ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1156 ลางร้าย (2)
“บ้าเอ๊ย! นั่นมันตัวอะไร!?” วิลสันมองเห็นอย่างชัดเจนว่า รถยิงหน้าไม้ยักษ์บาลิสต้าถึงกับฆ่ายักษ์สวมเกราะดำไม่ได้
“ดูเหมือนว่า จักรวรรดิจะซ่อนของดีที่คนไม่รู้จักเอาไว้เยอะทีเดียว…” เงากระบี่เงากราซีย์เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา
เขายกมือขึ้น
“ท่านแจ๊ค”
ชายชราที่สวมเสื้อคลุมขาวขลิบทองเดินมาจากด้านหลัง
“ให้ข้าจัดการเอง” เขากระทุ้งคทาเวท คริสตัลโปร่งใสที่ฝังอยู่บนปลายคทาปล่อยหมอกสีขาวอมเทาออกมาหลายสาย
“แหลมคม ลุกไหม้ แข็งแกร่ง พละกำลัง!” เขาทำท่าโปรยสิ่งของ กลุ่มแสงสีเงินนับไม่ถ้วนที่เหมือนกับทรายกระจายออกไป แล้วหายไปกลางอากาศ
ขณะเดียวกัน บนรถยิงหน้าไม้ยักษ์บาลิสต้ากลางกองทัพก็ปรากฏแสงสีเงินที่ชัดเจนหลายสาย ประสิทธิผลของเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งทั้งสี่อย่างถูกเสริมเข้าไปอย่างรวดเร็ว เชื่อว่าถ้ายิงอ อีกครั้ง จะต้องฆ่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นได้อย่างแน่นอน
ในเวลานี้เอง ประตูปราการฝ่ายกองทัพจักรวรรดิที่อยู่อีกด้านก็เปิดออก ร่างสูงใหญ่ที่ขี่ม้าตัวโตสีดำหลายร่าง ถั่งโถมออกมาจากประตูเมืองเหมือนกับกระแสน้ำสีดำที่เชี่ยวกราก บุกตะล ลุยเข้าไปในกองทัพพันธมิตรเหมือนกับมีดแหลมเล่มหนึ่ง
จอมเวทแจ๊คเพ่งตามองไป เห็นรอยสีเลือดมากมายที่หลงเหลืออยู่ด้านหลังกระแสน้ำสีดำเหล่านี้
ร่องรอยนั้นเหมือนกับเส้นเลือดหลายสาย ไม่ทราบว่าใช้อะไรวาดออกมา
ขอแค่เป็นที่ที่อัศวินสีดำพวกนี้ตะลุยใส่ จะมีเส้นสีเลือดหลายเส้นหลงเหลือบนพื้น
อัศวินคลั่งพวกนี้ไร้เทียมทาน พวกเขามีพละกำลังเกินคน ไร้คู่ต่อกร ไปถึงที่ใดก็เกิดการฆ่าฟันขึ้นตรงนั้น รถยิงหน้าไม้ยักษ์บาลิสต้าตามความเร็วควบตะบึงของพวกเขาไม่ทัน
อัศวินดำหลายร้อยนายและม้าศึกเหมือนกับสัตว์ประหลาดอย่างสมบูรณ์ พวกเขาบุกตะลุยไปทั่วสนามรบ ไม่มีใครต้านทานได้ พริบตาเดียวก็หทะลวงกองทัพพันธมิตรจนระส่ำระส่าย
อัศวินดำทุกนายต่างก็เหมือนแม่ทัพไร้ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาฆ่าทหารไปเฉลี่ยคนละหลายสิบในเวลาสิบกว่าวินาทีสั้นๆ เหี้ยมหาญเหมือนกับสัตว์ยักษ์ตกมัน
วิลสันแสดงความโมโหและความจนปัญญาออกมาทางสีหน้า เขามองแจ๊ค จากนั้นก็มองกราซีย์
ทั้งสองผุดสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ
“ถอยเถอะ” กราซีย์กล่าวอย่างจนปัญญา
…
บนปราการ
ลู่เซิ่งเดินมาถึงข้างกำแพง มองดูทหารกองทัพพันธมิตรที่กำลังถอยร่นอย่างรวดเร็ว
เขาใช้เลือดเนื้อของตัวเองสร้างอัศวินดำแข็งแกร่งที่ถูกดัดแปลงกายเนื้ออกมาพันนาย
