ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1139 จากไป (1)
ท้องฟ้าถูกชั้นเมฆสีเทาปกคลุมอำพราง ก้อนเมฆผืนใหญ่กลายเป็นวังวนและทรงกระบอกกลมหมุนเคลื่อนช้าๆ โดยไม่รู้ตัว
แสงสีขาวซีดหลายสายสาดลอดช่องว่างระหว่างชั้นเมฆลงมาราวกับลำแท่งหลายต้น
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้าจากแท่นทรงกลม
ก้อนหินดินโคลนบางส่วนบนที่ราบที่อยู่ไกลออกไปกำลังสูญเสียแรงโน้มถ่วงอย่างช้าๆ ลอยไปยังขอบฟ้าไร้ขอบเขต
สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าผืนดินมีความร้อนมหาศาลกำลังทะลักถั่งโถม พร้อมระเบิดออกมาได้ทุกเวลา
เขาละสายตากลับมามองคนสี่คนที่ปีนขึ้นมาจากขอบแท่นทรงกลม
“เทพมารลวงตาเกลาเดียร์ที่เคารพ ฉันชื่อแคลดิส” หญิงวัยกลางคนที่เป็นผู้นำหอบหายใจ “พวกเราคือทูตขอความช่วยเหลือจากอีซิสและนิกายความหวัง ครั้งนี้ที่มาเพราะอยากขอให้ท่านลงมือช่วยสร้างทางรอด ช่วยสาวกและประชาชนจำนวนมากของพวกเรา”
“แคลดิสใช่ไหม คุณแน่ใจได้ยังไงว่าฉันช่วยพวกคุณได้ และแน่ใจได้ยังไงว่าฉันต้องช่วยพวกคุณ” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงเรียบ
โลกใบนี้ใกล้จบสิ้นแล้ว เขาวางแผนว่าอีกไม่นานจะไปจากที่นี่ เพื่อป้องกันไม่ให้โดนลูกหลงจากการระเบิดครั้งสุดท้ายของจักรวาล
ตอนนี้คนกลุ่มนี้มาหาเขา ความจริงจะลงมือหรือไม่ล้วนไม่สำคัญอีกแล้ว
นี่มันไม่ใช่ภัยพิบัติในดินแดนใดดินแดนหนึ่ง เมืองใดเมืองหนึ่ง หากเป็นความพินาศของทั้งจักรวาลและโลกทั้งใบ พวกเขาไม่มีที่ให้หลบหนี
ไม่…ถ้าเขายินดี กลับสามารถพาคนบางส่วนไปได้
แต่ทำไมต้องช่วยพวกเขาออกจากที่นี่ด้วย
ประกายตาของลู่เซิ่งบริสุทธิ์ พวกคนที่อยู่ตรงหน้าถูกกำหนดไว้แล้วว่าเป็นคนที่กำลังจะตาย เขาอยากดูว่าอีกฝ่ายจะนำแต้มต่ออะไรมาทำให้ตนหวั่นไหว
แคลดิสนิ่งไปเล็กน้อย คล้ายกำลังไตร่ตรอง
“พวกเราเจอที่อยู่ของคนที่ท่านจ่ายรางวัลตามหามาโดยตลอด ถ้าท่านช่วยพวกเรา พวกเรายินดีพาท่านไปพบพวกเขา”
“คำพูดแบบนี้ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินมาหลายครั้งหลายคราว ข่าวของพวกเธอจะจริงหรือปลอม พวกเธอไม่มีหลักฐาน” ลู่เซิ่งกล่าว
“ไม่ พวกเรามีหลักฐาน” แคลดิสแสดงสีหน้าจริงจัง “ผู้หญิงที่ชื่อหมีก่วงอิงนั่นบอกพวกเราว่า ขอแค่ท่านได้ยินคำว่ามารดาแห่งความเจ็บปวด จะต้องเชื่ออย่างแน่นอน”
“มารดาแห่งความเจ็บปวด…” ลู่เซิ่งม่านตาหดตัว มีแต่คนของโลกมารสวรรค์ หรือคนที่ใกลชิดกับเขาเท่านั้น ถึงจะรู้ว่ามารดาแห่งความเจ็บปวดมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับเขา
และเวลานี้แคลดิสก็บอกคำที่ละเอียดอ่อนแบบนี้ออกมาได้ แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เธอพูดน่าจะเป็นความจริง
“นอกจากหมีก่วงอิงแล้ว ยังมีอีกกี่คน” ลู่เซิ่งชะงักเล็กน้อยก่อนถามอีก
“สามค่ะ พวกเขามีทั้งหมดสี่คน ตอนที่เราเจอพวกเขา มีสองคนป่วยหนัก กำลังรับการรักษาอยู่ที่นิกาย พวกเราพยายามรักษาสภาพร่างกายของพวกเขาไว้อย่างเต็มที่ ท่านไม่ต้องห่วง” แคลดิสรีบบอก
