ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1154 ควบคุม (2)
เรดมันน์งุนงงสับสน สติเลือนรางลางเรือนเล็กน้อย เพราะการระเบิดเมื่อครู่ เวลานี้เห็นลู่เซิ่งนั่งลงบนบัลลังก์ของตัวเอง แทนที่จะโกรธ เขากลับหัวเราะอย่างปลอดโปร่ง
“เอาไปเถอะ…เอาไปให้หมดเลย…หลายปีมานี้ ข้าควรสละราชสมบัติ ควรจะจากไปตั้งนานแล้ว…” เขาไม่รู้ว่ายังอยู่ในภาพหลอนหรือไม่ ฟองขาวค่อยๆ ไหลออกมาจากปากและจมูก
ลู่เซิ่งไม่สนใจเรดมันน์ที่คลุ้มๆ คลั่งๆ สองตากวาดมองเปลวเพลิงในพระราชวัง
เขาสูดลมหายใจลึก
หยิบคริสตัลทรงขนมเปียกปูนสีฟ้าเม็ดหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อสีดำซึ่งเพิ่งได้มาจากตัวจอมเวท แล้วโยนไปด้านหน้า
ซ่า
คริสตัลระเบิดกลายเป็นไอเย็นเยียบ ปกคลุมพระราชวังในพริบตา
เพลิงโหมกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งที่ปกคลุมทุกสิ่ง ขยายตัวไปยังพื้น ผนัง และเพดาน
ลู่เซิ่งฉีกผ้าผ้าม่านที่ถูกเผามาคลุมร่างตัวเอง ร่างมหึมาหดเล็กลง กลับเป็นเหมือนเดิม
ไม่ถึงสองวินาที เขาก็เปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างสะโอดสะองของลาเนียร์อีกครั้ง
“ข้า ลาเนียร์ ออร์ก้า องค์หญิงองค์ที่สามแห่งจักรวรรดิ ขอประกาศรับตำแหน่งจักรพรรดินีออร์ก้า ผู้ใดคัดค้าน จะถูกประหาร!”
เสียงอันดังของนางกลายเป็นคลื่นเสียงที่ราวกับจับต้องได้ ทะลุผ่านพระราชวัง พุ่งออกจากประตูใหญ่ แล้วกระจายไปยังอาณาเขตหลายร้อยเมตรรอบๆ จากนั้นก็ส่งไปถึงที่ไกล
เหล่าผู้นำทหารที่รอดชีวิตในพระราชวังต่างได้ยินเสียง พากันมองไปยังท้องพระโรงตำหนักประชุมอย่างตกตะลึงอึ้งงัน
“ใครเชื่อฟังข้าจะก้าวหน้า ใครฝ่าฝืนข้าต้องตาย!”
ด้านในพระราชวังที่ปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ลู่เซิ่งจับที่วางแขนแน่น สองตาฉายความน่ากลัวและล้ำลึกที่ลาเนียร์ไม่เคยมีมาก่อน
…
ปี 3766 แห่งจักรวรรดิ เดือน 7 วันที่ 3
องค์หญิงลาเนียร์ชิงอำนาจ บีบให้จักรพรรดิเรดมันน์ผู้เป็นพระบิดาสละราชสมบัติ สังหารขุนนางมากมาย ขับไล่อัครเสนาบดีเกโต สังหารขุนนางใหญ่ประจำจักรวรรดิสิบกว่าคน เอาชนะกองทหาร รักษาพระองค์ ยึดครองวังหลวง สถาปนาตัวเองเป็นจักพรรดินีออร์ก้าที่สิบ
หลายวันผ่านไป ทัพกบฏร่วมมือกับดยุควิลสัน ผนึกกำลังตีปราการอำพรางแสงจำศีลที่เป็นประการสุดท้ายของจักรวรรดิจนแตก
ปราการพังทลาย ศพกองเกลื่อนกลาดกล่าน
ทัพพันธมิตรที่ทำลายด่าน มุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้ซึ่งเป็นด่านที่สองทันที
…
