ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1138 การหลอมรวมและสรรพสิ่ง (2)
“ถูกต้อง…ชะตา…” เวราตอบ “ถ้าเจ้าอยู่ได้อีกสิบวัน เจ้าจะทำอะไร”
“สิบวันหรือ” ลู่เซิ่งเว้นครู่หนึ่ง “ลองค้นหาดู…ค้นหาสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเห็น ลองทำ ลองสัมผัสสิ่งแปลกใหม่”
“ใช่…ข้าเองก็คิดแบบนี้ นี่เป็นวันที่สามของข้า ดีใจมากที่ได้รู้จักเจ้า”
“งั้นหรือ ดีใจมากเหมือนกันที่ได้รู้จักคุณ” ลู่เซิ่งตอบแบบเดียวกัน
“อย่างนั้น ลาก่อน
“อืม ลาก่อน”
กระจกด้านหน้าลู่เซิ่งค่อยๆ สลายหายไป เสียงหายไปด้วยเช่นกัน
เขาก้มหน้ามองมือตัวเอง วังวนหมอกสีเหลืองอ่อนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามืออย่างช้าๆ
นั่นคือหัตถ์ที่มองไม่เห็นของเขา
หัตถ์ที่มองไม่เห็นแทนที่จะบอกว่าเป็นความสามารถหนึ่ง ควรบอกว่าเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งหรืออวัยวะประเภทหนึ่งดีกว่า
มันถือกำเนิดขึ้นมาในโลกที่กำลังสูญสิ้นใบนี้ เหมือนกับพลังหมอกดำ มีคุณสมบัติที่พิเศษถึงขีดสุดตั้งแต่เริ่มต้น
ในโลกสิ้นหวังที่ความว่างเปล่าและการดำรงอยู่สู้กัน การปรากฏขึ้นของความสามารถสองชนิดนี้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลขึ้น
‘ร้ายกาจจริงๆ…’
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าความสามารถของหัตถ์ที่มองไม่เห็นคืออะไร
ลู่เซิ่งนิ่งไปสักพักค่อยยื่นมือออกมากดพื้นเบาๆ
จิตของเขาย้อนความทรงจำของผืนดินแห่งนี้ และเกาะแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
หมอกสีเหลืองหลายสายของหัตถ์ที่มองไม่เห็นซึมซาบเข้าพื้นดินอย่างช้าๆ
อย่างค่อยเป็นค่อยไป เสียงหลายเสียงกระเพื่อมดังขึ้นในสมองของเขา
“อา…บนตัวข้า มีหลายสิ่งหลายอย่างงอกออกมา…มากมายเหลือเกิน…”
นั่นคือเสียงชายชราที่ทุ้มต่ำและสั่นเทิ้ม
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วแล้วฟังต่อไป
“งอกออกมามากมาย…หลายสิ่งหลายอย่าง…หลายสิ่ง”…
เสียงนั้นทวนประโยคเดิมไปเรื่อยๆ ไม่มีเนื้อหาอื่นอีก
ฟังอยู่เกือบสิบกว่านาที ก็ยังได้ยินแต่ประโยคนี้ ลู่เซิ่งชักมือกลับและลุกขึ้นยืน เขาสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าความสามารถของหัตถ์ที่มองไม่เห็นเหมือนจะใช้ไม่ได้อีกแล้ว
‘อาโซมพินาศแล้ว…ควรกลับสักที’ เขาสัมผัสกลิ่นอายของพวกหมีก่วงอิงบนเกาะเล็กๆ ใบนี้ไม่เจอ
ถ้าพวกเธอเคยอยู่ที่นี่มาก่อนจริงๆ อย่างนั้นจะมากจะน้อยก็ต้องทิ้งกลิ่นอายที่หาเจอได้เอาไว้
อาจเป็นเพราะใบหน้าหมอกขาวขนาดยักษ์นั้นขจัดการอำพรางไปแล้ว หรือไม่ทุกอย่างนี้เป็นเพียงคำลวง
เวลานี้ลู่เซิ่งไม่อยากจะสืบสาวเรื่องพวกนี้อีก
เขากลับไปตามทางเดิม
ลู่เซิ่งเห็นพวกมาร์คนั่งพักผ่อนอยู่บนก้อนหินใหญ่สองสามก้อนตรงราวป่า
กองไฟลุกโชนบนพื้น กระจายความร้อนระอุออกมา
“อาจารย์ ในที่สุดก็ออกมาแล้วเหรอครับ!” ตอนมาร์คเห็นลู่เซิ่ง เขาก็ดีใจจนแทบน้ำตาไหล
ดีอกดีใจอย่างมาก