“ขอเจอคนก่อน แล้วฉันจะพิจารณาว่าจะลงมือหรือไม่” ลู่เซิ่งว่า
จักรวาลแห่งนี้กำลังเผชิญการระเบิดและการต่อสู้สุดท้าย ขุมกำลังความว่างเปล่าไม่มีทางนิ่งดูดายแน่
ก่อนหน้านี้ขุมกำลังความว่างเปล่าล่อให้เขาออกไป เป้าหมายคือต้องการรุมฆ่าเขาด้านนอกอย่างไม่ต้องสงสัย น่าเสียดายที่ถูกเขาโต้กลับ
ดังนั้นต่อมาขุมกำลังความว่างเปล่าจึงไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีก ส่วนการกระทำของเขาก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าได้ช่วยเหลือจักรวาลแห่งนี้ในระดับใหญ่หลวง ลดความเร็วการกัดกร่อนตัวมัน และเพิ่มความยากในการกัดกร่อนของขุมกำลังความว่างเปล่า ดังนั้นขุมกำลังความว่างเปล่าไม่มีทางปล่อยเขารอด
แคลดิสและคนอีกสามคนสบตากัน
“ได้ค่ะ พวกเราเชื่อในชื่อเสียงของท่าน ด้วยบารมีของท่านในวันนี้ ไม่มีทางมองเมินมนุษย์ผู้รอดชีวิตจำนวนแสนกว่าคนแน่”
“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ “บอกที่อยู่จุดรวมพลมา”
“ค่ะ” แคลดิสรีบหยิบแผนที่ที่ระบุพิกัดไว้แล้ว ออกมาจากเสื้อคลุม ส่งให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งกวักมือ แผนที่ลอยมาวางอยู่บนมือเขาอย่างแผ่วเบา
จากนั้นทั้งสี่คนก็ปีนกลับลงไปอย่างเงียบเชียบ
ยังไม่รอพวกเขาออกจากแท่นทรงกลม ลมหอบหนึ่งก็ห่อหุ้มพวกเขา ส่งพวกเขาลงไปถึงพื้นด้านล่างอย่างแผ่วเบา
ทั้งสี่ผุดสีหน้างุนงง ด้านหน้าพร่ามัวแวบหนึ่ง ก่อนจะมาถึงผิวดิน ความสามารถนี้ก้าวข้ามขอบเขตของอุปกรณ์ธรรมดาและความสามารถพิเศษไปแล้ว
คนที่มีความสามารถควบคุมระยะไกลที่สุดของนิกายคือไม่เกินสามสิบเมตร
แต่ลู่เซิ่งกลับส่งพวกเขาทั้งสี่คนถึงผิวดินที่อยู่ต่ำลงไปพันเมตร
ความสามารถที่น่าอัศจรรย์ชนิดนี้ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกยำเกรง
ลู่เซิ่งไม่สนใจความรู้สึกของทั้งสี่ เพียงมองแผนที่ จำเส้นทางและสัญลักษณ์เอาไว้ จากนั้นก็ปล่อยแผนที่ให้ลอยออกไป ถูกกระแสอากาศไร้รูปร่างกลางอากาศฉีกกลายเป็นผุยผงกระจัดกระจายในพริบตา
‘ถึงเวลาไปจากที่นี่แล้ว…’
เขาเดินไปด้านหน้าทีละก้าวๆ ย่ำออกจากเวทีทรงกลมโดยไม่สนใจใคร ก่อนจะกระโดดแผ่วเบา บินไปยังที่ไกลเหมือนเดินบนพื้นราบ
นี่ไม่ใช่เพราะพลังของเขาไปถึงขั้นต้านแรงโน้มถ่วงเพียงอย่างเดียว ยังเป็นเพราะแรงโน้มถ่วงของสรรพสิ่งอันเป็นกฎพื้นฐานสุดของจักรวาลและโลกใบนี้เริ่มถูกทำให้อ่อนแอลง
ในฐานะแรงพื้นฐาน การอ่อนแอลงของแรงโน้มถ่วงสร้างปฏิกิรยาลูกโซ่ที่มีปัญหาถึงขีดสุดมากมาย
พันธนาการของลู่เซิ่งเบาลง พันธนาการของสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ ก็เบาลงเช่นกัน
กลางอากาศที่สูงมากกว่าพันเมตร ลู่เซิ่งบินผ่านป้อมปราการซีเลียขนาดมหึมาเบื้องล่าง
เงาลวงโปร่งใสที่ใหญ่โตเหมือนวุ้น ห่อหุ้มคูเมืองบนผิวป้อมปราการเอาไว้ช้าๆ เงาลวงเงยหน้าขึ้นมองดูลู่เซิ่งบินผ่าน
