ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1148 เก็บงาน (2)
เวลาในธารมารดา หนึ่งปีต่อมา…
สายน้ำโมปอส เกาะลอยฟ้า
ข้างโต๊ะยาวแบบเรียบง่าย ยังคงเหมือนกับการประชุมครั้งก่อน มีตัวแทนผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดที่มาจากแต่ละจักรวาล
สมาชิกของการประชุมในครั้งนี้เปลี่ยนแปลงไปหลายคนอย่างเห็นได้ชัด
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งในนี้ สวมชุดนักล่ารัดตัวสีดำ ถือไม้เท้าที่ฝังนาฬิกาสีทองเข้ม นั่งอยู่บนที่นั่งประธานตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาคือผู้ล่าดาวรุ่นปัจจุบัน
ผู้ล่าดาวไม่มีชื่อ ฉายาคือชื่อของพวกเขา เป็นเพราะเขาไม่ใช่ปัจเจกใดปัจเจกหนึ่ง หากเป็นเผ่าพันธุ์แข็งแกร่งที่เคยถูกสัตว์มารความว่างเปล่าโจมตีมาก่อน
เผ่าพันธุ์ทั้งเผ่าพันธุ์หลอมรวมคุณสมบัติเป็นหนึ่งเดียว อุทิศตัวตน จึงกลายเป็นปัจเจกที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพการดำรงอยู่เท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา
ส่วนหัวโต๊ะอีกด้านหนึ่งมีชายชราผมหงอกขาวคนหนึ่งนั่งอยู่ เขายันไม้เท้าสีเขียวเข้มที่เหมือนกับรากไม้ ปลายไม้เท้ามีปลอกโลหะเหมือนกรง ด้านในกะพริบแสงสีเขียวเข้มเลือนราง บางคร รั้งจะเห็นหนวดโปร่งแสงที่เรียวยาวยื่นออกมาจากด้านในอย่างช้าๆ แล้วหดกลับอย่างรวดเร็วได้
ผิวของเขาแห้งเหี่ยวและซีดขาว แสงเพลิงเล็กๆ สีขาวเหมือนกับลุกไหม้ในสองตา
“สถานการณ์ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ผู้ล่าดาว ดูเหมือนสภาพท่านจะไม่เลวเท่าไหร่นี่”
“อูเดียร์ ท่านไม่ควรโทษเขา ผู้ล่าดาวเพิ่งกลับมาจากความว่างเปล่ามืดมิด เขานำศีรษะของอาซาเลนโด หัวหน้าขององครักษ์ความว่างเปล่ามาด้วย!”
ชายชราผมยาวสีทองคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเตือนเสียงทุ้ม
“งั้นหรือ อย่างนั้น ตอนนี้ซีหนิงอยู่ไหนเล่า” อูเดียร์หัวเราะ เพียงแต่เวลายิ้ม ผิวหน้าแห้งผากของเขาดูน่าเกลียดยิ่งกว่าตอนร้องไห้เสียอีก
“ยังสู้กับตัวตนแข็งแกร่งปริศนานั่นอยู่” ผู้ล่าดาวส่งเสียงอึมครึม เสียงของเขาเหมือนกับผู้ใหญ่เพศชายพูดใส่ถังเหล็ก เสียงทึบฟังอึดอัด
“ยังสู้กันอยู่อีกหรือ?!”