“ในที่สุดเหรอ ฉันอยู่ในนั้นนานมากเหรอ” ลู่เซิ่งงุนงง
“สามวันแล้วนะครับอาจารย์!” มาร์คกล่าวอย่างตื้นตัน
“สามวัน…” ลู่เซิ่งหวนนึกถึงกระบวนการที่ติดต่อกับตัวตนที่ชื่อเวรา
ประโยคสั้นๆ ไม่กี่ประโยคนั้นใช้เวลาไปถึงสามวันเชียวหรือ
“อาจารย์” มาร์คเอ่ยอย่างระมัดระวัง
“ไม่มีอะไร” ลู่เซิ่งได้สติกลับมา
ลางสังหรณ์บอกเขาว่า ต่อจากนี้ความสามารถอย่างหัตถ์ที่มองไม่เห็นอาจจะสร้างประโยชน์อย่างใหญ่หลวง
“ตอนนี้พวกเราจะไปไหนเหรอครับ” มาร์คถาม
“ไปดูจุดรวมพลมนุษย์จุดอื่นดู เป็นไปได้อย่างมากว่ากรณีของอาโซมจะไม่ใช่กรณีพิเศษ” เขาตอบเสียงทุ้ม
คำพูดนี้ทำให้พวกมาร์คเคร่งเครียดกว่าเดิม
“อาจารย์ ก่อนหน้านี้ผมไปตรวจสอบเรือลำอื่นที่อยู่รอบๆ มา ร่องรอยการต่อสู้หลายอย่างบนเรือพวกนั้นน่าจะเกิดขึ้นมานานมากแล้ว อย่างน้อยก็สามเดือนขึ้นไปครับ” แอนดี้แจ้ง
“สามเดือนหรือ หมายความว่า อาโซมเกิดเรื่องตั้งแต่สามเดือนก่อนเหรอ” เคนผุดสีหน้าตกตะลึง
“ก็ไม่แน่หรอก แต่มีความเป็นไปได้นี้อยู่” แอนดี้พยักหน้า
ลู่เซิ่งหันไปมองป่ารก
“ไปเถอะ ออกจากที่นี่กัน”
ทุกคนกลับไปถึงเรือท่องเที่ยวที่ใช้โดยสารมา ติดเครื่องยนต์แล้วหักเลี้ยวผละไป
ละอองน้ำลากเป็นเส้นสีขาวยาวเหยียดด้านหลังเรือ
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ตรงกราบเรือ ยื่นมือจุ่มลงไปในน้ำทะเล
จิตของเขาเริ่มจินตนาการว่าเชื่อมต่อกับทั้งมหาสมุทร
แต่ครั้งนี้หัตถ์ที่มองไม่เห็นไม่มีผลใดๆ คล้ายกับใช้ได้วันละสามครั้ง หมอกเทาสีเหลืองพลิกตัวกลางฝ่ามือของเขา ก่อนจะสลายหายไป
ลู่เซิ่งชักมือกลับ สีหน้าราบเรียบกว่าเดิม สายตาเหม่อลอย ไม่ทราบคิดอะไรอยู่
…
ระหว่างกลับ ลู่เซิ่งหยุดพักเป็นระยะ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังดินแดนรกร้างรอบๆ แล้วหายไปพักหนึ่ง บางครั้งก็หนึ่งวัน บางครั้งก็หลายวัน
ตอนแรกๆ พวกมาร์คยังเป็นห่วง แต่ต่อมาพร้อมกับที่การกระทำนี้กลายเป็นเรื่องปกติ พวกเขาก็เริ่มชินกับรูปแบบการเคลื่อนไหวของหัวหน้า
ครึ่งเดือนต่อมา ทั้งสี่ก็กลับถึงซีเลียสำเร็จ
ระหว่างเดินทาง ลู่เซิ่งได้เลื่อนระดับไปห้าระดับ บรรลุถึงระดับที่สามสิบหก
ยิ่งถึงช่วงหลัง เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าได้ว่า หมัดลอบสังหาร หมัดมารลวงสิบดวงใจพัฒนาความเร็วและกำลังของเขาในทุกด้าน
คุณสมบัติและความสามารถไม่มีการเพิ่มขึ้นลดลง แต่พละกำลังและความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้าหลายเท่าตัว
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งกังวลกว่าเดิมก็คือ ทูตที่เขาส่งไปยังจุดรวมพลมนุษย์แห่งอื่นพากันส่งข่าวกลับมา
จุดรวมพลมนุษย์จุดอื่นๆ มีอยู่สามแห่งใกล้ๆ หายสาบสูญไป
ไม่นานนักคลื่นความว่างเปล่าระลอกสามก็โจมตีมา
ศิษย์หมัดมารลวงจำนวนมากในเขตซีเลียแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยการสนับสนุนจากอาหารบำรุงหลายชนิด
