ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1155 ลางร้าย (1)
ถูกต้อง อย่างไรก็เป็นการปรับปรุงกายเนื้อเล็กน้อยเท่านั้น
เรื่องนี้ไม่ยากสำหรับลู่เซิ่ง
หลังจากเลิกประชุม ลู่เซิ่งก็ลุกจากบัลลังก์ แล้วเดินออกจากประตูเล็กทางขวาของพระราชวัง
ด้านนอกมีจอมเวทประจำวังหลวงคนใหม่รออยู่
จอมเวทคาร์ลเป็นจอมเวทประจำหวังหลวงรุ่นก่อน และเป็นศิษย์น้องของจอมเวทที่ติดตามเกน ทั้งสองเคยเป็นลูกศิษย์นักเรียนของอาจารย์คนเดียวกัน
ต่อมาคนผู้นั้นไปยังแดนเวททมิฬ ส่วนเขารั้งอยู่ที่เดิมเพื่อเลี้ยงดูอดีตอาจารย์จนท่านตายไปถึงปลายทาง
ทั้งสองฝ่ายเจอบทสรุปที่แตกต่าง
ตอนนี้คนผู้นั้นตายแล้ว ในที่สุดคาร์ลก็ม๊โอกาสขึ้นสู่ตำแหน่ง
เขารอคอยอยู่นอกประตูเล็กอย่างเคารพ ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ทำท่าถ่อมตน
ลู่เซิ่งเหลือบมองเขา พลังเวทบนตัวชายวัยกลางคนรูปหล่อที่ไว้ผมยาวสีทองผู้นี้มีคลื่นพลังเวทแข็งแกร่ง แม้จะเทียบกับคนก่อนไม่ได้ แต่ในสภาพแวดล้อมที่ข้นแค้น หาพลังเหนือธรรมชา าติใดๆ ไม่ได้ เขามีพลังถึงขั้นนี้ได้ถือว่าไม่เลวมากแล้ว
“ไปเถอะ คุยเป็นเพื่อนข้าที”
เขาออกคำสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” คาร์ลรีบพยักหน้า
“จะว่าไป เจ้ามีพลังระดับใดในอันดับนักเวทล่ะ ข้าหมายถึงโลกนักเวททั้งหมดซึ่งรวมถึงแดนเวททมิฬด้วย” ลู่เซิ่งถาม
“ข้าอยู่ที่ขั้นสี่ตามระดับของจอมเวทมาตรฐาน ศิษย์พี่ข้าอัลโล หรือก็คือคนที่ถูกพระองค์ฆ่าไป อยู่ในขั้นห้า” คาร์ลตอบ
“สูงสุดคือขั้นใด”
“ว่ากันว่าแดนเวททมิฬมีตัวตนขั้นหก นครโอนาถึงขั้นลือว่ามีผู้เข้มแข็งขั้นเก้าที่เข้าใกล้เทพ แต่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนว่าพวกเขามีตัวตนอยู่จริงๆ หรือไม่ ผู้ที่มักจะโผล่หน น้ามาคือประธานอีลานุสแห่งนครโอนาที่อยู่ในขั้นแปดพ่ะย่ะค่ะ” คาร์ลตอบอย่างรวบรัด เขารู้ว่าจักพรรดินีราชินีองค์ใหม่ชอบเนื้อไม่ชอบน้ำ
“ดีมาก” ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า “ข้ามองความทะเยอทะยานต่อพลังและอำนาจในดวงตาของเจ้าออก อย่างนั้น เจ้ายินดีติดตามข้าไหม เป็นการติดตามอย่างแท้จริง อยู่รับใช้แทบเท้าข้าตลอดกาล”
“…” คาร์ลนิ่งเงียบ เขาไม่เข้าใจความคิดของลู่เซิ่ง
“พวกเจ้าคงจะสงสัยมาโดยตลอดสินะว่า องค์หญิงลาเนียร์ที่เดิมทีควรอ่อนแอเ เหตุใดจู่ๆ ถึงระเบิดพลังที่ร้ายกาจขนาดนี้ออกมาได้” ลู่เซิ่งหัวเราะ