เหล่าผู้เข้มแข็งที่อยู่รอบโต๊ะพากันประหลาดใจ
“ก่อนหน้านี้ตัดสินผลแพ้ชนะได้แล้วไม่ใช่หรือ ผู้เข้มแข็งคนนั้นถูกร่างหลักของซีหนิงทำลายทิ้ง” ชายชราผมทองถามพลางขมวดคิ้ว
“นั่นเป็นเพียงภาพลวงตา” ผู้ล่าดาวกล่าวเสียงเย็น “ใต้อาณัติของผู้เข้มแข็งปริศนาคนนั้นมีองค์กรชื่อสำนักมารกำเนิด ข้าจึงเรียกเขาว่ามารกำเนิดไปก่อน ซีหนิงสังหารมารกำเนิดไปหล ลายครั้งจริงๆ แต่สิ่งที่น่าสับสนก็คือ มารกำเนิดเหมือนมีร่างอมตะระดับสูงสุด ไม่ว่าจะฆ่าอย่างไร เขาก็สามารถคืนชีพได้ในเสี้ยววินาที”
“อย่างนั้นสถานการณ์ตอนนี้คืออะไร…” อูเดียร์เกิดความสนใจ
โลกวิญญาณอุดรมีคนที่รับมือยากแบบนี้โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้เพียงอาศัยสู้กับซีหนิงและกองทัพสัตว์มารความว่างเปล่า มีแรงกดดันมากไปจริงๆ
มารกำเนิดโผล่มาในตอนนี้ กลับถ่วงเวลาร่างหลักของซีหนิงไว้ได้
ราชาโลกนั้นแข็งแกร่งมาก สามารถทำลายจักรวาล แต่ไม่ได้หมายความว่าราชาโลกจะแข็งแกร่งกว่าการรวมพลังงานทั้งหมดในจักรวาลเข้าด้วยกัน
การทำลายง่ายกว่าการสร้างเสมอมา
ราชาโลกเหมือนกับเข็มเล่มหนึ่งที่สามารถเจาะจักรวาลมากมายซึ่งเหมือนลูกโป่ง
“ซีหนิงเรียกร่างแปลงและพลังทั้งหมดไปรับมือกับมารกำเนิดแล้ว ตอนนี้ที่พวกเรามานั่งเปิดประชุมอย่างผ่อนคลายสบายใจแบบนี้ได้ จะว่าไปต้องขอบคุณการลงมือของมารกำเนิด” ผู้ล่าดาวเอ อ่ยเสียงราบเรียบ
“อย่างนั้นตอนนี้พวกเราไม่ควรลงมือช่วยมารกำเนิด ชิงกำจัดซีหนิงทิ้งหรือ” ชายฉกรรจ์ผมดำคนหนึ่งถามเสียงทุ้ม
“ไม่สามารถฆ่าซีหนิงได้” อูเดียร์ส่ายหน้า “ราชาโลกวิญญาณ ไม่ได้เป็นแค่ฉายาธรรมดาๆ ในวินาทีที่เลือกราชาโลกออกมาจากสัตว์มารความว่างเปล่านับไม่ถ้วน สัตว์มารความว่างเปล่าที่กลาย ยเป็นราชาโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติด้วยการหล่อเลี้ยงจากโลกวิญญาณ มันจะครอบครองความสามารถฟื้นฟูระดับสุดยอดที่อยู่เหนือจินตนาการ และพลังชีวิตที่น่ากลัวถึงขีดสุด”
“นี่ไม่ได้หมายความว่าฆ่าไม่ตายหรอกหรือ” ผู้เข้มแข็งคนหนึ่งกล่าวอย่างสงสัย
“แน่นอน เพียงแต่พวกมันครอบครองการละเว้นอมตะสามครั้ง สามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายทุกประเภทได้สามครั้ง ทุกๆ สิบปีของเวลาธารมารดา” อูเดียร์อธิบาย “ข้าเกือบจะตายเพราะสาเหตุนี้ตอ อนสู้กับร่างหลักของซีหนิง”
“อย่างนั้นหรือพวกเราจะไม่ทำอะไรเลย”
“การไม่ทำอะไรเลยเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ก่อนที่กองกำลังของพวกเราจะมั่นใจว่าสามารถฆ่าซีหนิงได้ วิธีการที่ดีที่สุดคือการไม่ทำอะไรทั้งสิ้น” อูเดียร์ก้มหน้าลง แสงไฟซีดขาวใน สองตาโชติช่วงกว่าเดิม
