ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1150 อดีต (2)
ณ พันธมิตรดาว
กลางอวกาศมืดมัว คลื่นสีม่วงที่เหมือนกับวงแหวนหลายกลุ่มขยายไปยังรอบๆ พร้อมแสงสีแดงอ่อน
ระบบดาวที่มีขนาดแตกต่างกันหลายระบบล่องลอยอยู่กลางคลื่น ระบบดาวบางระบบปล่อยแสงบาดตาเหมือนดวงอาทิตย์ ระบบดาวบางระบบมืดสลัวเป็นสีฟ้าขมุกขมัว บางระบบก็เต้นเหมือนหัวใจ ราวกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิต
ณ ใจกลางสุดของคลื่นสีม่วง ดาวเคราะห์สีเหลืองขนาดมหึมาที่มีดาวเทียมสีเหลืองมากมายลอยอารักขา กำลังปล่อยไฟฟ้าสีฟ้าแน่นขนัดออกมาช้าๆ
ดาวสีทองมีชื่อว่าดาวกำเนิด เป็นศูนย์บัญชาการที่ใหญ่ที่สุดของพันธมิตรดาวในจักรวาลมารสวรรค์
บนทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่มที่ไพศาลเหมือนกับอยู่ในนิทานเด็กบนดาวกำเนิด ภูเขาหิมะสีขาวโพลนไกลออกไปทอดตัวเป็นลูกคลื่น แมงมุมสีเงินและปีศาจที่ตัวเรืองแสงสีรุ้งกะพือปีกคู่ที่งดงาม บินขึ้นบินลงอยู่เหนือทุ่งหญ้า
ในตำหนักสีขาวขนาดใหญ่แห่งหนึ่งบนทุ่งหญ้า
สตรีที่กระโปรงดำและผ้าพันคอสีดำ เจ้าของร่างกายสะโอดสะองอวบอิ่มคนหนึ่ง นั่งอยู่หน้ากระจกหินของตำหนักข้าง เพ่งมองทิวทัศน์ดาวที่บริสุทธิ์งดงามด้านนอก
ด้านในตำหนักข้างมีสวนดอกไม้เล็กๆ สีรุ้งแห่งหนึ่ง ดอกไม้ประหลาดที่เรืองแสงสีรุ้งหลากหลายประเภทกระจายอยู่ในสวน บนผนังมีรูปสลักอันน่าอัศจรรย์แน่นขนัด พวกมันขยับตัวและบิดเบี้ยว ไต่ไปมาบนเพดานและผนังตลอดเวลา
“เอินไหน่”
ทันใดนั้นประตูของตำหนักข้างก็ถูกเปิดดังเปรี้ยง
ร่างที่มีควันดำลอยวนเวียน สวมเกราะสีดำหนักอึ้งขนาดใหญ่โต เดินเอื่อยเข้ามา
ในรอยแยกบนเกราะของร่างนั้นเรืองแสงสีแดงที่ร้อนระอุหลายสาย เขาสวมหมวกเกราะ ไม่มีคนเห็นหน้าชัดๆ ได้
เพียงแต่ทุกๆ ย่างก้าวของเขา จะทิ้งรอยเท้าดำเกรียมไว้บนพื้น
แม้รอยเท้าพวกนี้จะเพิ่งโผล่มาก็ถูกตำหนักรักษาให้หายไปทันที แต่กลิ่นเหม็นจากการถูกเผาไหม้ยังคงสร้างความจนปัญญาให้แก่นาง
“ทิวาสวัสดิ์ อันนูคาดี” สตรีลุกขึ้นถอนสายบัวให้อีกฝ่ายน้อยๆ
“ทิวาสวัสดิ์ ยอดรักของข้า” บุรุษสวมเกราะเดินถึงหน้านาง ยื่นมือออกมาจับคางนางไว้เบาๆ
“มีคนต้องการพบเจ้า”
“หือ” เอินไหน่งุนงงเล็กน้อย หลังนางเร้นกายก็ไม่ได้ทำงานมาหลายร้อยปีแล้ว ยังมีคนหานางเจออีกหรือนี่
หนำซ้ำการที่สามารถหาตัวนางเจอผ่านระดับสูงอย่างรองหัวหน้าพันธมิตรดาวได้ แสดงให้เห็นว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ในระดับเท่าเทียมกัน
นางจำไม่ได้ว่าตนเคยรู้จักบุคคลสำคัญระดับนี้
“ไปเถอะ ไปเจอเดี๋ยวก็รู้เอง” อันนูคาดีเอ่ยเสียงทุ้ม
เอินไหน่พยักหน้า ลุกขึ้นติดตามอันนูคาดีออกจากตำหนักข้าง ก่อนตัดผ่านโถงทางเดินสีขาวทอดยาว ไม่นานก็มาถึงโถงกว้างขวางที่ใช้รับแขก
ด้านข้างโถงมีรูปปั้นสีทองที่เหมือนวังวนยักษ์รูปหนึ่ง ไม่ทราบว่าบูชาภาพลักษณ์ใด
บุรุษผมแดงที่ร่างกำยำจนเกินบรรยายหันหลังให้แก่คนทั้งสองอย่างเงียบเชียบ เงยหน้ามองรูปปั้นยักษ์ที่สูงหลายสิบเมตร
บุรุษหล่อเหลาเส้นผมเหมือนกับหนวดสีขาวนับไม่ถ้วนคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ทางขวามือของบุรุษผมแดง
เอินไหน่มองแวบเดียวก็จำได้ทันทีว่า บุรุษหล่อเหลาผู้นี้ก็คือหัวหน้าพันธมิตรฟ่านตัวแห่งพันธมิตรดาว และเป็นราชันขั้นสายธารที่แข็งแกร่งที่สุดของพันธมิตรดาว หนึ่งในผู้ที่ร้ายกาจที่สุดของจักรวาลมารสวรรค์
เขตดาวหลายแห่งคิดว่าเขาเป็นความหวังสุดท้ายของเหล่าวิญญาณดาว เป็นการดำรงอยู่ยิ่งใหญ่ที่ผู้คนเรียกว่าเชื้อไฟอมตะที่ลุกโชนชั่วนิรันดร์
และตอนนี้ การดำรงอยู่นี้กลับมาอยู่กับบุรุษผมแดงอีกคนในห้องโถง
เดิมทีเอินไหน่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เวลานี้จึงอดตื่นตัวไม่ได้
“พวกเจ้ามาแล้วหรือ” หัวหน้าพันธมิตรดาวฟ่านตัวเบือนหน้ามายิ้มให้อันนูคาดีและเอินไหน่
“ประธานลู่ผู้มาจากสำนักมารกำเนิดและสมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับ ต้องการพบพวกเจ้า”
“กล่าวให้ถูกต้องคือ คนที่ข้าต้องการพบ คือเจ้า”
บุรุษผมแดงค่อยๆ หันมา ดวงตาสีดำที่เต็มไปด้วยจุดขาวประหลาดนับไม่ถ้วนจ้องมองเอินไหน่ที่กระสับกระส่ายอย่างสงบ
“ข้าหรือ” เอินไหน่เงยหน้าขึ้นมองลู่เซิ่ง
เพียงแต่ใบหน้าของอีกฝ่ายเหมือนถูกพลังยิ่งใหญ่บางอย่างบิดเบือน จึงเห็นเพียงเปลวเพลิงสีทองคำขาวที่พร่ามัว
นางทราบว่านี่เป็นเพราะพลังแตกต่างกันมากเกินไป จึงมองดูการดำรงอยู่ของอีกฝ่ายตรงๆ ไม่ได้
นอกเสียจากคนผู้นี้ลดการรั่วไหลของคลื่นพลังลง ไม่อย่างนั้นนางก็มองไม่เห็นใบหน้าอีกฝ่าย
“ข้าจำไม่ได้ว่าเคยเจอกับท่านที่ไหนมาก่อน ประธานลู่ผู้แข็งแกร่ง” เอินไหน่ก้มหน้าลงกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะพบว่า ที่แท้ระดับของเขาได้ก้าวข้ามอีกฝ่ายไปไกลอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว
มารดาแห่งความเจ็บปวดในสายตาเขายังคงไม่เปลี่ยนไป ถึงขั้นที่มีพลังฝึกปรือเพิ่มมาบางส่วนเพราะเหตุผลบางอย่าง