อัศวินดำพวกนี้สืบทอดพลังชีวิตที่แข็งแกร่งสุดขีดของเขาไป นอกเสียจากถูกเผาเป็นจุณ ไม่อย่างนั้นจะเป็นอมตะชั่วนิรันดร์
แน่นอนว่า เขาไม่มีทางทำเรื่องสิ้นเปลืองอย่างการสร้างญาติโกโหนติกาออกมาหลายคนเพื่อเอาชนะทัพกบฏฐและตระกูลใหญ่
เป้าหมายที่แท้จริงของเขาไม่ใช่ความต้องการเรียบง่ายนี้
ยืนอยู่ข้างกำแพงเมือง เขาก้มมองร่อยรอยสีเลือดนับไม่ถ้วนที่หลงเหลือตรงจุดที่เหล่าอัศวินดำควบม้าผ่าน
ร่องรอยสีเลือดพวกนี้เหมือนกลายเป็นวงแหวนเวทขนาดยักษ์ที่ปกคลุมพื้นที่หลายพันเมตรตามกฎเกณฑ์บางอย่าง
เลือดที่อยู่บนสนามรบและวิญญาณที่ล่องลอยถูกค่ายกลยักษ์ดูดซับเข้าไป แล้วกลายเป็นแสงโปร่งใสที่ไร้รูปร่างหลายสาย
ลู่เซิ่งมองเหตุการณ์นี้อย่างสงบ
คาร์ลที่อยู่ด้านหลังเขาเห็นภาพนี้เช่นกัน แต่นอกจากพวกเขาแล้ว ก็มีเพียงคนไม่กี่คนที่เห็นฉากพิสดารและตระการตานี้ได้
“พระองค์…ทรงคิดทำอะไรกันแน่” คาร์ลถามขึ้นด้านหลังลู่เซิ่งเบาๆ
“แค่การทดลองหนึ่งเท่านั้น…” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงเรียบ
เขาปลดหมวกเกราะมีเขาที่ใหญ่โตและหนักอึ้งลงช้าๆ เผยให้เห็นกะโหลกเหี้ยมเกรียมที่ชั่วร้ายและเต็มไปด้วยเกล็ดสีดำ เงยหน้ามองท้องฟ้า
“ความจริง โลกไม่สนใจหรอกว่าใครจะปกครอง ผู้ที่สนใจอย่างแท้จริงมีไม่กี่คนเท่านั้น” มุมปากลู่เซิ่งแสดงความเย้ยหยัน
คาร์ลที่อยู่ด้านหลังไม่เข้าใจความหมาย แต่ความตกตะลึงพรึงเพริดที่มาจากจิตใจ ทำให้เขาอดกำหมัด และเหงื่อกาฬไหลซึมออกมาจากแผ่นหลังไม่ได้
แม้เขาจะรับการดัดแปลงจากเลือดหยดนั้นมาแล้ว ตอนนี้สามารถแสดงปรากฏการณ์ที่ประหลาดและน่ากลัวออกมาได้เช่นกัน ได้รับพลังแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงถึงขีดสุด
แต่ตอนนี้วินาทีนี้ เขายังคงรู้สึกเหมือนตัวเองนั่งอยู่บนเรือเล็กแจว เดินเรือที่อยู่กลางบนมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยพายุ ความรู้สึกหมดหนทางและความสิ้นหวังนั้น ความสิ้นหวังที่มองไม ม่เห็นเกาะแก่งและปลายทางและเกาะนั้น ได้เติมเต็มหัวใจของเขาอย่างสมบูรณ์
อัศวินดินดำนับไม่ถ้วนด้านล่างกำลังควบม้าอยู่กลางกองทัพจักรวรรดิจำนวนมาก ไล่ล่าตามกองทัพพันธมิตรที่แตกพ่ายไป
กองทัพที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับกระแสคลื่นเหล็กกล้าผลักดันไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้าเหมือนกับกระแสคลื่นเหล็กกล้า กลืนกินทุกสิ่ง กลบฝังทุกอย่าง
ลู่เซิ่งค่อยๆ กางแขนออกและเงยหน้าขึ้น เหมือนกับต้องการโอบกอดอะไรสักอย่าง
ลมแรงพัดขึ้นด้านหลังเขา เมฆดำขยายไปถึงเหนือศีรษะ ปกคลุมดวงอาทิตย์ที่เดิมสว่างไสว
“การจุติระหว่างความลวงและความจริง…จงทับซ้อนเถอะ…โลกของข้า…จงทับซ้อน…จิตใจของข้า…จงทับซ้อนเถอะ…พลังของข้า!”