ครึ่งเดือนต่อมา
นครหลวงวาลัน วังหลวง
ลู่เซิ่งนั่งบนบันลังก์ เทียบกับเขาเมื่อครึ่งเดือนก่อน ตอนนี้ร่างกายร่างนี้ได้หลุดออกจากคำว่าบอบบางสะโอดสะองไปแล้ว สิ่งที่มาแทนที่คือหลังเสือเอวหมี กล้ามเนื้อที่เหมือนเกร ราะยังคลุมด้วยเกล็ดอ่อนๆ
เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ ทอดตามองไกล ไม่เหมือนกับมนุษย์อีกต่อไป
ร่างกายสวมเกราะมหึมาที่ใหญ่เกือบสามเมตร เขาโค้งแหลมสองแท่งหนึ่งยาวหนึ่งสั้นยื่นออกมาจากหมวกเกราะ บนเกราะอกสลักลวดลายงามวิจิตรรูปราชสีห์และงูเหลือมห้ำหั่นกัน
กระบี่ยักษ์ที่ยาวสามเมตรกว่าๆ และกว้างครึ่งเมตร พิงเอียงๆ อยู่ทางขวาของบัลลังก์
แขนที่ใหญ่ยิ่งกว่าน่องขาคนธรรมดา ลูบไล้พู่ดำบนด้ามกระบี่อย่างเบามือ
ขุนนางใหญ่และแม่ทัพที่สวมเกราะพร้อมและเสื้อคลุมยืนเรียงกันเป็นสองแถวอยู่ด้านล่างพระราชวัง
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนใหม่ที่ลู่เซิ่งเลื่อนต่ำแหน่งขึ้นมาในเวลาครึ่งเดือน
วิธีการเลื่อนระดับของเขาเรียบง่ายและหยาบกระด้างมาก
หลังจากได้รู้ว่ามีการใช้งานเวทมนตร์ เขาก็วิเคราะห์หลักการของเวทมนตร์เหล่านี้ ก่อนจะเจอวิธีใช้และวิธีฝึกฝนที่เรียบง่าย จากนั้นก็บัญญัติวิธีฝึกฝนด้านการต่อสู้ออกมาชุดหนึ่ง
เขารวบรวมดูดซับทหารหาญและทหารรับจ้างที่มีความสามารถกล้าแข็งกลุ่มใหญ่เข้าสังกัด แล้วใช้วิธีการฝึกฝนสองชุดเป็นหลัก
ทางด้านขุนนางฝ่ายปกครอง เขาเรียกขุนนางชราประจำจักรวรรดิกลุ่มหนึ่งกลับมารับราชการได้อย่างง่ายดาย โดยอ้างสายเลือดราชวงศ์ตามธรรมเนียมอย่างองค์หญิงลาเนียร์
การทหารและการปกครองล้วนครบถ้วน แม้กำลังทหารจะไม่มาก ฝ่ายกำลังหนุนเองก็ไม่เพียงพอ แต่ลู่เซิ่งไม่เคยพึ่งพากำลังหนุนมาแต่ไหนแต่ไร
ทหารจะมีหรือไม่มี ล้วนไม่สำคัญ กองหนุนจะมีหรือไม่มี ล้วนไม่สำคัญ ประชาชนจะสนับสนุนหรือหือไม่สนับสนุน ล้วนไม่สำคัญ
อย่างไรก็ไม่มีใครต้านทานงการยาตราทัพของเขาได้
“ฝ่าบาท ตามแผนการในตอนนี้ พวกเราควรจะโยกย้ายทหารจากรอบๆ นครหลวงมาเสริมกำลังทหาร และพยายามเกณฑ์ตระกูลใหญ่ในนคร ให้พวกเขาสนับสนุนจักรวรรดิด้วยตัวเอง” ขุนนางชราคนหนึ่งรายงานเส สียงกระจ่าง
“ถูกต้อง เวลานี้อยู่ในช่วงที่จักรวรรดิสั่นคลอน โชคดีที่ฝ่าบาทนำความสงบสุขกลับมา โดยขับไล่เจ้ามะเร็งร้ายเกน ช่วยจักรวรรดิออกจากความทุกข์ยากได้ทันเวลา เวลาที่เกี่ยวข้องกับควา ามรุ่งเรืองเสื่อมโทรมของจักรวรรดิประเทศแบบนี้ ควรเป็นเวลาที่ตระกูลใหญ่พวกนั้นลงทุนลงแรงของตัวเองแล้ว! ”
ขุนนางชราอีกคนเสนอ
“เห็นด้วย!”
“เห็นด้วย!”
“ข้าว่า ให้กองทัพสิบสามกองทัพที่อยู่รอบๆ ระดมกำลังบุกไปก็พอ! ถ้าตระกูลใหญ่พวกนั้นสนับสนุนก็แล้วไป ถ้าไม่สนับสนุนก็ต้องกำจัดทิ้ง!” บุรุษหัวล้านที่ร่างกำยำเหมือนหมีคนหนึ่งห หัวเราะเสียงดุร้าย
ขุนนางทหารและแม่ทัพที่อยู่รอบๆ ส่วนใหญ่เป็นหัวหน้ากองกำลังทหารรับจ้างจากภาคเอกชนที่ลู่เซิ่งเพิ่งรับสมัครเข้ามา
บุรุษคนนี้คือหนึ่งในนั้น เขาถูกดึงตัวเข้ามาเพราะวิธีการฝึกฝน รวมถึงความโลภต่ออำนาจและชื่อเสียงของแม่ทัพ เป็นผู้เข้มแข็งที่พลังต่อสู้ถูกจัดอยู่ในอันดับสามท่ามกลางคนสิบ บคนที่ได้รับการดึงตัวเข้ามา
“ป่าเถื่อนเกินไป! ตอนนี้เป็นแม่ทัพแล้ว พวกเราที่จักรวรรดิสนับสนุน จะใช้วิธีการป่าเถื่อนและหยาบกระด้างแบบนั้นปฏิบัติต่อผู้มีอารยะเหมือนก่อนหน้าได้อย่างไร พวกเราต้องอดทน ใช้วิธี การที่เป็นมิตรกว่าจัดการเรื่องนี้ อย่างเช่นจับครอบครัวของพวกเขามาเรียกค่าไถ่ ข้าว่าเป็นวิธีการที่ไม่เลว”
สตรียั่วยวนที่สวมกระโปรงเดรสรัดติ้วสีแดงอีกคนเอ่ยเสียงหยดย้อย
“เงียบ”
ลู่เซิ่งเอ่ย ฉับพลันนั้นเสียงทั้งหมดในพระราชวังก็เงียบลง ไม่มีคนกล้าท้าทายอำนาจของเขา ผู้ที่กล้าท้าทายเสียชีวิตไปในเวลาครึ่งเดือนก่อนแล้ว
“สิ่งที่ข้าสั่งไปก่อนหน้านี้ ประวัติความเป็นมาของจอมเวทประจำหวังหลวงที่อยู่ข้างกายเกน ตรวจสอบแล้วใช่ไหม” ดวงตาสีเทาของเขากวาดผ่านทุกคนที่อยู่รอบๆ คนที่ถูกกวาดมองต่างตัวส สั่นอย่างไม่รู้ตัว
“ทูลเรียนฝ่าบาท ตรวจสอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ จอมเวทประจำวังหลวงอูรา มาจากสถานที่ชื่อแดนเวททมิฬ ว่ากันว่าที่นั่นสืบทอดมาจากนครโอนา ดินแดนหมื่นเวทมนตร์ในตำนาน” ขุนนางชราผมขาวเค คราขาวคนหนึ่งตอบ
“ติดต่อกับแดนเวททมิฬได้ไหม” ลู่เซิ่งถาม
“พวกเราทดลองแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าจอมเวทประจำวังหลวงคาร์ล ที่เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ลองไปหลายวิธี แต่ก็ยังไม่มีการตอบกลับใดๆ” ขุนนางชรารีบรายงาน
“ตำแหน่งของแดนเวททมิฬอยู่ที่ใด” ลู่เซิ่งคร้านจะฟังคำพูดไร้สาระ
“ว่ากันว่าอยู่ในเขตของจักรวาลซิสกาที่เรากำลังสู้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางชราตอบ
ลู่เซิ่งพยักหน้า
โลกใบนี้น่าสนใจมาก
จักรวาลทั้งจักรวาลเป็นวงกลมวงหนึ่ง ดวงอาทิตย์ แสงจันทร์ ดวงดาวต่างก็เป็นระบบพลังงานในวงกลมวงนี้ หมุนวนอยู่รอบๆ ผืนดินกายภาพตรงกลาง กลายเป็นฤดูใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง และหน นาว ตามการสับเปลี่ยนของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ตามปกติ
จักรวาลมีขนาดพอๆ กับดาวฤกษ์ในจักรวาลแห่งอื่น
ตามเหตุผล ขนาดของจักรวาลแบบนี้มีเพียงแต่ปัจเจกที่กำลังจะเข้าสู่จุดจบถึงจะปรากฏให้เห็นได้ แต่ที่นี่กลับเป็นข้อยกเว้น
ลู่เซิ่งศึกษาเปรียบเทียบอย่างละเอียด การสะกดจากฎของที่นี่ก็รุนแรงเช่นกัน การดำรงอยู่ใดๆ ไม่อาจใช้พลังเหนือธรรมชาติได้ตรงๆ
แต่เวทมนตร์เหล่านั้นกลับใช้วิธีการผสานกับวัสดุทางเคมี ลดการสะกดของกฎในทางอื่น โดยอ้อมผ่านกฎเกณฑ์ผ่านทางอ้อมหลายทาง แล้วสร้างเวทมนตร์ที่มีอานุภาพแข็งแกร่งเท่ากันออกมา
เพียงแต่เวทมนตร์นี้ยุ่งยากกว่าโลกใบอื่นมาก อีกทั้งยังมีความยุ่งยากอย่างใหญ่หลวง
“ช่างเถอะ จัดการเรื่องทัพพันธมิตรก่อน” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงทุ้ม “ตอนนี้ทัพพันธมิตรไปถึงไหนแล้ว”
“ทูลเรียนฝ่าบาท พิราบสื่อสารข้อมูลส่งรายงานกลับมาว่า ยังเหลือเวลาอีกสามวัน พวกมันก็จะเดินเท้ามาถึงเขตเมืองรอบนอกของจักรวรรดิแล้ว” แม่ทัพชราประจำจักรวรรดิดิ์ที่เหลือรอดมาราย ยงาน
“สามวัน” ลู่เซิ่งเคาะที่วางแขน ส่งเสียงดังตึกๆ
“ขอข้าดูความกล้าของพวกเจ้าหน่อยก็แล้วกัน ใครยินดีจะไปต้านทัพบ้าง” เขากวาดสายตาผ่านร่างเหล่าแม่ทัพ
การเผชิญหน้ากับกองทัพห้าแสนตรงๆ วีรกรรมแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่กองทหารรับจ้างหมี่นคนพวกนี้จะต้านทานได้
ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีใครส่งเสียง
“หือ?” ลู่เซิ่งสีหน้าเคร่งขรึมลง
แม่ทัพชราประจำจักรวรรดิคนหนึ่งคิดจะก้าวออกมากล่าวความลำบากใจ แต่ถูกลู่เซิ่งกวาดสายตาใส่ แรงกดดันสายหนึ่งพลันกดดันให้ฝีเท้าของเขาสั่นไหว ถึงกลับก้าวเท้าไม่ออก
พระราชวังใหญ่เงียบเชียบ ไม่มีใครเป็นคนโง่ การปะทะกับกองทัพห้าแสนตรงๆ เป็นการหาที่ตาย
“กองทัพมังกรน้ำแข็ง เจ้าเป็นทัพหน้า” ลู่เซิ่งคร้านจะพล่ามวาจาไร้สาระ สั่งการทันที
ชายฉกรรจ์หัวล้านที่เมื่อครู่เป็นคนพูด ทำหน้างุนงง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนแปลง เดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่งทันที
“ฝ่าบาท นี่ไม่ยุติธรรม!”
“ฆ่ามัน” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงราบเรียบ
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ร่างสูงสองเมตรกว่าๆ กว้างหนึ่งเมตรกว่าๆ สองคนเดินเข้ามาจากนอกประตูจากทางซ้ายทางขวาด้วยการเคลื่อนไหวที่ว่องไวอย่างน่าประหลาด แล้วเพื่อจะจับชายหัวล้านไ ไว้จากทางซ้ายทางขวาด้วยการเคลื่อนไหวที่ว่องไวอย่างน่าประหลาด
“ไอ้บัดซบเวรตะไร…”
คนหัวล้านคิดขัดขืน แต่ดาบที่เขาชักออกมาฟันใส่ร่างชายฉกรรจ์สองคนไม่ทิ้งแผลใดๆ ไว้เลย
ทักษะต่อสู้ทั้งหมดไม่อาจใช้ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าพละกำลังและความเร็วอันเด็ดขาด
เพียงแค่พบหน้า คนหัวล้านที่คิดจะใช้ท่าไม้ตายดาบโค้งของตัวเอง ก็ถูกชายฉกรรจ์คนหนึ่งจับคอ แล้วลากออกจากพระราชวังเหมือนกับลากศพ
ไม่นานนอกประตูก็มีเสียงกระดูกหักดังกร๊อบลอยมา
“ตอนนี้ให้รวมกองทัพมังกรน้ำแข็งเข้าไปในกองทัพมาสท์ พวกเจ้าเป็นแนวหน้า มีปัญหาหรือไม่” ลู่เซิ่งถามเสียงเรียบ
ทุกคนในพระราชวังพากันตัวสั่น นี่มันไม่ใช่การปรึกษา แต่เป็นคำสั่ง! คำสั่งที่ต่อต้านแล้วต้องตาย
หัวหน้ากองทัพมาสท์เป็นชายวัยกลางคนไว้หนวด เขากำดาบเรเปียร์ที่คาดไว้ตรงเอวแน่น เหงื่อไหลชุ่มฝ่ามือ พอได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ข่มความสะพรึงกลัวในใจ ได้แต่ก้าวมาด้านหน้า
“กองทัพมาสท์ รับบัญชา”
“ส่วนกองทัพอื่นๆ ข้าจะเป็นคนนำในฐานะทัพที่สอง สู้ตัดสินด้วยกันทั้งหมด อัลติสเจ้าเป็นผู้นำกองทัพหมาป่าขาวแห่งนครหลวงในฐานะทัพบัญชาการ ผู้ล่าถอยต้องตาย!” ลู่เซิ่งกำชับ
“พ่ะย่ะค่ะ!”
อัลติสเป็นหนึ่งในแม่ทัพเก่าประจำจักรวรรดิที่หลงเหลืออยู่ ทัพหมาป่าขาวที่เขาครอบครองเป็นหนึ่งในสามกองทัพที่เหลืออยู่เพียงทัพเดียวของจักรวรรดิ
“ตกลงตามนี้ ทำศึกตัดสินในอีกสามวัน ผู้ที่หลบหนี ตาย”
ลู่เซิ่งบอกความตั้งใจเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นทุกคนก็ล่าถอย
สำหรับเขาในเวลานี้ แม้ทุกสิ่งตรงหน้าจะเป็นสงครามกำหนดชะตาประเทศของจักรวรรดิ แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับเกมเล่นเป็นพ่อแม่ลูกในสายตาเขา
เขาคร้านเสียเวลา รีบทำความปรารถนาของลาเนียร์ให้เป็นจริง แล้วค่อยไปตามหวังจิ้งกลับบ้าน
แน่นอนว่า การดำเนินเรื่องสองเรื่องนี้พร้อมกันไม่ได้ขัดแย้งกันเอง ขณะที่กุมอำนาจทหารของจักรวรรดิ เขาสามารถใช้เครือข่ายกำลังคนขนาดใหญ่ค้นหานครโอนาที่ลี้ลับได้
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ร่างจุติร่างนี้เป็นผู้หญิง แต่ความจริงนี่ไม่สำคัญ
อย่างไรรอจนร่างหลักผสานกับร่างกายร่างนี้ จะชายจะหญิงก็เลือกได้ตามใจ แค่ควบคุมปรับปรุงกายเนื้อสักหน่อยก็พอ