แต่เมื่อมาเทียบกับเขาที่ตอนนี้เป็นตัวอ่อนจักรวาลแล้ว พวกเขาแตกต่างกันมากเหลือเกิน อีกฝ่ายยืนอยู่ต่อหน้าเขา แม้แต่จะมองหน้าเขาชัดๆ ก็ยังทำไม่ได้
เวลานี้เขาที่มาพร้อมความแค้นและโทสะกลับหมดอารมณ์อย่างไม่รู้ตัว
แม้มารดาแห่งความเจ็บปวดจะเป็นตัวการหลักที่ทำให้ภรรยาเขาเสียชีวิต ครอบครัวพลัดพรากจากกัน แต่เมื่อยืนประจันหน้ากับอีกฝ่ายอย่างแท้จริง เขากลับสัมผัสไม่ได้ถึงความแค้น สิ่งที่มีเหลือเพียงความสงบนิ่งและความสะท้อนใจเท่านั้น
“ประธานลู่ เราพาคนมาแล้ว ท่านยังมีคำชี้แนะใดอีกหรือไม่” หัวหน้าพันธมิตรฟ่าวตัวเตือนอย่างยำเกรง
หลังจากได้คุยกับลู่เซิ่ง เขาก็รู้ว่าขอบเขตพลังของอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าตัวเอง
และหลังจากข่าวที่มารกำเนิดกับซีหนิงสู้กันอยู่ปีกว่ากระจายออกมา เขาก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า คนตรงหน้านี้เป็นการดำรงอยู่ในระดับใด
เขาทำได้แค่สู้กับร่างแปลงของซีหนิงเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับต่อสู้อย่างดุเดือดกับร่างหลักของซีหนิงเป็นเวลาหนึ่งปีโดยไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ
ความแตกต่างระหว่างพวกเขาช่างมหาศาลเหลือเกิน
การยำเกรงผู้เข้มแข็ง เป็นมารยาทที่สิ่งมีชีวิตใดๆ ควรมี
“นาง ได้ล่วงละเมิดเครือญาติสายตรงของข้า ดังนั้น…” ลู่เซิ่งยังพูดไม่ทันจบ
“ขออภัยที่ข้าขอปฏิเสธ ประธานลู่ ในฐานะประธานสมาคมวิจัยแห่งโลกมารสวรรค์ และเจ้าสำนักมารกำเนิด ข้าไม่ปฏิเสธว่าท่านได้สร้างคุณูปการให้แก่ความสงบสุขของโลกมารสวรรค์ แต่…เอินไหน่เป็นคนรักที่น้องชายข้าให้ความสำคัญที่สุด หากนางล่วงเกินท่านที่ตรงไหน พวกเราสามารถชดเชยท่านผ่านทางอื่นได้”
หัวหน้าพันธมิตรดาวฟ่านตัวตัดบทเขาทันที
ลู่เซิ่งยิ้ม
“ข้าถือว่าคำพูดของท่านเป็นการยั่วยุสำนักมารกำเนิดและสมาคมวิจัยได้หรือไม่”
ฟ่านตัวกลั้นหายใจเล็กน้อย ดวงตาฉายโทสะเลือนราง
“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น พันธมิตรดาวของพวกเราต่อสู้กับพลังแห่งความว่างเปล่าร่วมกับสำนักมารกำเนิดและสมาคมวิจัย ถือเป็นฝ่ายเดียวกัน และเคยร่วมมือกันอย่างปรองดอง ไม่ว่าอย่างไร ระหว่างพวกเราก็ไม่ควรมีความขัดแย้งที่ไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ เพียงแต่ท่านได้โปรดให้อภัยด้วย…สำหรับน้องชายข้า เอินไหน่คือ…”
“ข้าให้ความเคารพคุณูปการที่พันธมิตรดาวทำเพื่อโลกมารสวรรค์ แต่นี่ไม่มากพอจะหักล้างบาปที่นางเคยทำลงไป” รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าลู่เซิ่ง
“แน่นอนว่า ท่านจะยืนกรานปฏิเสธคำขอของข้าก็ได้ เรื่องขี้ประติ๋วนี้ย่อมไม่ส่งผลต่อการทูตระหว่างองค์กรของพวกเรา เพียงแต่ โดยส่วนตัวแล้ว ข้าจะรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง” เขาเน้นประโยคสุดท้ายทีละคำ
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศในห้องโถงพลันหนักอึ้งและกดดัน
ฟ่านตัวผุดสีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดอะไรสักคำ
แสงสีแดงใต้เกราะของอันนูคาดีกะพริบเร็วขึ้นอย่างช้าๆ แสดงให้เห็นว่าอารมณ์ปั่นป่วนเล็กน้อย
ลู่เซิ่งยังคงยืนอยู่ด้านหน้าทั้งสาม รอคอยคำตอบของพวกเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ…
“ความเป็นไปได้ที่จะชดใช้ ไม่มีสักเพียงเล็กน้อยเลยหรือ…” เสียงส่งออกมาจากใต้เกราะของอันนูคาดีอย่างยากลำบาก
“ข้าไม่ชอบให้คนอื่นเจรจาต่อรองกับข้า” ลู่เซิ่งหลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบ
ฟ่านตัวก้มศีรษะ ถอนใจเงียบๆ
พันธมิตรดาวในเวลานี้ ไร้กำลังโต้ตอบเมื่อเผชิญกับเจ้าสำนักมารกำเนิดที่มีสภาวะคุกคามคน การรวบรวมพลังและศักยภาพของจอมอาวุโสทั้งหมดอาจจะรับมือการดำรงอยู่น่ากลัวตรงหน้าได้
แต่นั่นต้องรวมดวงจิตของวิญญาณดาวทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะตัดสินใจคนเดียวได้ จอมอาวุโสไม่มีทางเห็นด้วยแน่ เนื่องจากอนุภรรยาเพียงคนเดียวได้ไปล่วงเกินการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมารสวรรค์ไปจนถึงธารสวรรค์ทิศเหนือเข้า
“อันนูคาดี…” เขาเอ่ยเสียงทุ้มที่ระคนด้วยการปลอบใจ
แสงสีแดงใต้เกราะหนักอึ้งเจิดจ้าอย่างช้าๆ อุณหภูมิร้อนระอุเผาไหม้มิติรอบๆ จนบิดเบี้ยวดำเกรียม รวมถึงปรากฏรอยร้าวกลุ่มใหญ่
อันนูคาดีจับมือเอินไหน่ไว้แน่น
เอินไหน่เงยหนาขึ้นมองดูบุรุษของตัวเองอย่างสงบนิ่งและเว้าวอน
“ข้า…” เสียงของอันนูคาดีซุกซ่อนเพลิงโทสะล้ำลึก เขาเหมือนภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา แฝงความอันตรายที่ปั่นป่วน พยายามกดข่มตัวเองไว้
“ท่านพี่…” เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ่านตัว
ฟ่านตัวก้มหน้าลง หลบสายตาของเขาอย่างไม่รู้ตัว
“พวกเราไม่จำเป็นต้องกลัว พวกเราคือพันธมิตรดาวแห่งจักรวาลที่เก่าแก่ที่สุด! เทียบเคียงได้กับสัตว์โบราณ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งคงอยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาล! ทำไมพวกเราต้องสนใจผู้มาภายหลังคนหนึ่ง ขยะที่อยู่ในช่วงเวลาการสร้างไม่ถึงพันปี…”
“หุบปาก!”