เสียงของลู่เซิ่งดังออกไปไกล
วงแหวนสีเลือดข้างใต้ปราการสั่นไหว เมฆดำบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวและพลิกซัดด้วยความเร็วสูง แสงสายฟ้าหลายสายสว่างเป็นแถบๆ
โลกทั้งใบเหมือนเข้าสู่รัตติกาลอย่างฉับพลัน
แสงมืดลงเรื่อยๆ แสงเพียงหนึ่งเดียว ก็คือแสงสีเลือดที่สว่างขึ้นในสองตาของลู่เซิ่งเท่านั้น
ลมพัดโหมจนผู้คนแทบลืมตาไม่ขึ้น
เหล่าทหารที่เข้าสู่ความมืดพากันหยุดฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว
พวกเขาเงยหน้ามองแสงอาทิตย์ที่กำลังถอยหนีไปยังที่ไกล ความมืดที่เข้มข้นกว่าเดิมหลายสายทะลักพรั่งพรูออกมากัดกร่อนทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ
ซู่…ซู่…ซู่…
เมฆดำหลายก้อนร่วงลงมาปะทะใส่พื้นเหมือนกับหมอกควัน แล้วกลายเป็นซุ้มประตูทรงกลมขนาดมหึมาที่รวมตัวจากเมฆหมอก
คลื่นพลังโปร่งใสกระเพื่อมในประตูอย่างช้าๆ
มิติบิดเบี้ยว
ยักษ์สีดำที่ดุร้ายและมหึมาหลายตนทยอยโผล่ออกมาจากในประตู
พวกมันมีเขาโค้งบนศีรษะ ร่างสูงห้าเมตรกว่า ด้านหลังมีปีกสีดำที่ขรุขระและเก่าแก่ สวมเกราะศึกใหญ่โตหนักอึ้งสีดำสนิท ถือกระบี่ยักษ์ที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟสีทองคำขาวหลายเล่ม
ยักษ์หลายตนเดินออกมาจากประตูเมฆ ก่อนจะสาวเท้าพุ่งใส่กองทัพพันธมิตร ควันดำนับไม่ถ้วนติดตามฝีเท้าของพวกมัน ปกคลุมกัดกร่อนทุ่งหญ้าของโลกภายนอกในบริเวณรที่เคลื่อนผ่าน
“ไปซะ ลูกๆ ของข้า…จงกลืนกิน ช่วงชิง และทำให้ทุกสิ่งของที่นี่กลายเป็นพวกเรา!”