อิซราเติบโตเหมือนจรวด เลื่อนถึงระดับ B เขามีร่างอมตะอยู่แล้ว บวกกับการช่วยเหลือจากเนื้อบำรุงจำนวนมาก ทั้งยังเป็นผู้หลอมรวมกับหน้ากระดาษคัมภีร์แรกเริ่มที่แข็งแกร่งขึ้นได้เพียงคนเดียว
เขาจึงได้รับการทุ่มเททรัพยากรมากที่สุด
แจ๊คสันและผู้ทับซ้อนคนอื่นๆ ที่ตามหลังยังอยู่แค่ระดับ C
เนื่องจากใช้เวลาไม่นานและมีคุณสมบัติธรรมดา พวกเขาเหล่านี้จึงได้แต่เพิ่มการฝึกฝนในด้านทักษะ อย่างมากสุดก็ใช้อุปกรณ์ช่วยต่อสู้
เพราะว่าพวกเขาไม่มีพรสวรรค์เท่าอิซรา และไม่ได้รับการเอาใจใส่ที่มากพอจากลู่เซิ่ง การที่มาถึงระดับนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวมากแล้ว
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งปลาบปลื้มที่สุดก็คือ คุณสมบัติโดยรวมของศิษย์หมัดมารลวง
เฉลี่ยแล้ว ทุกคนของที่นี่ ศิษย์หมัดมารลวงทั้งหมด ต่างก็มีคุณสมบัติถึงระดับ E
นี่เป็นการคำนวณคุณสมบัติร่างกายอย่างเดียว แม้จะไม่ได้หมายความว่าพลังต่อสู้ในความเป็นจริงไปถึง แต่คุณสมบัติแบบนี้ก็ลดอัตราความเสียหายจากการออกไปลาดตระเวนได้อย่างมาก
เวลาค่อยๆ เลื่อนไหล ผ่านไปราวครึ่งปี
ซีเลียให้กำเนิดหน่วยพิเศษหกหน่วยที่พัฒนาไปในด้านต่างๆ ภายใต้การนำของลู่เซิ่ง
ศิษย์เหล่านี้แบ่งคุณสมบัติร่างกายและความสามารถโดยใช้ชนิดของเนื้อบำรุงที่รับประทานในยามปกติ
การรับประทานของบำรุงพลังงานสูงอย่างเนื้อของปาฮั่นเป็นระยะยาว ทำให้คุณสมบัติร่างกายของพวกเขาเกิดความโน้มเอียงและเปลี่ยนแปลงเล็กๆ บางส่วน
ศิษย์จำนวนหนึ่งมีแนวโน้มไปในด้านความเร็วอย่างชัดเจน ศิษย์ส่วนหนึ่งพัฒนาความแม่นยำอย่างมหาศาล
บางส่วนโน้มเอียงทางพลังป้องกัน พลังฟื้นฟู และพละกำลัง
เป็นเพราะการกินเนื้อของสัตว์ประหลาดชนิดต่างๆ ทำให้เหล่าศิษย์เกิดแนวโน้มที่ไม่เหมือนกัน
อย่างค่อยเป็นค่อยไป สำนักหมัดมารลวงก็เกิดสาขาหกสาขา พวกเขาเรียกลู่เซิ่งว่าเทพมารลวงตาเกลาเดียร์ เกลาเดียร์ในภาษาท้องถิ่นหมายถึงเทพด้านวิชาหมัด
หกสาขานี้เรียกตัวเองว่าหกมารลวงตา
ผู้นำของหกมารลวงตาคือคนหกคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหกสาขา อิซราเป็นหนึ่งในนี้
พร้อมกับที่สำนักมารลวงสิบดวงใจกล้าแข็งและพัฒนาด้วยความเร็วสูง พื้นที่จำนวนมากก็ถูกกวาดล้างกลายเป็นที่อยู่อาศัย ที่นา และเรือนกระจก
ผู้รอดชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ยินข่าวเดินทางมาจากที่ต่างๆ เข้าสวามิภักดิ์กับซีเลียที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนเทพมารลวงตา หรือลู่เซิ่ง ก็เริ่มเก็บเนื้อเก็บตัว
ร่องรอยของเขาเร้นลับไม่แน่นอน บางครั้งมีคนพบเขาปรากฏตัวในสถานที่รกร้างบางส่วน แต่ระหว่างพื้นที่เหล่านี้ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ
สิ่งที่ประหลาดก็คือ แม้ลู่เซิ่งจะไม่ได้คุ้มครองป้อมปราการซีเลียแล้ว แต่ถ้ามีสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ที่หกมารลวงตายากจัดการ หรือเจ้าหญิงแมลงศพระดับ A โผล่มาเมื่อไหร่ ก็จะมีสัตว์ประหลาดมหึมาที่บรรยายไม่ถูกบางส่วนล่อมันหรือขวางมันไว้