เหล่าผู้เข้มแข็งรอบๆ โต๊ะพากันไตร่ตรอง ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นผู้เข้มแข็งที่ครอบครองหลักฐานแห่งราชัน แต่อูเดียร์เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงคนเดียวที่ครอบครองหลัก กฐานแห่งราชันในหลักสิบ
หลักฐานแห่งราชันเกี่ยวข้องกับจำนวนการช่วยเหลือจักรวาล จักรวาลแห่งนี้ให้กำเนิดหลักฐานแห่งราชันได้มากสุดห้าชิ้น และหลักฐานแห่งราชันของทุกจักรวาลไม่สามารถแจกจ่ายให้ปัจเจกแต่ ละปัจเจกซ้ำได้
ดังนั้นหลักฐานแห่งราชันหลักสิบของอูเดียร์จึงบ่งบอกว่า เขาเคยลงมือช่วยเหลือจักรวาลมาเกินสิบครั้ง
“ถ้าเป็นไปได้ พวกเราต้องติดต่อกับมารกำเนิด” อูเดียร์ว่าต่อ “ทางบูรพามีแต่ทหารจับฉ่ายเหมือนพวกเรา ไม่สามารถร่วมมือกันได้ ตอนนี้ความเสียเปรียบแสดงให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ พวกเราจ จะตามรอยพวกเขาไม่ได้ พันธมิตรเซียนทางทักษิณรักษาสถานการณ์ได้แล้ว ทางประจิมเป็นระบบวิญญาณจริงแท้ มั่นคงที่สุด และเป็นทิศที่แข็งแกร่งที่สุดในสี่ทิศ ดังนั้นสถานการณ์ของทางอุดร ของเราจึงส่งผลต่อสถานการณ์ใหญ่ได้มากที่สุด”
“หวังว่าการตัดสินของท่านจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” ผู้ล่าดาวเอ่ยเสียงทุ้ม
“ความจริงพวกเราไม่จำเป็นต้องแสดงไมตรีผ่านการลงมือช่วยเหลือก็ได้” อูเดียร์ยิ้ม “ใต้สังกัดมารกำเนิดมีทายาท ครอบครัว และขุมกำลัง พวกเราสามารถลงมือทางนี้ได้ ข้าได้ข่าวมาว่า คน นคนนี้ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง”
“ได้” ผู้ล่าดาวชั่งน้ำหนักครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
…
ท่ามกลางความว่างเปล่ามืดมิดไร้เขตแดน
แสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งมาจากที่ไกลด้วยความเร็วสูง ร่างมหึมาสองร่างกลางประกายแสงถืออาวุธ ฟันใส่ร่างกันอย่างบ้าคลั่ง
ซีหนิงเลือดท่วมร่าง สีหน้าดุร้าย ไม่ทราบว่าได้รับบาดเจ็บขนาดไหน เขามีสีหน้าอิดโรย ถึงขั้นดูดซับพลังแห่งความว่างเปล่าฟื้นฟูตัวเองก็ยังทำไม่ได้
เขาสิ้นเปลืองพลังด้านวิญญาณมากไปแล้ว
ลู่เซิ่งไม่รู้ตายมาแล้วกี่ครั้ง ตอนนี้อาศัยพลังใจอดทน แขนสิบกว่าคู่ด้านหลังฟันรอยดาบหลายสายออกมาดุจสายฟ้าแลบ
แม้จะเป็นร่างอมตะ แต่วิญญาณก็เป็นสิ่งที่มีขีดจำกัด เขานับไม่ได้แล้วว่าเขาตายมากี่ครั้ง บางทีอาจจะหลายสิบล้าน หรือหลายร้อยล้าน