เขาบินข้ามที่ราบ
สัตว์ประหลาดบิดเบี้ยวร่างใหญ่โตหลายตัวเงยหน้าขึ้นจากใต้ดินของที่ราบ มองไปยังลู่เซิ่ง
พวกมันสะดุ้งตื่นจากหลับไหล ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด บิดแขนมโหฬารน่ากลัวไปมา
ลู่เซิ่งมองเมินพวกมัน บินข้ามที่ราบไปถึงผิวทะเลที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
น้ำทะเลสีน้ำเงินกระเพื่อมซัดสาด ร่างยักษ์สีดำสนิทในทะเลลึกขยับตัวช้าๆ
พวกเขาต่างเป็นตัวตนเหนือธรรมชาติที่ตกลงกับลู่เซิ่งไว้แล้ว
“เกลาเดียร์…” ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงไพเราะก็ดังขึ้นข้างหูพร้อมเสียงสะท้อน
“ยังไม่ถึงเวลา” ลู่เซิ่งชะงักการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ก้มหน้ามองผิวทะเล น้ำทะเลที่เหมือนหนวดหลายเส้นโผล่พ้นผิวน้ำสีน้ำเงิน พวกมันโบกไปมา หนวดน้ำทะเลทุกเส้นมีใบหน้าดุร้ายที่แสดงความเจ็บปวดปรากฏอยู่ตรงปลาย
ลู่เซิ่งบินข้ามเขตมหาสมุทรต่อ
ตูม!
หอกขาวผืนหนึ่งระเบิดขึ้นด้านหน้าอย่างฉับพลัน ฟาเตียนขนาดยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ออกมา ร่างยาวหลายร้อยเมตรเคลื่อนที่บนน้ำทะเลช้าๆ
มันโบกหนวดโปร่งแสงขนาดใหญ่โตหลายร้อยเส้นเข้าใส่ลู่เซิ่ง
ยังไม่รอหนวดเข้าใกล้ เงาดำกลุ่มใหญ่ก็พุ่งออกมาจากข้างใต้น้ำทะเลอย่างฉับพลัน
เงาดำเหล่านี้กลายเป็นหนวดมากกว่าพันเส้นที่ใหญ่ยิ่งกว่าฟาเตียน พริบตาเดียวก็รัดพันร่างฟาเตียนตรึงไว้ที่เดิม
ซ่า น้ำทะเลนับไม่ถ้วนถูกดันสูงขึ้น ยักษ์หัวล้านผิวขาวที่สูงมากกว่าพันเมตรยืนขึ้นจากมหาสมุทร
มันจับฟาเตียนไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนออกแรงจากสองแขน
ตูม ฟาเตียนถูกฉีกกลายเป็นชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจาย
ยักษ์พยักหน้าให้ลู่เซิ่งไกลๆ ปล่อยให้เขาบินผ่านหน้าตัวเองไป
ข้ามผ่านเขตทะเล ลู่เซิ่งค่อยๆ ร่อนลงบนที่ราบสูง กว้างขวางที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวผืนหนึ่ง
ธารน้ำแข็งสีขาวเคลื่อนตามน้ำทะเลขณะกำลังละลาย หิมะและเศษน้ำแข็งกระจายเกลื่อนพื้น ยังมีรอยแยกจากการละลายผืนใหญ่
ลู่เซิ่งเห็นจุดรวมพลด้านข้างธารน้ำแข็ง
ที่นี่มีโล่โปร่งแสงครอบอยู่ ด้านนอกหนาวยะเยือก ด้านในกลับอบอุ่นราวโลกอีกใบ ถึงขั้นเห็นทุ่งหญ้าสีเขียวและดอกไม้สีแดงกับสีเหลืองได้
ลู่เซิ่งเพิ่งจะเข้าใกล้ กลุ่มกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในโล่ด้วยความเร็งสูง แล้วกระจายตัวมาทางเขา
สไนเปอร์แบบประกอบหลายกระบอกพากันเล็งเขา
แต่ความรู้สึกที่ถูกเล็งนั่นทำให้ลู่เซิ่งรู้สึกไม่ใช่แค่อาวุธสมัยใหม่ทั่วไป
เขาควบคุมอากาศพร้อมทิ้งตัวลงช้าๆ
เขาได้รับความสามารถควบคุมกระแสอากาศรอบตัวตอนไปถึงระดับห้าสิบ
นี่ไม่ใช่พลังเหนือธรรมชาติ เพียงแต่ใช้การพ่นกระแสอากาศมาต้านแรงโน้มถ่วงผ่านการหายใจทางรูขุมขนเท่านั้น
คนกลุ่มหนึ่งที่วิ่งออกมาจำหน้าลู่เซิ่งได้ พลันลดปืนลง
