ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 114 ต่อสู้ (2)
บทที่ 114 ต่อสู้ (2)
องครักษ์ของพรรควาฬแดงนอนระเกระกะบนดาดฟ้าเรือ เลือดสีแดงก่ำซึมออกมาจากตัวศพที่แน่นขนัด รวมตัวเป็นแอ่งเล็กๆ ไหลออกไปตามรางระบายน้ำสองฟากดาดฟ้าเรือ
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้นมองหัวเรือ สายตามข้ามศพนับไม่ถ้วนที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ไปหยุดบนเงาร่างคนสีแดงเลือดสายนั้น
พริบตาที่เห็นเงาคน ม่านตาเขาก็หดตัว
คิกๆๆ…
“ทุบตีจนข้า…เจ็บเหลือเกิน…” สตรีกางร่มสีแดงยืนอยู่ขอบหัวเรือ อีกนิดเดียวก็จะตกลงไปในน้ำ ลมแรงพัดผ่าน นางกลับยืนนิ่งไม่ขยับ มีแค่กระโปรงสีเลือดที่ถูกพัดกระพือ
“คิกๆๆ…ท่านคือ…ประมุขพรรคลู่หรือ ที่แท้เป็นประมุขพรรคคนใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่งนี่เอง…”
เงาคนกางร่มแดงอีกสายโผล่ขึ้นที่ขวามือลู่เซิ่ง เหมือนกับปรากฏตัวขึ้นกลางความว่างเปล่า
ถัดจากนั้น เหมือนกับมีวิชาแยกร่าง เงาคนสีแดงหลายสายโผล่ขึ้นข้างกายลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
เสียงหัวเราะหลมสูงแปลกประหลาดดังมาจากสี่ทิศแปดทาง
“พวกเจ้า…” ลู่เซิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด พบว่าตนคล้ายดูถูกผีหญิงร่มแดงตนนี้
“บ่าวร่มแดง จดจำชื่อนี้ไว้…” เหล่าสตรีกางร่มพากันหมุนตัวเผชิญหน้ากับลู่เซิ่ง
พริบตานั้น
ควับๆๆๆๆ…
เงาแดงหลายสายพุ่งไปหาลู่เซิ่งดุจสายฟ้าฟาด
ย้าก!
ลู่เซิ่งเงยหน้าตะโกนก้อง ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น ตาข่ายสีแดงจางๆ กลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นรอบตัว
ตูม!
เงาแดงทั้งหมดสิบกว่าสายพุ่งใส่ร่างลู่เซิ่งแทบพร้อมกัน แต่แล้วเหมือนถูกลูกระเบิด ระเบิดใส่
ตาข่ายปราณภายในสีแดงพลันระเบิดไปรอบๆ โดยมีลู่เซิ่งเป็นศูนย์กลาง
ตูม!
เงาแดงทั้งหมดถูกระเบิดกระเด็นออกไปในพริบตา กระจายออกไปเหมือนกับเศษผ้าสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเคลื่อนไปด้วยความเร็วสูง พลันมารวมตัวกันกลายเป็นร่างคนขึ้นอีก
สตรีกางร่มหมุนตัวมา กุมใบหน้าเบาๆ พู่ระย้าห้อยลง
ผิวร่มหมุนช้าๆ เสียงฟิ้วดังขึ้นเมื่อนางมุดเข้าไปในร่มกระดาษ เหมือนโดนดูดเข้าไป เหลือแค่ร่มสีแดงค่อยๆ หมุน คล้ายกับมีคนถือไว้ พุ่งใส่ลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน
“ไม่มีตระกูลเจินแล้ว ข้าไม่เชื่อว่า เจ้ามนุษย์แค่คนเดียว…!” ท่ามกลางเสียงหัวเราะแหลมสูง ขอบคมของร่มแดงหมุนอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการบินเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ดอกเหมยสีชมพูที่ปักบนผิวร่มหมุนตาม กลายเป็นวงแหวนสีชมพูวงหนึ่ง ควันดำลอยขี้นรางๆ
ซู้ด…
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก สองมือประสานกันที่หน้าอก หุบปราณภายในตาข่ายโลหิตรอบตัว ให้รวมตัวกันตรงกลางสองฝ่ามือ
ปราณภายในตาข่ายโลหิตทั้งหมดผนึกรวมกลายเป็นลูกกลมสีแดงขนาดเล็กที่กึ่งโปร่งใสกลุ่มหนึ่ง
“เจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้า…” เส้นสีแดงเลือดสายหนึ่งพุ่งจากทรวงอกลู่เซิ่งไปถึงหน้าผาก
“อานุภาพเกรียงไกร!” เขาสองตาดุดัน รวมพลังทั่วร่างกระแทกฝ่ามือออกไป
ตูม!
ลูกกลมเล็กๆ ถูกฝ่ามือกระแทกใส่ ระเบิดในพริบตา พุ่งลิ่วไปหาร่มแดงพร้อมพลังจู่โจมอันมหาศาลและแสงสีแดง
ตูม!
ควันดำกับแสงสีแดงปะทะกันตรงๆ เกี่ยวพันกันพร้อมกับมีควันและเงาแดงขนาดเล็กกว่าเดิมหลายสายกระเด็นออกมา กระจายใส่ดาดฟ้าเรือและศพที่อยู่รอบๆ
ฟิ้วๆๆ…
ควันดำกับแสงสีแดงกระจายออก โปรยปรายไปทั่ว
ดาดฟ้าเรือทำจากไม้ติดไฟ จากนั้นควันพิษระดับพันธนาการปริมาณมากก็แผ่ลาม ประตูชั้นหนึ่งของตำหนักใหญ่ตกใส่ทะเลเพลิง
ตูม!
หอศาลาขนาดเล็กถล่มลง มันถูกพลังโจมตีอันมหาศาลเมื่อครู่ระเบิดแหลก กระแทกใส่ตัวดาดฟ้าเรืออย่างแรง ทำให้ไฟลุกโหมกว่าเดิม
ท่ามกลางเพลิงเผาผลาญ ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้นจากซากกองหนึ่ง มองสตรีกางร่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล
การลงมืออย่างสุดกำลังเมื่อครู่ ทั้งสองคนคลำเห็นความสามารถที่แท้จริงของอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์แล้ว
เป็นระดับพันธนาการเหมือนกัน ทั้งสองคนคู่คี่สูสี ลู่เซิ่งยากสังหารสตรีกางร่ม สตรีกางร่มก็ไม่อาจเจาะการป้องกันด้วยวิชาแข็งกร้าวของลู่เซิ่งเช่นกัน
เปลวเพลิงที่เผาไหม้รอบตัวลู่เซิ่ง ถูกเขาใช้ตาข่ายโลหิตของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่กระจายออกมาป้องกันไว้ บวกกับบนร่างมีความทนไฟระดับสูงสุด ต่อให้ยืนในทะเลเพลิงก็ไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย
สตรีกางร่มมองเมินเปลวเพลิง ควันสีดำจางๆ ไหลอยู่รอบตัว เป็นลมปราณพันธนาการ ป้องกันควันพิษอุณหภูมิสูงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ข้าไม่เคยเห็นมนุษย์อย่างท่านมาก่อน…” สตรีกางร่มมองลู่เซิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง นางไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง ฝ่ามือครึ่งหนึ่งของนางกำลังค่อยๆ กลายเป็นเถ้าถ่านในจุดที่ลู่เซิ่งมองไม่เห็น
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็เห็นแล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ
“บ่าว…จะมาอีก…” สตรีกางร่มกล่าวเบาๆ เป็นครั้งสุดท้าย
ฟุ่บ!
สตรีกางร่มลุกไหม้ กลายเป็นคบเพลิงกลุ่มหนึ่ง ละลายอย่างรวดเร็วราวเทียนไข
ลู่เซิ่งมองอีกฝ่ายลุกไหม้หายไป สีหน้ากลับไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสู้กับความประหลาดลี้ลับที่แท้จริง เพียงเหนือกว่าขั้นหนึ่ง ที่อีกฝ่ายลุกไหม้ เป็นเพราะวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่เขาส่งไปในร่างนางระเบิดออก
เขาแน่ใจว่าตัวเองทำลายชั้นการป้องกันของพันธนาการได้หลายครั้ง ทั้งยังใช้วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานทำลายร่างอีกฝ่ายเป็นผุยผง
ที่น่าเสียดายคือ ทำไปหลายครั้งแต่ไม่อาจทำให้นางดับสูญโดยสมบูรณ์ได้ การเผาตัวเองครั้งสุดท้ายคล้ายเหมือนวิชาหลบหนีของอีกฝ่ายมากกว่า
ความอมตะของความประหลาดลี้ลับ…ร้ายกาจอย่างที่คาด…
“ประมุขพรรค!” ตอนนี้ระดับสูงทั้งหลายในตำหนักใหญ่ด้านหลังค่อยกล้าออกมา
“รีบดับไฟ! ปล่อยร่มดูดน้ำ!”
“เร็วๆ หน่อย! ห้องโอสถไหม้แล้ว!”
เฉินอิงกับหงหมิงจือพากันกระโดดขึ้นมาอยู่ข้างลู่เซิ่ง เฉินอิงลงมืออย่างรวดเร็ว ฝ่ามือพัดไปหลายครั้ง ดับไฟที่ลุกไหม้อยู่
“ไม่เป็นไรกระมังศิษย์น้อง” หงหมิงจือกระดิกตัวเพียงเล็กน้อย ก็ไออย่างรุนแรงทันที
ก่อนหน้านี้ ที่ด้านนอกลู่เซิ่งกับสตรีกางร่มสู้กันจนฟ้าดินสะเทือน ดาดฟ้าเรือกลายเป็นทะเลพลิง ควันพิษระดับพันธนาการปริมาณมากกระจายไปรอบๆ พวกเขาไม่กล้าออกมา
ตอนนี้สตรีกางร่มลุกไหม้หายไปท่ามกลางสายตาของคนจำนวนมาก นึกว่าปลอดภัย จึงรีบออกจากประตู
“ไม่เป็นไร คิดไม่ถึงจะมีความประหลาดลี้ลับตนหนึ่งตามมา สู้กับข้าได้อย่างสูสี” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม
“นั่นมัน ไม่ใช่ความประหลาดลี้ลับทั่วไป” หงหมิงจือส่ายหน้ากล่าว “ศิษย์น้องยังไม่รู้ สตรีกางร่มนางนั้นเป็นรองผู้คุมจัตุรัสของจัตุรัสแดง เป็นรองเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งก็คือผู้คุมจัตุรัส เจ้าสู้กับนางได้ก็น่าเหลือเชื่อมากแล้ว”
“รองผู้คุมจัตุรัสหรือ” ลู่เซิ่งพลันกระจ่าง ก่อนหน้านี้เขาเคยสู้กับเด็กหญิงในหมู่บ้านตระกูลซ่งที่เกือบกลายเป็นความประหลาดลี้ลับ
เด็กหญิงนางนั้นต่อให้สู้กับเขาในตอนนั้นก็ต้านรับการโจมตีเดียวไม่ได้ เขาไม่เชื่อว่าเมื่อยกระดับเป็นความประหลาดลี้ลับ ระดับพันธนาการจะแข็งแกร่งขนาดนี้
“จัตุรัสแดงลงมือกับตระกูลเจิน เสียหายสาหัส ความประหลาดลี้ลับแทบถูกทำลายหมด คาดว่านี่เป็นสาเหตุที่รองผู้คุมจัตุรัสเช่นนางลงมือกับพรรควาฬแดงของเราเอง” เฉินอิงกล่าวเบาๆ
ต่อหน้าลู่เซิ่งในปัจจุบัน ท่าทีของเขากลายเป็นนอบน้อมโดยไม่รู้ตัว
นี่เป็นการยอมรับในตำแหน่งประมุขพรรค แต่มากกว่านั้นเป็นการยอมรับในขีดความสามารถของลู่เซิ่ง
“ศิษย์น้อง พวกเราต้องรีบจัดการทางถอยโดยเร็วที่สุด เรือวาฬแดงกลายเป็นเป้าส่วนรวมแล้ว ต่อให้ไม่มีจัตุรัสแดง ก็จะมีขุมกำลังอื่นๆ บุกมาอยู่ดี ไม่มีตระกูลเจินเป็นหลังฉาก พวกเราต้านไม่ไหว…แค่กๆ…” หงหมิงจือพูดคำพูดยาวๆ ด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนรวดเดียว สุดท้ายอดไอไม่ได้
“ทราบหรือไม่ว่าหน่วยหลักของจัตุรัสแดงอยู่ไหน” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม
“ความหมายของศิษย์น้องคือ…?” หงหมิงจือตามความคิดลู่เซิ่งไม่ทันอยู่บ้าง
“ถ้าเป็นไปได้ จะไปหยั่งเชิงดู” ลู่เซิ่งเอ่ยเบาๆ
“ไม่ได้เด็ดขาด” ผู้คุมจัตุรัสแดงมีความสามารถแข็งกล้า ร้ายกาจกว่าสตรีกางร่มไม่น้อย เป็นตัวตนอันเหี้ยมหาญที่กล่าวขานเคียงคู่ประมุขตระกูลขุนนางแห่งตระกูลเจินได้” หงหมิงจือรีบเกลี้ยมกล่อม
“เช่นนั้นทำไมมันไม่ลงมือเอง” ลู่เซิ่งถามกลับ
“เพราะ…คงเป็นเพราะคิดว่าพรรควาฬแดงของเราไม่ควรค่าให้เขาลงมือด้วยตัวเองกระมัง” เฉินอิงกล่าวอย่างลังเล
“ข้ารู้สึกว่าไม่ใช่” ลู่เซิ่งส่ายหน้า “สาเหตุที่พวกเขาลงมือกับพวกเรา เพราะตระกูลเจินหนีไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาคิดจะหาเบาะแสจากพวกเรา ถ้าข้าเดาไม่ผิด ผู้คุมจัตุรัสแดงไม่มีทางเคลื่อนไหววู่วาม ถ้าไม่ลงมือด้วยตัวเอง ก็คงไล่ล่าตระกูลเจินไปนานแล้ว”
“นี่…คำพูดของศิษย์น้องมีเหตุผล สาเหตุที่พวกเขาลงมือกับพวกเรา ถ้าไม่เหนือความคาดเดา เป้าหมายก็คือของล้ำค่าที่ตระกูลเจินครอบครองอยู่ ถ้าไม่ใช้กำลังหลัก เผชิญกับตระกูลเจินก็เป็นแค่เนื้อส่งถึงประตู ไร้ประโยชน์แม้แต่น้อย
ดังนั้นถ้าไล่ล่า ต้องลงมือสุดกำลัง” หงหมิงจือพูดรวดเดียวจบ จากนั้นค่อยส่งเสียงไอทุ้มต่ำ
“หมายความว่าขอแค่ยืนยันได้ว่ากำลังหลักของพวกเขาออกไป ก็จะรู้ว่าผู้คุมจัตุรัสไม่อยู่” เฉินอิงพยักหน้าเห็นด้วย