ร่างไร้มายาทำให้พลังแห่งความว่างเปล่าดูดซับพลังงานใดๆ ไม่ได้ตอนเขาตาย ถูกพลังวารีเทาสร้างขึ้นมาใหม่หลังเก็บกลับ
นี่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาคืนชีพได้อย่างแทบไร้ขีดจำกัด
ทั้งสองตอนนี้ต่างก็อ่อนระโหยโรยแรง
สองฝ่ายมีท่าอะไรบ้าง ต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี จึงไม่มีการใช้ท่าไม้ตายลอบโจมตี หรืออะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายอีก
ซีหนิงจนปัญญาแล้วจริงๆ
ก่อนหน้านี้เขาอัญเชิญสัตว์มารความว่างเปล่าและองครักษ์ความว่างเปล่าออกมาช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก แต่นอกจากตัวเขา การดำรงอยู่ทั้งหมดต่างก็เป็นได้เพียงอาหารให้ลู่เซิ่งเท่านั้น กินเ เพียงไม่กี่คำก็หมด
สุดท้ายไม่เพียงให้เวลาฟื้นฟูคืนชีพแก่ลู่เซิ่งเท่านั้น ยังทำลายบริวารของตัวเอง ความอมตะของสัตว์มารความว่างเปล่าที่ว่าไม่มีอยู่จริงเมื่ออยู่ต่อหน้าลู่เซิ่ง
เขาจึงได้แต่กัดฟันสู้เองด้วยความจนปัญญา
ความจริงสู้กันมาถึงขั้นนี้ ทั้งสองต่างก็ทนไม่ไหวบ้างแล้ว
เปรี้ยง!
ซีหนิงฟันทวนกระแทกลู่เซิ่งกระเด็นไป พร้อมหอบหายใจด้วยสีหน้าท้อแท้
“หยุดก่อน!” เขาตะโกนผ่านการส่งเสียงด้วยวิญญาณ
มือที่กำลังควงดาบโค้งของลู่เซิ่งค่อยๆ หยุดลง ลอยอยู่กลางความมืดมิดว่างเปล่าด้วยร่างอ่อนล้าเช่นกัน
“เจ้าจะ…พูดอะไร” ลู่เซิ่งรู้สึกว่าแทบจะต้องหอบหายใจเวลาพูด แม้เขาจะไม่จำเป็นต้องหอบหายใจมานานแล้วก็ตามที
“พวกเราสู้กันต่อไปแบบนี้ก็เสียเวลาเปล่าๆ” ซีหนิงพักเล็กน้อย ก่อนรีบเอ่ย
“แทนที่จะฆ่ากันต่อแบบนี้ พวกเรามานัดวันแล้วค่อยสู้กันดีกว่า ป้องกันไม่ให้ตัวตนอื่นๆ ฉวยโอกาสด้วย”
ความจริงนี่เป็นสิ่งที่ลู่เซิ่งคิดเช่นกัน สู้กันมานานขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือซีหนิง ต่างก็รู้สึกถึงเขี้ยวเล็บของอีกฝ่าย
ซีหนิงทิ้งความคิดที่จะไปหาเรื่องครอบครัวลู่เซิ่ง ที่ไปที่ไหนแล้วก็ไม่ทราบ ตอนนี้เขาแค่อยากจะกลับไปหลับสักงีบ หลับสักหลายร้อยปี
แต่เขารู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ อย่างไรผู้ที่เขาเผชิญด้วยก็ไม่ได้มีแค่ลู่เซิ่งเป็นศัตรูคนเดียว ผู้ล่าดาวและนักล่าความว่างเปล่าอูเดียร์ไม่มีทางยินยอมให้เวลาเขาพักผ่อนนานขนาด ดนั้น ดังนั้นเขาจึงต้องยุติสงครามอย่างแน่วแน่
“ได้ ขอแค่เจ้าไม่มาหาเรื่องข้า ข้าก็จะไม่หาเรื่องเจ้าเช่นกัน” ลู่เซิ่งสงบสติอารมณ์
สู้ถึงตอนนี้ ครอบครัวเขาไม่เป็นอะไรเลย กลับเป็นทางผู้นำความว่างเปล่าใต้สังกัดซีหนิงถูกเขากินไปหลายหมื่นตน เพื่อเป็นสารอาหารโภชนาการบำรุง