เสียงเหมือนฟ้าร้องระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่น สะท้อนครืนครันในโถงใหญ่ กระแทกใส่อันนูคาดีจนตัวสั่น
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองพูดอะไรอยู่!?” เส้นผมสีเทานับไม่ถ้วนบนศีรษะฟ่านตัวเริงระบำและบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง แสดงถึงความเดือดดาลและพลุ่งพล่านของอารมณ์ในตอนนี้
“ท่านพี่ ข้า…!”
“ไสหัวออกไป!” ดวงตาสองข้างของฟ่านตัวกะพริบแสงสีฟ้าสายหนึ่ง
ร่างสูงใหญ่ของอันนูคาดีถูกพลังไร้รูปร่างที่ยิ่งใหญ่ชนิดหนึ่งบิดเบือน ก่อนจะโดนดูดหายเข้าไปในวังวนสีทองด้านหลังราวภาพลวงตา
“ไม่!”
ฟ่านตัวยื่นมือออกมา พลังที่ยิ่งใหญ่ไร้รูปร่างกดทับเอินไหน่ที่กำลังกรีดร้องเอาไว้
เขาหันไปมองลู่เซิ่ง
“ประธานลู่ที่เคารพ ท่านเองก็เห็นแล้ว พวกเราเสียรองหัวหน้าพันธมิตรไปคนหนึ่งชั่วคราวเพราะคำขอของท่าน การกระทำนี้จะส่งผลที่ยุ่งยากต่อชื่อเสียง ดังนั้น ข้าไม่อยากให้ท่านประกาศการพบหน้าครั้งนี้…”
“ย่อมได้” ลู่เซิ่งพยักหน้าน้อยๆ ชักนิ้วชี้ที่กำลังจะลงมือกลับ อีกฝ่ายส่งอันนูคาดีไปแล้ว ทำให้เขาไม่มีเป้าหมายลงมือ เขาคงมองออกว่าตนเกือบจะลงมือ
เขามองเอินไหน่ที่น้ำตานองหน้าอีกครั้ง
เวลานี้สตรีนางนี้สวมกระโปรงดำเหมือนสตรีธรรมดาคนหนึ่ง ร้องไห้อย่างไร้เสียง ดิ้นรนหมายจะไล่ตามอันนูคาดีที่ถูกส่งไปใต้การกดดันของพลังที่ยิ่งใหญ่
ฉากนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตนเหมือนตัวร้ายที่บีบให้คนรักพรากจากกัน
“อย่างนั้น นางเป็นของท่านแล้ว” ฟ่านตัวหลุบเปลือกตา ทอดถอนใจ เขาเสี่ยงล่วงเกินลู่เซิ่ง ส่งน้องชายตัวเองไปที่อื่นได้ แต่เอินไหน่ไม่มีค่าพอให้เขาทำแบบนี้
ลู่เซิ่งพยักหน้า ยื่นมือออกมาคว้าเอินไหน่
พลังยิ่งใหญ่และบิดเบี้ยวทะลักออกมา ปกคลุมร่างเอินไหน่ที่กำลังดิ้นรน
นางตัวแข็งทื่อ สายฟ้าสีดำกลุ่มใหญ่ปรากฏบนผิว จากนั้นร่างก็ค่อยๆ โปร่งแสงและหดเล็กลง ก่อนจะลอยเข้าไปในปากลู่เซิ่ง หายไปอย่างสิ้นเชิง
“ขอบคุณหัวหน้าพันธมิตรฟ่านตัวที่รักษาคุณธรรม ข้าขอเป็นตัวแทนสำนักมารกำเนิดและสมาคมวิจัยแสดงคำขอบคุณที่จริงใจต่อท่าน” ลู่เซิ่งขอบคุณเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหมุนตัวสาวเท้าออกจากโถงใหญ่