ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1149 อดีต (1)
‘ความว่างเปล่ามืดมิด คือชื่อที่แพร่หลายจากยุควัฏจักรที่เก้าในช่วงเวลาเก่าแก่ที่สุด ความว่างเปล่าที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิด คือแถบความคืบหน้าที่บันทึกวัฏจักรตั้งแต่จุดเริ่มต้นถึ งจุดจบทุกครั้ง หมายความว่า ความว่างเปล่าและการดำรงอยู่เหมือนชั้นบนและชั้นล่างของนาฬิกาทรายใช่ไหม’
ในโลกมารสวรรค์ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วอ่านคัมภีร์หนังสีดำอมม่วงในมือ กระดูก เลือดเนื้อ และอักขระลี้ลับจำนวนเหลือคณานับขยับขยุกขยิกบนคัมภีร์
เขากลับโลกมารสวรรค์มาหลายวันแล้ว
เขาโยนเรื่องราวทั้งหมดให้พวกบันไซจัดการ ส่วนตัวเองตั้งใจรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับขุมกำลังความว่างเปล่า
หลังเขาจุติติดต่อกัน สำนักมารกำเนิดในปัจจุบันก็ได้เชื่อมต่อกับจักรวาลขนาดมหึมาที่มีลักษณะและระดับพลังงานต่างกันเกือบเก้าแห่ง
จักรวาลเก้าแห่งนี้ล้วนเป็นจักรวาลที่เขาเคยจุติด้วยตัวเอง
ข้อมูลและระบบความรู้มากมายได้รับการจัดระเบียบและสรุปไว้ในสำนักมารกำเนิด ลู่เซิ่งเป็นผู้ตรวจทานข้อมูลที่ถูกรวมเล่มด้วยตัวเอง
สำนักมารกำเนิดในเวลานี้กล่าวได้ว่าอยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา
หลังผ่านการบริหารเป็นเวลาสองร้อยกว่าปีหลังเขาจากไป ผู้เข้มแข็งระดับดาวมรณะที่เข้าร่วมสมาคมวิจัยมีจำนวนห้าคน อนธการที่ต่ำกว่าดาวมรณะมีสิบสามคน มายาพิศวงมีจำนวนไม่แน่ชัด จำ ำนวนยังผันผวน เป็นเพราะส่วนใหญ่แค่มีชื่อในสมาคมวิจัย
ผู้เข้มแข็งระดับอื่นๆ มีมากมายนับไม่ถ้วน
กล่าวได้ว่าสิ่งที่สำนักมารกำเนิดและสมาคมวิจัยในตอนนี้ขาดเพียงอย่างเดียว ก็คือราชันระดับสายธาร
และการปรากฏตัวของลู่เซิ่ง ก็คือการดำรงอยู่ที่สร้างรากฐานให้มั่นคงอย่างแท้จริง
สำนักมารกำเนิดและสมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับเป็นตัวตนเดียวแต่มีสองหน้า หลังจากลู่เซิ่งประชุมกับบันไซ ก็ได้เตรียมการทุกอย่าง รับราชันขั้นสายธารคนหนึ่งกลับมา ดังนั้น หลังจาก ลู่เซิ่งกลับ ทุกอย่างต่างก็ราบรื่นยิ่ง ไร้การติดขัดใดๆ
หลังจากลู่เซิ่งประชุมกับระดับสูงอย่างเป็นทางการเสร็จ ก็กักตัวเข้าสู่โหมดวิจัยทันที
แน่นอนว่า เขาไม่ได้ลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงของการกลับมาในครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เขาได้ส่งข่าวไปให้หวังจิ้งแล้ว
ด้วยความสามารถสื่อสารแบบพิเศษที่หวังจิ้งทิ้งไว้ให้ เพียงแค่ต้องรอสักสองวันในโลกมารสวรรค์ ก็จะได้รับข้อความตอบกลับ
ตอนนี้ เขาแค่ต้องรอ
ลู่เซิ่งพลิกหน้าหนังสือในมืออีกหน้าอยู่กลางตำหนักสีม่วงอมดำที่โอ่อ่าหรูหรา
หนังสือเล่มนี้คือคัมภีร์มารร้ายที่เก่าแก่และแปลกประหลาดที่สุดในตำนานโลกมารสวรรค์ ว่ากันว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่พลิกอ่านจะได้รับผลกระทบจากความรู้เก่าแก่แปลกประหลาดในคัมภีร ร์ จากนั้นจิตใจก็จะกลายเป็นทาสของคัมภีร์มารร้าย
ขณะเดียวกันก็มีตำนานว่า คัมภีร์มารร้ายได้บันทึกความรู้ลี้ลับทุกประเภทที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมาเอาไว้ ผู้เข้มแข็งระดับดาวมรณะคนหนึ่งที่สมาคมวิจัยช่วยเหลือ ด้วยความบังเอิญได้มอบมันให้เป็นค่าตอบแทน
ดังนั้นคัมภีร์เล่มนี้ถึงมาปรากฏต่อหน้าลู่เซิ่ง
มีหลายคนเล่าลือว่า ตัวหนังสือบนคัมภีร์มารร้ายเป็นอักขระพิเศษที่ผ่านวิธีการเข้ารหัสบางอย่าง ไม่มีใครอ่านเข้าใจ
ลู่เซิ่งพลิกหน้าถัดไป พบว่าสิ่งที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือตัวอักษรไม่คุ้นเคย
ลู่เซิ่งนิ่วหน้า
“แปลหน่อย” เขาเคาะหน้าหนังสือ
คัมภีร์มารร้ายเล่มหนาหนักสะดุ้ง เรืองแสงสีม่วงอย่างสั่นๆ สักพักตัวหนังสือบนหน้ากระดาษก็ถูกแปลเป็นภาษามารสวรรค์ที่ลู่เซิ่งรู้จักโดยอัตโนมัติ
“ต่อจากนี้ไม่ต้องให้ข้าเตือนอีก รู้ตัวเองหน่อย” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงเรียบ
“ขอรับ…”
ตัวหนังสือเล็กๆ แถวหนึ่งโผล่บนที่ว่างข้างใต้หน้าหนังสือ
ลู่เซิ่งอ่านต่อไป
‘กองกำลังความว่างเปล่า ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ เป็นขั้วตรงข้ามกับอนุภาคนิรันดร์ในกองกำลังแห่งการดำรงอยู่ มันถือกำเนิดในความว่างเปล่ามืดมิด แหล่งกำเนิดทั้งหมดและองค์ประกอบรวมของการ ไม่มี เป็นสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ ไม่อาจสัมผัส เป็นความลี้ลับที่ไม่อาจจินตนาการ พวกเราได้แต่เรียกมันว่าความลี้ลับ ความลี้ลับเป็นสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้โดยธรรมชาติ เป็นเพราะไม่อาจล่ว วงรู้ จึงลี้ลับ และเป็นเพราะลี้ลับ จึงแข็งแกร่ง ’
‘แหล่งกำเนิดของความว่างเปล่าคือความลี้ลับ เป็นเพราะพวกเราสัมผัสไม่ได้ ทำความเข้าใจไม่ได้ ถึงขั้นที่แม้นึกจินตนาการก็ทำไม่ได้ ดังนั้นความลี้ลับจึงเป็นเพียงคำอ้างอิง ความลี้ลับคื อต้นกำเนิดของความว่างเปล่าทั้งหมด เหมือนกับอนุภาคนิรันดร์ของการดำรงอยู่ สิ่งที่เป็นตัวแทนอยู่เบื้องหลังนั้นรอบรู้และทรงอำนาจ’
พออ่านถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็เกิดความเข้าใจอย่างเลือนราง
เมื่อมาถึงระดับของเขา คัมภีร์ที่จุดประกายความคิดให้เขาก็เหลืออยู่น้อยเหลือเกิน คัมภีร์มารร้ายเล่มนี้บันทึกอาคมที่อัศจรรย์และแข็งแกร่งไว้เป็นจำนวนมาก แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นเพ พียงขยะในสายตาของเขา
บันทึกส่วนหนึ่งที่แทรกอยู่ในนี้ทำให้เขาเกิดความรู้ที่แจ่มชัดกว่าเดิมต่อการดำรงอยู่และความว่างเปล่า
“นึกไม่ถึงว่าคัมภีร์ที่หามาเพื่อกำจัดผลร้ายในภายหลัง จะได้เร้นกายได้ง่ายกว่าเดิม จะมีคุณค่าอยู่บ้างจริงๆ” ลู่เซิ่งทอดถอนใจ ก่อนอ่านต่อไป
‘ความลี้ลับและความนิรันดร์เป็นทั้งขั้วตรงข้าม และเป็นทั้งจุดสุดท้ายของสองวัฏจักรใหญ่ที่โคจรและดำรงอยู่ร่วมกัน ทุกสรรพสิ่งรวมถึงจักรวาล ธารมารดา ความว่างเปล่า หรือระบบอื่นๆ ๆ ต่างก็หมุนวนเป็นวัฏจักรตามกฎจุดสุดท้ายนี้ ตั้งแต่การที่ความลี้ลับแข็งแกร่งแต่ความเป็นนิรันดร์ทรุดโทรม ไปถึงความเป็นนิรันดร์แข็งแกร่งแต่ความลี้ลับทรุดโทรม สุดท้ายความลี้ลับ ค่อยกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง หลังพวกเราศึกษามานานก็ค้นพบว่า มันมีลักษณะเหมือนดวงตาขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง ปลายสองข้างแหลม ตรงกลางบวมพอง ความลี้ลับที่อยู่ตรงหัวและตรงหางของวัฏจัก กรชั่วคราวและแข็งแกร่ง กินเวลาสั้น ความแข็งแกร่งสูง ส่วนความนิรันดร์ที่ทอดยาวและอวบใหญ่ตรงกลางมีความแข็งแกร่งต่ำ แต่กินเวลายาวนาน ดังนั้น เพื่อให้สะดวกต่อการจำและการบันทึก การค้นพบของพวกเรา ข้าและเหล่าสหายของข้าจึงเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ดวงตาแห่งเก๋อซังน่า’
พออ่านถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็ผุดสีหน้างุนงงเล็กน้อย
‘ช่างเป็นชื่อที่ทำให้คนคิดถึงจริงๆ…’ เขานึกถึงดวงตาประหลาดที่ตนเคยใช้ลวดลายวารีเทพสร้างขึ้นมา
ในตอนที่เขาสร้าง เป็นเพราะได้ยินเสียงของคนนับไม่ถ้วนตะโกนเรียกชื่อของดวงตาแห่งเก๋อซังน่า เขาจึงตั้งชื่ออิทธิฤทธิ์ที่ดวงตาสร้างออกมาด้วยชื่อนี้เช่นกัน
ตอนนี้ดูเหมือน...
หัวเราะเสียงแผ่วเบา ลู่เซิ่งพลิกอ่านต่อไป
ด้านหลังไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก โดยธรรมชาติแล้วคัมภีร์มารร้ายเป็นคัมภีร์ที่บันทึกอาคมลี้ลับที่แข็งแกร่งและน่ากลัวไว้มากมาย ประโยคเมื่อครู่เป็นความเข้าใจที่ผู้เข้มแ แข็งนิรนามซึ่งเคยอ่านคัมภีร์มารร้ายมาก่อนทิ้งเอาไว้บนตัวคัมภีร์
ปิดคัมภีร์ ลู่เซิ่งเคาะหินบนที่วางแขนเบาๆ
หลังทำความเข้าใจแก่นแท้ของขุมกำลังความว่างเปล่า เขาก็รู้แล้วว่าตอนนี้อาจมาถึงหัวหางของวัฏจักรใหญ่แล้ว เป็นเวลาที่ความลี้ลับแข็งแกร่งที่สุดพอดี
“ในเวลาแบบนี้ ควรหาสถานที่สักแห่งซ่อนตัว ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไหลไปตามกระแส อย่าทำตัวเป็นตั๊กแตนขวางรถ ขวางกงล้อของชะตากรรม” เขาทอดถอนใจ
ซู่…
ทันใดนั้นแสงสีขาวสายหนึ่งก็สว่างขึ้นกลางตำหนักทางซ้ายมือ ลำแสงกะพริบ หลี่ซุ่นซีปรากฏบนพรมผืนหนาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าแต่ตื่นเต้น
เขายังคงสวมเสื้อคลุมสีเงินของระดับสูงซึ่งเป็นเครื่องแบบของสมาคมวิจัย ด้านหลังมีแสงทรงกลมสีทองคำขาวซึ่งหมายถึงความนิรันดร์กะพริบช้าๆ นี่เป็นโล่คุ้มครองระดับสูงสุดที่ระดับสูงจำนว วนมากในสมาคมวิจัยผนึกกำลังกันวิจัยขึ้นมา สามารถป้องกันการโจมตีประเภทต่างๆ ของระดับกงจักรมายาในขั้นมายาพิศวงได้สามครั้ง
“ลูกพี่ ข่าวดีหนึ่ง ข่าวร้ายหนึ่ง ท่านจะฟังข่าวไหนก่อน”
หลี่ซุ่นซีกล่าวเสียงดังด้วยรอยยิ้ม
“เอาข่าวร้ายก่อน” ลู่เซิ่งตอบ
“ข่าวร้ายก็คือ ติดต่อพี่สะใภ้ไม่ได้ เครือข่ายความสัมพันธ์ของพวกเราเพียงแค่ทราบว่า นางกำลังรับการฝึกฝนลับในสถานที่ที่มีชื่อว่านครโอนา มีตัวตนที่ครอบครองพลังลี้ลับจำนวนหนึ่ง งฝากความหวังใหญ่ไว้ที่ตัวนาง” หลี่ซุ่นซีรีบแจ้ง
“ติดต่อไม่ได้ นครโอนาหรือ” ลู่เซิ่งพยักหน้า สมาคมวิจัยและสำนักมารกำเนิดในปัจจุบันกลับหาที่อยู่ของหวังจิ้งไม่เจอ เขาอาจจะเปลี่ยนช่องทางเพื่อทดลองดู เขาไม่เชื่อว่าตนจะติดต ต่อกับหวังจิ้งไม่ได้ อย่างมากสุดแค่ต้องใช้เวลาหน่อยเท่านั้น
“อย่างนั้น ข่าวดีเล่า” เขาถามอีก
“ข่าวดีก็คือ ขุมกำลังความว่างเปล่าหยุดการกัดกร่อนชั่วคราว นี่ทำให้พวกเราได้พักหายใจหายคอบ้าง” หลี่ซุ่นซีไม่รู้ว่าลูกพี่ที่อยู่ตรงหน้าคิดจะล่าถอยไปซ่อนตัว
จากนั้นก็เริ่มพูดพล่ามถึงข้อมูลการต่อสู้กับขุมกำลังความว่างเปล่าในช่วงนี้ หลังจากพันธมิตรดาวและสัตว์โบราณอ่อนแอลงมาก การกัดกร่อนและแรงกดดันจากความว่างเปล่าย่อมย้ายมาอยู่บน ขุมกำลังที่ผงาดขึ้นมาทีหลังอย่างพวกเขา
ตอนแรกมีแรงกดดันมากจริงๆ แต่ต่อมาพอเวลาผ่านไป สมาคมวิจัยและสำนักมารกำเนิดก็ปรับตัวเข้ากับความสามารถต่างๆ ของขุมกำลังความว่างเปล่าได้ ไม่ได้รับบาดเจ็บล้มตายมากมายเท่าเดิมอีก
ลู่เซิ่งเพียงฟังอย่างสงบ
เขากลายเป็นผู้อมตะอย่างแท้จริงแล้ว โลกรูปจิตไม่สลาย กายเนื้อของเขาก็เป็นอมตะตลอดกาล
ด้วยการช่วยเหลือจากพลังวารีเทา การคืนชีพของเขาในตอนนี้ไม่ต้องผลาญพลังมากมายอีก ถึงขั้นกล่าวได้ว่าพลังที่โลกรูปจิตให้กำเนิดออกมาทุกวินาทีตามการโคจรทางธรรมชาติเพียงพอจะ ะให้เขาตายได้เรื่อยๆ
พูดอีกอย่างก็คือ เขาในเวลานี้อยู่ในสภาพอมตะแล้ว
คงมีแต่การโจมตีวิญญาณเท่านั้น ถึงจะสร้างความเสียหายบางส่วนแก่เขาได้
ลู่เซิ่งที่เหม่อลอยเล็กน้อยพลันรู้สึกละอายใจ
เกิดเขาถอยหนี ไม่ถามไถ่เรื่องทางโลก อย่างนั้นสำนักมารกำเนิดและสมาคมวิจัยขนาดมหึมาที่สูญเสียการคุ้มครองจากเขาจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้
และในสถานการณ์แบบนี้ จะมีที่ไหนที่ซ่อนตัวได้ตลอดกาลบ้าง
ลู่เซิ่งไตร่ตรอง
“ลูกพี่…ตอนนี้ท่านคิดจะทำอะไรหรือขอรับ จริงสิ ลู่หนิงเปลี่ยนคนรักอีกแล้ว เด็กน้อยนั่นไร้อนาคตกว่าท่านในตอนนั้นเหลือเกิน ปากหวานกับสตรีอย่างกับกินน้ำผึ้งเข้าไปอย่างไรอย่ างนั้น” หลี่ซุ่นซีฟ้องอย่างจนปัญญา
“การฝึกฝนของเขาเป็นอย่างไรบ้าง” ลู่เซิ่งละอายใจกว่าเดิม บุตรชายของตน ผ่านมานานแล้ว เขายังไม่มีเวลาสนใจ ยังคงเป็นพวกลุงๆ อาๆ อย่างหลี่ซุ่นซีและบันไซที่ช่วยเขาดูแลสั่งสอน นบุตรชายมาโดยตลอด
“พอไหวขอรับ ถึงขั้นพันธนาการแล้ว” หลี่ซุ่นซีเห็นลู่เซิ่งผุดสีหน้าผิดปกติก็รีบเสริม “ร้ายกาจมากแล้วขอรับ ตอนพวกเราอายุเท่าเขา อย่าว่าแต่พันธนาการเลย ขนาดเยื่อดำก็ยังไม่ รู้จัก”
“ข้าอุตส่าห์ให้ทรัพยากรที่มากพอจะชุบเลี้ยงผู้ถืออาวุธได้หนึ่งร้อยคน มันกลับตอบแทนข้าแบบนี้หรือ?!” หลี่ซุ่นซีสัมผัสคลื่นอารมณ์ใดๆ ไม่ได้จากน้ำเสียงของลู่เซิ่ง แค่เขากลับ บเสียวสันหลัง
“พวกเด็กๆ ก็ติดเที่ยวเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วขอรับ” เขารีบปลอบ
ลู่เซิ่งหมดคำพูด
“ช่างเถอะ ปล่อยเจ้านั่นไปก่อน พิกัดของนครโอนา เจ้าพอจะรู้ทิศทางไหม”
“ขอรับ พวกเราลองติดต่อกับพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาตัดขาดข้อมูลทั้งหมดจากโลกภายนอก นี่ทำให้พวกเราลำบากมาก สิ่งที่สืบมาได้ก็คือ ผู้เข้มแข็งที่มีชื่อว่าราชาแห่งคุรุมารเป็นผู้นำ ำของนครโอนา พิกัดก็คือ…”
หลี่ซุ่นซีเตรียมการไว้แต่แรก รายงานตัวเลขพิกัดออกมาชุดหนึ่ง
ลู่เซิ่งจดจำตัวเลขไว้
“ทราบแล้ว ข้าจะไปรับตัวนางกลับมาเอง”
“ขอรับ ทางนั้นเป็นเพียงเขตจักรวาลระดับพลังงานกลางทั่วไป จักรวาลที่พวกเรากำหนดพิกัดไว้มีสองแห่ง ลูกพี่ท่านลงมือจากจักรวาลสองแห่งนี้ได้” หลี่ซุ่นซีรายงานตัวเลขสองชุด
ลู่เซิ่งจดจำเอาไว้
“เข้าใจแล้ว” ในเมื่อขุมกำลังเบื้องหลังหวังจิ้งไม่ติดต่อกับโลกภายนอก อย่างนั้นเขาจะไปหานางด้วยตัวเอง
“นอกจากนี้ มารดาแห่งความเจ็บปวดก็หาตัวเจอแล้วเหมือนกันขอรับ” พอพูดถึงชื่อนี้ สีหน้าของหลี่ซุ่นซีก็เคร่งขรึมขึ้น
“อยู่ไหน” ลู่เซิ่งถามเสียงทุ้ม
“พันธมิตรดาว ตอนนี้เป็นอนุภรรยาของรองหัวหน้าพันธมิตรดาวอันนูคาดี” หลี่ซุ่นซีเอ่ยด้วยอารมณ์ซับซ้อน “นางนี่หนีเก่งจริงๆ”
“ไปด้วยกันไหม” ลู่เซิ่งอยากจะลองพอดีว่าผู้เข้มแข็งระดับสายธารที่ว่ามีความสามารถขนาดไหน
“ขอรับ”