แม้แต่กายเนื้อของซีหนิงเองเขาก็ทดลองเคี้ยวดูหลายคำ แต่พลังแห่งความว่างเปล่าด้านในมีระดับความบริสุทธ์เข้มข้นเกินไป เกือบเผาปากเขาทะลุ ลู่เซิ่งค่อยละทิ้งแผนการกินซีหนิง
“ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาหาเรื่องเจ้าหรอก ข้าอยากจะกลับไปหลับลึก…ถ้าหากทำได้ พวกเราควรจะทำข้อตกลงกัน ภายหลังจะได้ไม่ตกสู่สถานการณ์จนตรอกแบบนี้อีก เจ้าว่าเป็นอย่างไร” ซีหนิงเอ่ย เขาไม่อยากจะสู้กับเจ้านี่อีกต่อไปแล้วจริงๆ
ถ้าหากเป็นสงครามกลืนกินกำลังทั่วไป สู้กันหลายพันปีก็ไม่มีปัญหา
แต่ในการต่อสู้สุดกำลังในระดับสูงสุดอย่างนี้ ระดับที่หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียวก็จะถูกฆ่าทิ้งทันที เวลาหนึ่งปีนั้นนานไปแล้ว
“ข้าเห็นด้วย”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
ทั้งสองลอยอยู่กลางความว่างเปล่า ริมฝีปากขยับ วิญญาณแปลเปลี่ยนเสียง ไม่นานซีหนิงก็จดจำลู่เซิ่งและกลิ่นอายของตัวเขา รวมถึงลักษณะพิเศษทางกลิ่นอายของครอบครัวเขาไว้ ต่อจากนี้หาก สัตว์มารความว่างเปล่าอุดรเจอจะพยายามไม่เข้าไปทำร้าย
ลู่เซิ่งก็รับปากเช่นกันว่า จากนี้หากเจอขุมกำลังของซีหนิง จะไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน
สองฝ่ายถอยกันคนละก้าว
เพียงแต่ทั้งสองต่างไม่ได้ให้กองกำลังเบื้องหลังสาบาน
ซีหนิงไม่ได้สาบานในนามความว่างเปล่า ลู่เซิ่งก็ไม่ได้ใช้ธารมารดาเป็นคำสาบานรากฐาน
ความจริงการตกลงกันนี้เป็นคำสัญญาปากเปล่า ทั้งสองต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ขอแค่รอจนพลังของตัวเองเหนือกว่าอีกฝ่าย มั่นใจว่าฆ่าอีกฝ่ายได้ อย่างนั้นสัญญาปากเปล่าที่ว่าก็จะไม่มีผลอ อีกต่อไป
“ไว้เจอกัน ไม่ ขออย่าได้เจอกันอีก!” ซีหนิงพ่นลมเป็นครั้งสุดท้าย หมุนตัวกลายเป็นหมอกดำนับไม่ถ้วนหายไปในความว่างเปล่ารอบๆ
ลู่เซิ่งหมุนตัวกลายเป็นกลุ่มเพลิงสีทองคำขาว บินไปยังทางธารมารดาที่ใหญ่โตมหึมา
ทั้งสองฝ่ายไม่มีสภาวะของบุคคลยิ่งใหญ่อีกต่อไป เหมือนกับเด็กที่แยกย้ายกลับบ้านหลังตีกันเสร็จ คนหนึ่งจมูกเขียวหน้าบวม อีกคนมึนงงสับสน
ความคิดหนึ่งเดียวของลู่เซิ่งในตอนนี้ก็คือ กลับบ้านไปแต่งงาน
หาจักรวาลที่สุขสงบ ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ต่างๆ แพร่พันธุ์ลูกหลานกับหวังจิ้ง เมื่อมีเวลาว่างค่อยหาวิธีกลับไปโลกเดิม
ส่วนสงครามความว่างเปล่ากับการดำรงอยู่อะไรนั่น ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขา