ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1153 ควบคุม (1)
เวลาถูกหยุดอีกครั้ง
สมองที่สับสนของเรดมันน์ส่งเสียงเตือนภัยอย่างรุนแรง
เขารู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเสียสติแล้วในตอนมองร่างยักษ์ที่เดินมาจากปากประตูพระราชวัง
ช่วงนี้เขาอยู่ในสภาวะเห็นภาพหลอนและกึ่งฝันตลอดเวลา ความจริงและความฝันทำให้เขาแยกแยะไม่ออกว่าตนอยู่ตรงไหนที่ใด
หรือว่าเหตุการณ์ตรงหน้าจะเป็นฝันร้ายของตนอีกแล้ว
แต่เหตุใดฝันนี้จึงได้แจ่มชัดขนาดนี้
เขางุนงงสับสน
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งเหวี่ยงโต๊ะหินที่ขวางทางไปด้านข้าง ไม่ชอบที่มันขวางทางตัวเอง
“เสด็จพ่อ จักรวรรดิวุ่นวาย พวกเราจะมัวมาเสียเวลาแบบนี้ไม่ได้แล้ว”
“เจ้า…เจ้าเป็นใครกันแน่!?” เรดมันน์ตัวสั่นอย่างไร้สติ
“ข้าหรือ? ข้าก็คือลาเนียร์ที่ท่านรักที่สุดอย่างไรเล่าเสด็จพ่อ!” ศีรษะหยาบใหญ่ของลู่เซิ่งกลับเป็นอย่างเดิม กลายเป็นใบหน้าของลาเนียร์ที่หมดจดน่าเอ็นดูอีกครั้ง
เพียงแต่ร่างกายกำยำที่สูงสองเมตรกว่าๆ ของนางทำให้ใบหน้านี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็น่าขนพองสยองเกล้า
“อ้อ…ไม่สิ…” เรดมันน์ปิดตาของตัวเอง “ข้าจะต้องฝันอยู่แน่”
“ฝันหรือ อย่าโอบกอดความเพ้อฝันที่ไม่เป็นจริงอีกต่อไปเลยเพคะ นี่เป็นความจริง ข้าคือลาเนียร์ของท่าน” ลู่เซิ่งกระชากตัวราชาลงจากที่ประทับนั่ง
“ช่วยองค์ราชา! ปกป้องฝ่าบาท!”
“เร็วเข้าๆ!”
เวลานี้ด้านนอกประตูมีเสียงฝีเท้าเร่งร้อน ยังมีเสียงโลหะจากเกราะที่กระทบกันเองดังมา
“หือ?” ลู่เซิ่งหันไปมอง เห็นมือกระบี่หนักที่พกอาวุธเต็มอัตรา และสวมเกราะสีเงินหนักอึ้งหลายกลุ่ม กรูกันเข้ามาจากนอกประตู
ฟ้าว!
กระบี่กางเขนสองมือที่หนักอึ้งเล่มหนึ่งกรีดอากาศฟันใส่คอของลู่เซิ่ง
เขายกมือขึ้นคว้าตัวกระบี่ แล้วโยนกระบี่ไปด้านหน้าพร้อมกับคนถือ
พละกำลังมหาศาลและความเร็วอันน่ากลัว ทำให้มือกระบี่หนักที่อยู่ด้านหน้าสุดพุ่งเข้าไปในกลุ่มมือกระบี่กลุ่มใหญ่ด้านหลังเหมือนกระสุนปืนใหญ่
ตูม!
ท่ามกลางเสียงทึบหนัก มือกระบี่หนักสิบกว่าคนล้มระเนระนาด ราวกับพินสิบกว่าอันที่ถูกลูกโบว์ลิงชนใส่
“ข้าคือองค์หญิงลาเนียร์ ใครบังอาจมาขวางข้า!” ลู่เซิ่งตะโกน มือหนึ่งหิ้วเรดดมันน์ พร้อมสาวเท้าเข้าไปในกลุ่มมือกระบี่
เขาคว้ามือกระบี่คนหนึ่ง แล้วโขกศีรษะเข้าไปอย่างแรง เกราะโลหะของมือกระบี่ยุบลง ถูกกระแทกจนหัวแตกเลือดไหล สลบไสลล้มกับพื้น
มือกระบี่ที่พุ่งมาจากรอบๆ ถูกเขาคว้าหอกยาว แล้วกวาดหมุน
เปรี้ยงๆๆ!
ท่ามกลางเสียงกระแทกหนักอึ้งที่ดังต่อเนื่อง มือกระบี่หนักทั้งกลุ่มลอยออกไปเหมือนลูกไก่ ส่งเสียงโอดโอยขณะกลิ้งบนพื้น ก่อนจะลุกไม่ขึ้นอีก
ลู่เซิ่งถีบไปด้านหน้า โดนใส่เกราะส่วนท้องของมือกระบี่คนหนึ่งพอดี
เลือดไหลออกจากจมูกและปากของมือกระบี่คนนั้น เพิ่งพุ่งเข้าไป ก็ปลิวออกมาด้วยความเร่งน่ากลัว แล้วปะทะใส่มือกระบี่สิบกว่าคนที่เหลือจนล้มระนาว ก่อนจะชนเสาหินที่อยู่ไม่ไกล ออกไป
ครืน!
เพดานพระราชวังสั่นไหวเล็กน้อย ส่งเสียงแกรกกรากเบาๆ
“ฆ่า!”
“ปกป้ององค์ราชา!”
“เพื่อจักรวรรดิ!”
มือกระบี่สวมเกราะหนักหลายกลุ่มพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ถูกโยนออกมาอย่างเบาโหวงเหมือนกับตุ๊กตาโทรมๆ พากันหล่นฟาดกับพื้น ก่อนจะลุกไม่ขึ้นอีก
มองไปไกลๆ เหมือนกับคลื่นน้ำนับไม่ถ้วนปะทะใส่หินโสโครกที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปานก้อนหนึ่ง
พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป กองทหารรักษาพระองค์ที่มาล้อมปราบก็ลดจำนวนลงเรื่อยๆ
เป็นเพราะกลุ่มที่มาจากด้านนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าวัง ดังนั้นใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที
กองทหารรักษาพระองค์ที่ได้ข่าวแล้วเร่งรุดมาสามร้อยกว่านายกวึ่รก็นอนกองแทบเท้าลู่เซิ่ง ในนี้ยังรวมถึงรองหัวหน้ากองทหารสองคนด้วย
ทหารที่อยู่บนพื้น ที่ตายก็ตายที่บาดเจ็บก็บาดเจ็บ ลู่เซิ่งกลับยังคงเหมือนตอนแรกสุด นอกจากเสื้อผ้าและกระโปรงที่ปริขาด ก็ไม่ปรากฏบาดแผลที่ใดอีก
เขาก้มมองรอบๆ ขณะอุ้มเรดดมันต์ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินไปยังท้องพระโรงตำหนักประชุม
เวลานี้ควรเป็นเวลาที่ขุนนางใหญ่เกน เรียกประชุมเรื่องบริหารแผ่นดินกับขุนนางคนอื่นๆ
ลู่เซิ่งเดินบนโถงทางเดินกว้างขวางโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัว
ทหารรักษาพระองค์เสียหายไปสามร้อยกว่านาย แม้คนที่เหลือจะกำลังทยอยมา แต่ผู้ที่ไล่ตามทันก็เหลือน้อยเต็มที เพียงกล้าติดตามอยู่ด้านหลังและรอบๆ อย่างตัวสั่นงันงกเท่านั้น
ตึงๆๆ…
ท่ามกลางเสียงฝีเท้าหนักอึ้ง ลู่เซิ่งที่อุ้มเรดมันน์ ผลักประตูท้องพระโรงตำหนักประชุมเปิด
องครักษ์เฝ้าประตูคิดจะเข้ามาห้ามปราม แต่พอเห็นมือกระบี่หนักผู้เป็นทหารรักษาพระองค์กลุ่มใหญ่ที่ตามอยู่ด้านหลังลู่เซิ่ง ก็พลันหน้าซีดเซียว ล้วนไม่กล้าขยับตัว
ทหารองครักษ์ที่มีความกล้าหาญอย่างแท้จริง ถูกลู่เซิ่งคว่ำไปในศึกชุลมุนเมื่อครู่แล้ว
ที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่เป็นพวกตลบตะแลงที่ไต่เต้าขึ้นมาด้วยการเลียงแข้งเลียขา
ประตูท้องพระโรงตำหนักประชุมสีดำอ้าออกไปสองด้านอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นขุนนางมากมายที่ยืนเรียงแถวอยู่ด้านใน
ชายวัยกลางคนจมูกเหยี่ยวผมบางคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ เขามีรอยยิ้มที่เมตตา หน้าตาเหมือนกับคนใจบุญสุนทาน เป็นขุนนางใหญ่ที่ควบคุมการปกครอง เกน
พอเห็นคนร่างดำมะเมื่อมที่สูงสองเมตรกว่าๆ สาวเท้าเข้ามาในท้องพระโรงตำหนัก พวกขุนนางใหญ่ก็ม่านตาหดตัว คนบางส่วนแตกตื่น แต่บางส่วนยังคงเยือกเย็น มองดูลู่เซิ่งด้วยสายตาเย็นชา า มือแอบกดอาวุธที่คาดไว้ตรงเอว
จักรวรรดิออร์ก้าอนุญาตให้ขุนนางพกพาอาวุธเข้าเฝ้า ในฐานะประเทศที่นิยมการทหาร เรดมันน์ ออร์ก้าในอดีตก็เคยเป็นชายชาญที่มีความกล้าหาญเหนือคนธรรมดาเช่นกัน น่าเสียดายที่ อำนาจแล ละผลประโยชน์ได้กัดกร่อนจิตวิญญาณของเขาไปจนหมดตามวันเวลาที่ล่วงเลยผ่าน
“เจ้าเป็นใคร บุกรุกเข้ามาในวังหลวง รู้ไหมว่าตัวเองได้กระทำความผิดใด” แม่ทัพร่างสูงใหญ่กำยำที่อยู่ทางขวามือคนหนึ่งก้าวเข้ามา ชักกระบี่ออกมาดังเช้ง พร้อมกล่าวเสียงเฉียบขาด
เขาคือคนที่มีร่างกายใหญ่โตที่สุดในกองทัพ มือหนึ่งถือโล่ มือหนึ่งถือกระบี่ สวมเกราะสีดำที่หนักอึ้ง ยามเดินทรงพลัง กระแทกพื้นรอบๆ จนสั่นไหวน้อยๆ
เพียงแต่ตอนที่เขาเดินไปถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง แล้วเงยหน้ามองลู่เซิ่งที่สูงกว่าเขาหนึ่งช่วงตัว
แสงถูกบดบัง เงาที่สูงใหญ่ของอีกฝ่ายปกคลุมร่างเขาไว้มิด
ฝ่ามือที่ถือด้ามกระบี่มาโดยตลอดของแม่ทัพอดกระชับแน่นขึ้นน้อยๆ ไม่ได้
“ข้าสั่งให้เจ้า! ถอยไป!” เขาชูกกระบี่ขึ้นสูง
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งปัดมือกระแทกคนคนนี้ออกไป แล้วสาวเท้าไปหาเกน
เกราะหนักหลายร้อยกิโลกรัมเหมือนกับของเล่นเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ปลิวออกไปอย่างเบาโหวง ก่อนหล่นลงกลางวงขุนนางใหญ่ที่ยืนอยู่ทางขวา
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอยู่ชั่วขณะ ขุนนางใหญ่กลุ่มหนึ่งถูกกระแทกจนหัวแตกเลือดอาบ กระดูกหักล้มลงกับพื้น