สัตว์ประหลาดพวกนี้เหมือนไร้เจตนา แต่เวลาเคลื่อนไหวกลับไม่เคยทำร้ายประชาชนในซีเลีย
นอกจากพวกที่โดนลูกหลงแล้ว ประชาชนของซีเลียที่ตายด้วยเงื้อมมือภูตผีและสัตว์ประหลาดก็ลดน้อยลงมากแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่าทำไม
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมสัตว์ประหลาดพวกนี้จึงช่วยซีเลีย แต่คนส่วนใหญ่สรุปว่าปรากฏการณ์ประหลาดพวกนี้เป็นฝีมือของเทพมารลวงตาเกลาเดียร์
รูปปั้นของเกลาเดียร์เริ่มเชื่อมโยงเข้ากับเทวรูปไร้นามที่แอบเผยแพร่เมื่อก่อนหน้านี้ กลายเป็นรูปบูชารูปใหม่
ในขณะเดียวกัน สมาชิกจากนิกายความหวังและนิกายอีซิสที่เหลือรอดก็มุ่งหน้ามายังซีเลีย คิดจะนัดเจอราชาแห่งซีเลียลู่เซิ่งอย่างเป็นทางการ
คนของนิกายความหวังนำข้อมูลที่ลู่เซิ่งให้ความสนใจที่สุดมาด้วย นั่นคือที่อยู่ของพวกหมีก่วงอิง
…
ต้นไม้ยักษ์สีเขียวเข้มแทงไปถึงขอบฟ้า กางเป็นแท่นทรงกลมที่อยู่สูงจากพื้นมากกว่าพันเมตร
ชายหญิงในชุดคลุมสีเทาที่สวมสร้อยโลหะสีสำริดสี่คนเดินถึงหน้าต้นไม้มหึมา เงยหน้ามองต้นไม้สูงระฟ้าที่เกี่ยวกระหวัดตั้งตรง
“เทพมารลวงตาเกลาเดียร์ ชื่อยิ่งใหญ่จริงๆ” ชายไว้หนวดคนหนึ่งเงยหน้ามองแท่งทรงกลมด้านบนพลางกล่าว
“ซีเลียรองรับผู้รอดชีวิตหลายแสนคน สามารถคุ้มครองผู้รอดชีวิตมากมายขนาดนี้ สร้างที่ดินผืนใหญ่ขึ้นมา และดูแลตัวเองได้ ในกลียุคแบบนี้ ชื่อแบบนี้ไม่ถือว่าเกินไป” หญิงวัยกลางคนอีกคนโต้
“ก็อาจจะ ตามการรายงานจากทางด้านหกมารลวงตา คนคนนั้นสมควรอยู่ที่นี่ชั่วคราว อย่างนั้น พวกเราจะขึ้นไปยังไง” ผู้ชายถามเสียงทุ้ม
“ปีนเถอะ” หญิงวัยกลางคนกล่าวอย่างจนปัญญา
คนสี่คนเริ่มปีนป่ายไปตามกิ่งที่เกี่ยวกระหวัดของต้นไม้ยักษ์
บนแท่นทรงกลมเหนือยอดไม้
ลู่เซิ่งก้มมองอาณาเขตซีเลียที่กว้างใหญ่เบื้องล่าง
ซีเลียที่ไม่มีเขา ยังคงดูแลเขตแดนทั้งหมดได้ไม่เลวโดยหกมารลวงตาที่มีอิซราเป็นผู้นำ
นี่ทำให้เขาเบาใจไม่น้อย
ตอนนี้คนของนิกายความหวังและนิกายอีซิสมาหาเขา เขาเดาเจตนาของอีกฝ่ายออกแล้ว
อาโซมพินาศไปแล้ว แต่นิกายอีซิสยังไม่ถูกกำจัดโดยสิ้นเชิง หากย้ายกองกำลังส่วนหนึ่งไปซ่อนตัว
แต่ปัจจุบัน ไปถึงขั้นที่ไม่ว่าจะซ่อนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์แล้ว
“เวลา สุกงอมแล้ว…” ครึ่งปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้อยู่เฉยๆ
หัตถ์ที่มองไม่เห็นมอบความเป็นไปได้และแรงบันดาลใจให้เขามากมาย
ขณะที่ระดับของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างมายาสูญอันเป็นความสามารถอีกอย่างก็ทำให้เขาหลอมรวมเป็นหนึ่งกับทุกสิ่งของร่างหลักอย่างแท้จริง
พลังหมอกเทา เป็นข้อต่อที่หลอมรวมทุกอย่าง
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ โลกใบนี้ใกล้จะจบสิ้นแล้ว เขาไม่มีเวลาพัฒนามันอีกต่อไป
……………………………………….