“คาดการณ์จากการที่รองผู้คุมจัตุรัสลงมือกับประมุขพรรคของพวกเราด้วยตัวเองได้ มีความเป็นไปได้หกส่วนขึ้นไปที่ผู้คุมจัตุรัสจะออกไปแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบ “ไม่อย่างนั้น ถ้าข้าเป็นผู้คุมจัตุรัสแดง หลังทราบว่าตระกูลเจินอาจหนี พรรควาฬแดงอาจเหลือเบาะแส เช่นนั้นสิ่งที่ข้าจะทำก็คือลงมือกับพรรควาฬแดงทันที จู่โจมสายฟ้าแลบ จับตัวคนมาไต่สวน
ไม่มีทางค่อยๆ หยั่งเชิงเหมือนต้มกบ จากนั้นค่อยลงมือจากรอบนอก สุดท้ายจึงลงมือจู่โจมอย่างแท้จริง แบบนี้เสียเวลาเกินไป ถ้าเดาผิดอย่างมากก็สู้กับตระกูลเจินรอบหนึ่ง”
“ไม่ผิด ศิษย์น้องคาดการณ์ไม่ผิด” หงหมิงจือพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเรา…” เฉินอิงถาม มองลู่เซิ่ง
“การหยั่งเชิงในตอนนี้มีอันตรายจริงๆ รวบรวมกิจการ จำนวนคน พวกเราหาการสนับสนุนจากภายนอก!” ลู่เซิ่งหยีตา กล่าวเสียงทุ้ม
“ศิษย์น้องกำลังบอกว่า จะสวามิภักดิ์ตระกูลขุนนางตระกูลอื่นหรือ” หงหมิงจืองุนงง “แต่พวกเขาจะยอมรับพวกเราหรือไม่”
“พรรควาฬแดงมีเครือข่ายข้อมูลในแดนเหนือที่ใหญ่ที่สุด ยังมีทรัพยากรและบุคลากรหลากหลายที่พร้อมแล้ว แม้นว่าพวกเขาจะเรียกคนมาจากสถานที่อื่น ก็สู้พวกเราที่หยั่งรากลึกในแดนเหนือมาหลายสิบปีไม่ได้ การสวามิภักดิ์อาจไม่ได้รับภารกิจสำคัญ แต่ปกป้องตัวเองได้แน่” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ “ขึ้นอยู่กับว่าสวามิภักดิ์ขุมกำลังใด”
ตอนนี้ไฟบนเรือวาฬแดงถูกถังน้ำขนาดยักษ์ที่ชักขึ้นมาจากข้างเรือดับไปแล้ว
เหล่าพลพรรคที่ยังไม่ตายพากันออกมาขนย้ายศพด้วยสีหน้าซีดขาว ศพจำนวนมากถูกเผา บางแห่งแม้แต่ดาดฟ้าเรือก็โดนเผาทะลุ เหลือหลุมขนาดไม่เท่ากันจำนวนมาก
พวกผู้จัดการภารกิจภายในแสดงความสามารถอันมีประโยชน์อย่างรวดเร็ว บัญชาการคนจัดการรอบๆ
ลู่เซิ่งมองสภาพเละเทะตรงหน้า คล้ายคิดอะไรอยู่
“ในเมื่อตระกูลเจินละทิ้งพวกเรา พวกเราก็ไม่ต้องพูดถึงคุณธรรม ความซื่อสัตย์แล้ว ศิษย์พี่ เฉินอิง รบกวนพวกท่านไปจัดการ พรุ่งนี้พวกเราไปเยี่ยมตัวแทนขุมกำลังอื่นในเมือง กรุยเส้นทางใหม่กัน”
ในเงื่อนไขที่จัตุรัสแดงไม่อาจโค่นล้มพรรควาฬแดงได้ชั่วคราว ลู่เซิ่งได้ช่วงชิงโอกาสที่อาจพลิกสถานการณ์ให้แก่พรรค
……………………………………….
นิยายเรื่องนี้เข้าร่วมโปรโมชั่น
อัปเพิ่มต่อ +1
เพิ่มตอนจากปกติ เวลา 16.00 น. ตลอดช่วงแคมเปญ
17-30 มิ.ย. 65 เท่านั้น!
ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
Ink Stone