พอเห็นสภาพนี้ แม่ทัพคนอื่นๆ ที่คิดจะเข้ามาขวางทางก็ขนลุก ถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าเข้ามาอีก
รอยยิ้มบนใบหน้าเกนค่อยๆ หายไป สิ่งที่มาแทนที่คือสายตาราบเรียบอึมครึมซึ่งจับจ้องลู่เซิ่ง
“นึกไม่ถึงจริงๆ เจ้าเป็นใคร” เขาส่งเสียงเคร่งขรึม
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า จู่ๆ ก็ก้มหน้าลง เห็นสองขาของตัวเองมีเกล็ดน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่งเกี่ยวพันอย่างช้าๆ
“อืม? เวทมนตร์หรือ” เขากล่าวอย่างประหลาดใจ
ชายชราที่สวมเสื้อคลุมดำคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังเกนอย่างช้าๆ เขาถือคทาสั้นประณีต เล็งคริสตัลสีดำที่ฝังบนปลายคทามาทางลู่เซิ่ง ควันหมอกสีขาวซีดเหลายสายลอยออกมาอย่างเ เงียบเชียบ แล้วหลอมรวมกับเกล็ดน้ำแข็งข้างใต้ร่างลู่เซิ่ง
“ตอบข้ามา เจ้าเป็นใคร!?” เกนแสดงสีหน้าเย็นเยียบ
“ข้าหรือ?” ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้น ยกเท้าอย่างแรง
เปรี้ยง!
ชั้นน้ำแข็งข้างใต้ตัวเขาระเบิดกลายเป็นเศษน้ำแข็งเพราะการบีบอัดจากพละกำลังอันมหาศาล
“ข้าคือลาเนียร์ องค์หญิงลาเนียร์แห่งจักรวรรดิ ท่านคุณอาเกน ท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือ”
เปรี้ยง!
เกิดเสียงระเบิดอีกรอบ
ลู่เซิ่งกระชากเกล็ดน้ำแข็งข้างใต้เท้าออกทีละก้าวๆ ขณะเดินไปหาเกนอย่างไร้อุปสรรค
เหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆ ต่างเริ่มเตลิดหนีอย่างขวัญผวา เหลือแม่ทัพไม่กี่คนที่ขอบตาร้อนผ่าว
พวกเขาคือขุนนางเก่าไม่กี่คนที่คอยค้ำยันราชสำนัก ถูกเกนบีบคั้นให้ถอยจากตำแหน่งมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่พวกเขาครองอำนาจทหาร คงถูกเกนทำร้ายด้วยสารพัดวิธีไปแต่แรกแล้ว
และตอนนี้ แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่านักรบกล้าตรงหน้าเป็นใคร แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร อีกฝ่ายก็นำความหวังมาให้จักรวรรดิประเทศนี้แล้ว!
ขณะมองดูลู่เซิ่งกระชากชั้นน้ำแข็งแหลกทีละก้าวๆ
เกนม่านตาหดตัว มองไปยังจอมเวทที่อยู่ด้านข้าง
จอมเวทผุดสีหน้าอึมครึม มือที่กำคทาเวทแน่นสั่นเทา เขาท่องคาถาที่เหมือนกับเสียงกระซิบอย่างต่อเนื่อง
“จงลุกไหม้โชน!” ทันใดนั้นเขาก็ชูคทาเวทขึ้นโบก
ฟ้าว!
ลูกไฟสีทองขนาดเท่าหัวมนุษย์โผล่ออกมากลางอากาศ แล้วพุ่งเข้าหาลู่เซิ่ง
ตูม!
ลูกไฟระเบิดก่อนจะไปถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง
เปลวไฟร้อนระอุม้วนกลบที่ว่างหลายเมตรรอบๆ ตัว
เหล่าขุนนางหาสิ่งกีดขวางเพื่อหลบโดยสัญชาตญาณ สะเก็ดไฟที่กระจัดกระจายลุกไหม้บนเครื่องประดับและผ้าม่านที่หนาแน่น
เปลวเพลิงลุกลาม ควันดำจางๆ เริ่มตลบไปทั่วท้องพระโรงตำหนักประชุม
จอมเวทจ้องมองไฟ มือกระชับคทาเวทรีบฟื้นพลัง เขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าวินาทีถึงจะฟื้นพลังกลับมาปล่อยลูกไฟได้อีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดชนิดไหน ก็ไม่สามารถต้านทานอานุภาพของลูกไฟทำลายล้างที่แข็งแกร่งได้
นี่เป็นความเชื่อมั่นอันเด็ดขาดที่เขาในฐานะจอมเวทแห่งวังหลวงสร้างขึ้นมาหลายปี
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นมือใหญ่ที่ดำเกรียมเล็กน้อยข้างหนึ่งก็ยื่นฝ่าเปลวเพลิงมาจับคอของเขาไว้
‘ไม่!’
สมองของจอมเวทขาวโพลน ยังไม่ทันตอบสนอง
รอได้สติกลับมา เขาก็ทุบมือใหญ่ลงอย่างรุนแรง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย พละกำลังที่อ่อนแอกลับเหมือนทารกเผชิญหน้ากับจระเข้ แม้แต่จะนวดให้ก็ยังทำไม่ได้
พละกำลังที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวค่อยๆ ยกตัวเขาลอยขึ้น
เขาพยายามขัดขืนอยู่ข้างใต้เงาของเปลวเพลิงที่เต้นระริก ความเคร่งขรึมบนใบหน้าถูกความกลัวเข้าแทนที่
ผัวะๆๆ
เขาตบแขนยักษ์อย่างบ้าคลั่ง คิดจะสลัดให้หลุด
น่าเสียดายที่ไร้ประโยชน์
คทาเวทร่วงหลุดจากมืออย่างไร้เรี่ยวแรง กระทบพื้นส่งเสียงดังแกร๊ง ก่อนจะกลิ้งร่วงลงไปจากบันไดหิน
คริสตัลสีดำบนคทาสะท้อนร่างของจอมเวทที่ดิ้นรนช้าลงเรื่อยๆ อย่างแจ่มชัด
เส้นเพลิงสีแดงหลายสายเริ่มระเบิดออกมาจากรอบๆ ตัวเขา พุ่งใส่มือยักษ์อย่างบ้าคลั่ง หมายจะกระแทกการพันธนาการจากมือยักษ์ผ่านการระเบิด
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ไม่มีผลแม้แต่น้อย
อย่างค่อยเป็นค่อยไป ร่างของจอมเวทก็เริ่มไม่ขยับเขยื้อน เขาเหมือนกับปลาที่ขาดอากาศตาย ถีบเท้าสองสามครั้ง จากนั้นก็ห้อยต่องแต่งบนฝ่ามือ เหมือนคนผูกคอตาย
ส่วนเกนไม่รู้หายไปไหนใน ฉวยโอกาสตอนจอมเวทสู้กับลู่เซิ่งแอบหนีไป
ลู่เซิ่งฉีกผ้าคลุมศพของจอมเวทออก แล้วปลดของมีค่าบนศพลงมาอย่างรวดเร็ว
โยนศพทิ้งไปอีกทาง แสงเพลิงลอยวนเวียน เขาอุ้มเรดมันน์สาวเท้าไปยังหน้าบัลลังก์ ก่อนหมุนตัวนั่งลงอย่างเยือกเย็น
เพลิงเริ่มแผ่ลาม ไฟลุกโหมแรงขึ้น
ทหารรักษาพระองค์ที่เดิมช่วยดับไฟได้ ถ้าไม่ตายในหน้าที่ ก็ตกใจหนีเตลิดขณะต่อสู้กับลู่เซิ่งเมื่อก่อนหน้านี้
รอบๆ วังไม่มีข้ารับใช้สักคนเดียว
“ช่างน่าเศร้าจริงๆ” ลู่เซิ่งกดมือบนที่พักแขนของบัลลังก์อันเย็นเยียบ มองดูเรดมันน์ที่อยู่ด้านข้าง
“เสด็จพ่อ ท่านควรสละบัลลังก์แล้ว”