ตัวแทนสองคนเร่งฝีเท้าเข้าใกล้เขา
“เทพมารลวงตาเกลาเดียร์ที่เคารพ ท่านมายืนยันตัวคนที่ท่านต้องการตามหาใช่ไหม” ชายไว้เคราข้างแก้มถาม
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“อย่างนั้นโปรดตามพวกเรามา” ชายไว้เคราไม่กล้าชักช้า คนตรงหน้าถูกยกย่องเป็นปัจเจกที่แกร่งที่สุดบนโลกใบนี้
ไม่ว่าจะเป็นผู้ทับซ้อนหรืออาวุธสมัยใหม่ชนิดอื่นๆ ก็อ่อนแอเปราะบางเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
แม้ผู้ทับซ้อนที่หลอมรวมกับหน้าคัมภีร์จะไม่ตาย แต่ก็ได้แต่ใช้ความสามารถเหมือนแมลงวันกับลู่เซิ่งเท่านั้น จะตายหรือไม่ตายความจริงไม่มีข้อแตกต่าง
พวกเขาไม่กล้าให้ลู่เซิ่งเข้าไปในเมืองพวกเขา หากแต่มีคนพาคนสี่คนนั่งรถออกมาจากจุดรวมพล
ลู่เซิ่งรออยู่บนพื้นหิมะห้านาที ค่อยสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายที่คุ้นเคยเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว
เขาสะกิดปลายเท้า ร่างหายวับไปจากที่เดิม แล้วไปโผล่หน้ารถที่อยู่ห่างออกไปมากกว่าพันเมตร
เอี๊ยด!
รถเบรกกะทันหัน เกือบเสียหลัก
ประตูรถถูกเปิด ร่างคนหลายร่างที่ถูกห่อหุ้มไว้อย่างแน่นหนากระโดดลงมา
คนแรกคือลู่ชิงชิง
ลูกผู้น้องที่ชอบรนหาที่ตายที่สุดในตระกูลลู่ เวลานี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ แม้หว่างคิ้วยังคงหมดจดงดงาม แต่มีความสุขุมหนักแน่นเพิ่มมา
เธอสวมเสื้อคลุมสีดำติดฮู้ดหนังจิ้งจอกผืนหนา ยังมีหน้ากากเก็บความอบอุ่นโปร่งแสง คลุมตัวแน่นเหมือนกับนกเพนกวิน
พริบตาที่ลู่ชิงชิงเห็นลู่เซิ่ง ดวงตาก็แดงก่ำ
มีแต่พวกเธอเท่านั้นที่รู้ว่า หลายปีมานี้พวกเธอเจอความลำบากขนาดไหนตอนอยู่ข้างนอก
ตั้งแต่การเดินทางกลางอวกาศที่มืดมิด ลงจอดบนดาวเคราะห์ดวงนี้อย่างยากลำบาก ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ไม่กี่วัน ก็เจอการเปลี่ยนแปลงของโลก ความพินาศของจักรวาล
ครอบครัวเคลื่อนย้ายไปทั่วเหมือนคนอพยพ คนที่ทนไม่ได้เป็นคนแรกคือลู่เฉวียนอัน ถ้าไม่ใช่ลู่เซิ่งบำรุงของดีๆ ให้ไม่น้อย จินหยวนวั่งผู้นี้คงทนไม่ได้ตั้งแต่การเดินทางข้ามดวงดาวแล้ว
การที่ทนมาถึงตอนนี้ได้ก็ถือว่าเป็นขีดจำกัดแล้ว
จากนั้นก็ตามด้วยผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่ทยอยลาโลกไปเพราะความชรา
เหลือลู่ชิงชิงกับลูกผู้พี่ของเธอ ลู่หงอิง โดยมีหมีก่วงอิงพาเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ
เวลานี้ลู่หงอิงเดินออกมาจากด้านข้าง เขาไว้เครายาวเฟื้อมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ดูคร่ำโลกกว่าเดิมมาก
“พี่ใหญ่” เขาพยักหน้าให้ลู่เซิ่งอย่างหนักแน่น
“ลำบากพวกเจ้าแล้ว” ตอนที่ลู่เซิ่งเห็นพวกเขา ความจริงในใจได้ทายบทสรุปเอาไว้แล้ว
บิดาลู่เฉวียนอันอายุมากอยู่แล้ว ผ่านมาหลายปี การที่ทนไม่ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
เขาเลื่อนสายตาออกจากร่างลู่หงอิง มองไปยังคนสุดท้าย
……………………………………….