับจักรวาลแห่งนี้จากตัวอีกฝ่าย กฎจำนวนมากกำลังสะกดอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง
เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวตรงหน้าเป็นการดำรงอยู่ที่มีพลังแข็งแกร่งสุดขีด
“ทำไมต้องแก้แค้น” เสียงนั้นกล่าวเอื่อยเฉื่อย “ข้าเข้ามาที่นี่เพื่อฆ่าตัวตาย”
“…” ลู่เซิ่งหมดคำพูดจะโต้ตอบ
“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมดาวฤกษ์เป็นสีทอง” เสียงนั้นถาม
“ทำไม”
“เพราะนั่นเป็นสีที่ข้าชอบที่สุด”
คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว
ลู่เซิ่งปวดหัว
“รู้ไหมทำไมความว่างเปล่าเป็นสีดำ”
“ไม่รู้สิ…”
“เพราะข้าชอบวาดภาพสีดำ”
“คุณ…เป็นอะไรกันแน่” ลู่เซิ่งรู้สึกปวดหัวกว่าเดิม
“ข้าคือเวรา” เสียงนั้นตอบ
“ข้าชอบวาดภาพ ชอบร้องเพลง ชอบเต้นรำ ชอบเล่นหมาก ชอบ…ชอบทุกสิ่งที่ชอบได้”
“ทำไมคุณอยากฆ่าตัวตายล่ะ” ลู่เซิ่งไม่เข้าใจ
“เพราะนี่เป็นชะตาของข้า” เวราตอบ
“ชะตาหรือ” ลู่เซิ่งเหมือนจะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายคือสิ่งใด