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านตรัสเรื่องที่พวกเราสงสัยมาโดยตลอดจริงๆ” คาร์ลไม่ได้ปฏิเสธ พยักหน้าช้าๆ
“นี่ความจริงเรียบง่ายมาก” ลู่เซิ่งยิ้ม “เพราะข้า ได้ปลุกความทรงจำของชาติก่อนระหว่างอยู่ในความสิ้นหวังและความตาย ข้าในชาติก่อนก็มีสภาพเหมือนที่เจ้าเห็นอย่างในตอนนี้นี่แหละ”
“ชาติก่อน…มีชาติก่อนอยู่จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ” คาร์ลม่านตาหดตัว แสดงสีหน้าตกใจ
“แน่นอน” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม “ข้าไม่โกหกคนอ่อนแอหรอก นี่เป็นมารยาทพื้นฐาน”
คาร์ลตกตะลึง ก่อนจะใคร่ครวญ เขาไม่สงสัยว่าลู่เซิ่งโกหกตน เป็นเพราะในฐานะจักรพรรดินี ลู่เซิ่งที่มีนิสัยและตำแหน่งอย่างในตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องหลอกตัวเบี้ยที่สามารถบี้ให ห้ตายคามืออย่างเขา
ถูกต้อง เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวเบี้ยที่เหมือนถูกแทนที่ได้ตลอดเวลา เมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีผู้นี้ หากไม่ระวังแม้เพียงนิดเดียว ก็อาจถูกบดขยี้ได้อย่างสบายๆ
“เก็บไปคิดให้ดีเถอะ” ลู่เซิ่งไม่สนใจเขาอีก เวลานี้ทั้งสองเดินมาถึงตำหนักข้างที่สร้างขึ้นใหม่โดยไม่รู้ตัว
องครักษ์ร่างใหญ่ที่ผ่านการดัดแปลงด้วยมือลู่เซิ่ง หรือก็คือชายฉกรรจ์สองคนที่ก่อนหน้านี้สังหารหัวหน้ากองทัพทหารรับจ้างมังกรน้ำแข็ง กระจายอยู่รอบๆ ตำหนักข้างแห่งนี้
ทหารหาญแบบนี้อยู่ตรงนี้อย่างน้อยยี่สิบนาย ต่างเป็นอาสาสมัครที่คัดเลือกออกมาจากกองทหารรักษาพระองค์ ภักดีต่อจักรวรรดิ และภักดีต่อตัวเขา
เดิมทีคนพวกนี้ซื่อสัตย์จงรักภักดี เวลานี้หลังถูกกายเนื้อของเขาดัดแปลง ก็ยินดีถวายทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาเหมือนกับนักรบเดนตาย
พวกเขาคือผู้สนับสนุนและโล่กันหลังที่แข็งแกร่งที่สุดของลู่เซิ่งในสงครามครั้งนี้
สาวเท้าผลักเปิดประตูตำหนักข้าง องครักษ์ร่างใหญ่สองคนด้านในกำลังเฝ้าบ่อคริสตัลโลหะขนาดยักษ์ที่บรรจุเลือดสดๆ อยู่
เลือดในบ่อซัดสาด เห็นกระดูกหลายท่อนล่องลอยอยู่บนเลือดได้ตลอดเวลา
พอลู่เซิ่งสาวเท้าเดินเข้าไป องครักษ์ร่างยักษ์สองคนที่กำลังเฝ้าอยู่ก็รีบคุกเข่าทักทาย
เขาพยักหน้าน้อยๆ สายตากลับจับจ้องอยู่ในเลือดที่ซัดสาดในบ่อ
คาร์ลที่อยู่ด้านหลังเขาติดตามเข้ามา รู้สึกในทันทีว่าในบ่อน้ำเหมือนกับกำลังสร้างอะไรสักอย่าง นั่นเหมือนร่างคนที่พร่ามัวร่างหนึ่ง
“ลอยขึ้น” ลู่เซิ่งส่งเสียงเชิงออกคำสั่ง
บ่อน้ำสั่นไหวน้อยๆ ฉับพลันนั้นเลือดก็หยุดนิ่ง ศพผู้หญิงผิวขาวที่ถูกตัดคอค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากตรงกลาง
คาร์ลม่านตาหดตัว เขาจดจำได้ว่าศพเป็นศพใคร นั่นก็คือราชินีที่ก่อนหน้านี้ถูกประหารชีวิต หรือก็คือเอคาเดนีมารดาของลาเนียร์
“นี่มันอะไร!?…กำลัง…คืนชีพคนตายหรือ!?” เขาตกใจ อดถอยหลังก้าวหนึ่งไม่ได้ รู้สึกถึงกลิ่นอายคาวเลือดและความชั่วร้ายเข้มข้นที่กระจายฟุ้งอยู่ในตำหนักข้าง
เวทมนตร์คืนชีพเป็นหนึ่งในเวทมนตร์ที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกจอมเวทที่ทุกคนต่างยอมรับ
เป็นเพราะหากอยากจะคืนชีพศพที่ตายไปแล้วขึ้นมาใหม่ นอกจากช่วงชิงชีวิตอื่นมาเป็นของตัวเอง ก็ไม่มีวิธีการอื่นอีก
ดังนั้นเวทมนตร์คืนชีพทั้งหมด จึงเป็นพิธีกรรมชั่วร้ายที่มีเป้าหมายคือการชิงชีวิตของผู้อื่น
นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะรู้จักเวทมนตร์ชั่วร้ายระดับนี้ด้วย!
คาร์ลถอยหลังอีกก้าวอย่างอกสั่นขวัญแขวน
“เจ้ากำลังกลัวหรือ ช่างโง่เขลาจริงๆ” ลู่เซิ่งยิ้มเย็นชา “เสด็จแม่ไม่ได้ตายจริงๆ ร่างนางยังช่วยเหลือได้ ไม่ได้สูญเสียชีวิต ข้าเพียงแค่ใช้วิธีการนี้กระตุ้นให้ร่างกายนางรักษาตัว วเองอย่างช้าๆ เท่านั้น” ก่อนที่วิญญาณจะสลายไป สิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ยังมีความหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือ
คำพูดประโยคหลัง เขาไม่ได้เอ่ยออกมา ด้วยระดับความรู้ของโลกใบนี้ แม้จะพูดถึงหลักการก็ไม่มีใครเข้าใจ เขาจึงคร้านจะอธิบาย
“ฝ่าบาท ต้องการให้ข้าทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” คาร์ลถามเสียงทุ้ม
“ง่ายดายมาก” ลู่เซิ่งชี้บ่อเลือด “ถ้าเจ้ายินดีกลายเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของข้า อย่างนั้นข้าจะมอบพลังและอายุขัยที่สูงส่งให้แก่เจ้า แม้เจ้าจะตาย ข้าก็จะลากเจ้ากลับมาเหมือนเช่น เสด็จแม่ สำหรับข้า นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”
คาร์ลกัดริมฝีปาก มองดูราชินีเอคาเดนีที่ค่อยๆ ลืมตาจากในบ่อเลือด ในที่สุดเขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ตอนนี้เขาได้เห็นความลับที่เร้นลับขนาดนี้เข้าแล้ว ถ้าเขาไม่ตอบรับ จุดจบเพ พียงหนึ่งเดียวที่รอเขาอยู่ มีเพียงความตาย
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าตอบรับ!”
ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างพอใจ
เขาเองก็จนปัญญา รอบๆ ตัวมีแต่คนเถื่อน พวกเขามีความรู้ต่อศาสตร์เร้นลับน้อยเกินไป แม้แต่อักขระก็ยังสลักไม่เป็น เสียเวลาจริงๆ
เขาที่ขาดอัจฉริยะผู้ใช้เวทมนตร์อย่างหนัก ได้แต่ดึงจอมเวทประจำวังหลวงคาร์ลมาเป็นพวกหลายครั้ง
แน่นอนว่าถ้ามาถึงที่นี่แล้วยังไม่หวั่นไหว จุดจบสุดท้ายก็ได้แต่ต้องฆ่าทิ้งอย่างจนปัญญาแล้ว
“เยี่ยมมาก ต่อจากนี้เจ้าจะไม่เสียใจต่อการตัดสินใจครั้งนี้เด็ดขาด ข้าขอรับประกัน” ลู่เซิ่งยิ้ม
เขายื่นมือออกมา ถอดถุงมือโลหะทิ้ง เผยให้เห็นนิ้วเกล็ดดำที่หยาบใหญ่เหมือนกับแครอท
รอยแผลสายหนึ่งฉีกออกบนปลายนิ้วชี้ เลือดสีดำหยดหนึ่งถูกรีดให้ซึมออกมาจากปากแผลช้าๆ
“กินมันเสีย…”
คาร์ลมีสีหน้าเคร่งขรึม แม้จะเดาออกแต่แรกว่าองค์หญิงลาเนียร์เปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่วินาทีที่ได้เห็นรูปลักษณ์ ความหวังและความเพ้อฝันที่ซ่อนลึกในจิตใจก็ยังคงแหลกสลาย
ฝ่าบาทลาเนียร์ที่เดิมน่ารักน่าเอ็นดูคนนั้นจากไปตลอดกาลแล้ว
เขาเดินเข้าไป เข้าใกล้เลือดที่แปลกประหลาดและส่งกลิ่นประหลาดหยดนั้น
…
สามวันต่อมา…
ด้านนอกปราการของเมืองหลวง
กองทัพสีเทาที่เชื่อมต่อกันเป็นลูกคลื่นดูกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเหมือนมหาสมุทรบนทุ่งหญ้าสีเทาอันไพศาล
ทัพใหญ่จำนวนห้าแสน หรือกองทัพพันธมิตรที่ความจริงสั่งการได้เพียงนำกำลังทหารสามแสนห้าหมื่นนาย หลังผ่านการเร่งเดินทัพเป็นเวลาสั้นๆ ในที่สุดก็มาถึงปราการรอบนอกเมืองหลวง
เมืองหลวงมีเมืองปราการทั้งหมดสองแห่ง ปกป้องเมืองหลวงจากสองทิศทางเหมือนกับเขาโค้ง
และในตอนนี้ กองทัพห้าแสนของทัพพันธมิตรก็ยาตรามาหยุดใต้กำแพงสูงใหญ่ของปราการทิศใต้เหมือนกับลูกคลื่น หยุดการบุกโจมตีกองทัพจักรวรรดิที่แน่นขนัดบนกำแพงเมืองชั่วคราว
ผู้บัญชาการทัพพันธมิตรคือหัวหน้าทัพกบฐ กราซีย์ที่มีฉายาว่าเงากระบี่เงา ตัวแทนของเหล่าตระกูลใหญ่อีกฝั่งคืออดีตผู้บัญชาการประจำจักรรรดิที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ดยุคใหญ่วิล สัน
ทั้งสองนั่งบนรถม้าบัญชาการ อยู่ตรงกลางใจกลางกองทัพ ใช้กล้องส่องทางไกลมองเหล่าทหารที่กำลังกระวนายกระวายบนเมืองปราการ
ทหารที่สวมเกราะดำเหล่านั้นเดิมทีควรจะเป็นฝ่ายที่แสดงแสนยานุภาพ ยามปกติไม่มีใครกล้าหาเรื่อง
แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้ากองทัพพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ ทหารเหล่านี้ก็กลายเป็นลูกแกะที่กำลังสั่น อ่อนแอและน่าสงสาร
“ช่างประชดประชันกันเสียจริง” ดยุควิลสันกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาอายุเลยหกสิบแล้ว วันเวลาได้ฝากรอยเหี่ยวย่นล้ำลึกบนใบหน้าหล่อเหลา ผมยาวสีขาวถูกมัดสูงเป็นหางม้า ร่างกายยังคง กำยัง เพียงแต่ไม่เห็นความแข็งแกร่งในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดอีก
กระบี่เงากราซีย์ที่อยู่ด้านข้างหัวเราะสองสามครั้ง
“อย่าประสาทสิท่านดยุค ก่อนหน้านี้เมืองหลวงที่อยู่ตรงหน้ามีข่าวส่งมาว่า องค์หญิงลาเนียร์แห่งจักรวรรดินำทัพเข้าชิงบัลลังก์ ตอนนี้ได้ทำให้สถานการณ์ของเมืองหลวงมั่นคงลงแล้ว ขุนน นางเกนเมื่อก่อนหน้า รวมถึงขุนนางทั้งหมดที่ต่อต้านนาง ล้วนถูกฆ่าจนสิ้น ฝีมือระดับนี้ แม้ก่อนหน้านี้ลาเนียร์จะเป็นเพียงองค์หญิงอ่อนแอ ตอนนี้ก็ดูแคลนไม่ได้ แม้ข้าไม่คิดว่าเรื องพวกนี้จะเป็นเรื่องที่นางทำเองคนเดียวได้ก็ตามที”
“ถูกต้อง เบื้องหลังลาเนียร์จะต้องมีขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่คอยลอบสนับสนุนอยู่แน่ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยใจดีและยอมคนของนาง แม้จะเปลี่ยนไปเพราะความสิ้นหวัง ก็ไม่น่าจะกระทำเรื่องใหญ่ มากมายแบบนี้ได้ในเวลาสั้นๆ กระมัง” ดยุควิลสันเห็นด้วย
“ไม่ต้องคาดเดากันเยอะขนาดนั้นหรอก รอวันนี้ยึดปราการได้และตีเมืองหลวงแตก พวกเราค่อยไปถามฝ่าบาทองค์หญิงด้วยตัวเองก็พอ” กระบี่เงากราซีย์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้อง”
วิลสันพยักหน้า
ทั้งสองออกคำสั่งโจมตีเมืองอย่างรวดเร็ว
กองทัพสีเทากลุ่มใหญ่กรูกันเข้าหากำแพงเมืองปราการอย่างแน่นขนัดเหมือนกับหนอนสีขาวนับไม่ถ้วน บันไดตีเมืองหลายอันอันถูกพาดขึ้นไป ห่าธนูและก้อนหินกลุ่มใหญ่ลอยออกไปจากด้านหลัง กองทัพโจมตีเมือง
ทัพจักรวรรดิที่คุ้มครองเมืองพากันส่งเสียงร้องโหยหวน
แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด ทหารคุ้มครองเมืองเหล่านี้กลับอาจหาญไม่กลัวตาย เสี่ยงชีวิตพุ่งเข้าปะทะกับอีกฝ่าย
สงครามยื้อยันเกิดขึ้นบนกำแพงเมือง
“เกิดอะไรขึ้น” วิลสันขมวดคิ้ว
“เป็นทัพบัญชาการ เรื่องโหดเหี้ยมแบบนี้ยังทำออกมาได้ คนเบื้องหลังลาเนียร์ช่างโง่เขลาเสียจริง” กราซีย์ยิ้มเย็นชา
“ไม่ใช่! คนพวกนั้นมันอะไรกัน?!” จู่ๆ วิลสันก็สีหน้าเปลี่ยนแปลง ชี้ไปยังยักษ์สวมเกราะดำสูงสองเมตรกว่าๆ ที่ทยอยโผล่มาบนกำแพงเมือง
พวกเขามีร่างกายล่ำสันทรงพลัง สวมเกราะดำหนาหนัก ลูกธนูเจาะเกราะของพวกเขาไม่เข้า ในการต่อสู้ระยะประชิด ทหารที่เข้าใกล้พวกเขาล้วนถูกจับโยนอย่างง่ายดาย
“เล็ง!” รถยิงหน้าไม้ยักษ์บาลิสต้าคันหนึ่งของฝ่ายโจมตีเมืองลูกยิงศรยักษ์ใส่ยักษ์ตนหนึ่ง
ฉึก!
ยักษ์ถูกกระแทกลอยไปด้านหลัง หล่นจากกำแพงเมือง แต่ไม่นานเขาก็กุมเกราะที่ถูกกระแทกยุบ แล้วปีนขึ้นมาร่วมศึกอีกครั้ง