ควันสีเหลืองอ่อนหลายสายค่อยๆ ระเหยออกมาจากตัวลู่เซิ่ง
คาร์ลที่อยู่ด้านหลังตัวสั่น บังคับไม่ให้ตัวเองล้มลง ตอนที่กำลังปลุกปลอบความกล้าจะเอ่ยถามนั่นเอง
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกด้านล่างโคลงเคลง เมืองหลวงด้านหลังเหมือนเกิดความผิดปกติอะไรสักอย่าง
เขารีบหันกลับไปดู
แต่ภาพฉากที่เห็นทำให้ม่านตาของเขาหดตัว ร่างกายสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมได้ทันที
เมืองหลวงที่อยู่ด้านหลัง เมืองหลวงขนาดมหึมาที่เดิมเป็นสีเงิน เวลานี้ถูกย้อมเป็นป้อมปราการยักษ์น่ากลัวสีดำสนิทตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ
หนวดขนาดมหึมาที่โปร่งแสงหลายเส้นแทงพื้นดินโผล่ออกมาจากรอบๆ เมืองหลวงพร้อมโบกสะบัด แสงสายฟ้าสีม่วงนับไม่ถ้วนวาดผ่านเหนือเมืองหลวง เหมือนกับฟ้าดินกำลังคำรามเกรี้ยวโกรธ หมายจะห หยุดยั้งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้
แต่ไร้ประโยชน์
เมืองหลวงที่มีผู้อยู่อาศัยมากกว่าห้าแสนคน ร่วมจมสู่เตียงอบอุ่นแห่งความมืดที่อบอุ่น ความกลัว มารร้าย และความลิงโลด
“นี่มัน…!” คาร์ลหน้าซีดขาว ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงอันล้ำลึกบังเกิดขึ้นในใจ
เขาหันกลับไปมองลู่เซิ่ง
กลับเห็นลู่เซิ่งฉายสีหน้าตรงกันข้ามที่พอใจและจริงใจ
“ฝ่าบาท! พระองค์…!?” เขาเอ่ยเสียงเร่งร้อน
“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเกรงกลัว นี่เป็นกระบวนการที่ชีวิตต้องผ่านเมื่อวิวัฒนาการ” ลู่เซิ่งหลับตากล่าวเสียงแผ่ว
เขาใช้เวลาไปเกือบครึ่งเดือนกว่าๆ ในการวางแผน ไม่ใช่เพื่อสนองความปรารถนถาเล็กๆ ของลาเนียร์เท่านั้น
สิ่งที่เขาปรารถนาอย่างแท้จริงคือจักรวาลทั้งจักรวาล
นับตั้งแต่ที่กินปฐมพลังของจักรวาลระดับพลังงานสุดยอดไปในครั้งก่อน เขาก็ไม่เคยลืมความรู้สึกนั้น
อย่างไรเขาก็มีดีปบลู ไม่จำเป็นต้องใช้เวลามหาศาลมาย่อยสลายเหมือนตอนกินจักรวาลแห่งอื่น เขาเพียงจำเป็นต้องเฉือนแบ่งตัวเองเป็นชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนเพื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งกับอีกฝ่าย จากนั้นค่อยใช้ดีปบลูสร้างร่างกายร่างใหม่ก็พอ
ในกระบวนการนี้ พลังวารีเทาจะมอบพลังงานมหาศาลที่มากพอให้แก่เขา เพื่อตอบสนองการย่อยสลายในขั้นตอนกลืนกิน
ส่วนหลังจากกลืนกิน สิ่งมีชีวิตที่เดิมอยู่ในจักรวาลแห่งนี้ ก็แค่เปลี่ยนผู้ปกครองเท่านั้น สภาพแวดล้อมอาจเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับพวกเขาแล้ว แค่ปรับตัวเล็กน้อยก็สามารถกลับ ไปใช้ชีวิตเหมือนปกติได้
ระดับนี้ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดที่พวกเขาจินตนาการออกไปแล้ว ยิ่งอย่าว่าแต่สัมผัสด้วย
…
ในหุบเหวแห่งหนึ่งของโลก
เหล่าจอมเวทที่สวมเสื้อคลุมสีเลือดกลุ่มหนึ่งกำลังคุกเข่าอธิษฐานรูปสลักชายหกแขนผิวดำสนิทอยู่ในถ้ำมืดสนิท
พลังแห่งความว่างเปล่าที่เบาบางหลายสายกระเพื่อมอยู่ในถ้ำนี้อย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเมฆและลมบนท้องฟ้าด้านนอกถ้ำก็เปลี่ยนจากอากาศแจ่มใสไร้เมฆเป็นสภาพก่อนเกิดพายุเข้า เมฆดำเคลื่อนตัว ฟ้าแลบแปลบปลาบ
รูปสลักชายหกแขนสั่นไหวน้อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ สองตาของมันไม่มีม่านตา มีเพียงสีดำสนิท
“ข้า ดีเยียน เกอเล ผู้ครอบครองเงาที่ยิ่งใหญ่ ตอบรับคำเชิญพวกเจ้า”
ชายหกแขนกางแขนออกช้าๆ ลิ้นสีแดงฉานหกเส้นที่เหมือนกับงูตวัดออกมาจากปาก เลียคางและติ่งหูของตัวเองอย่างเหิมเกริม
“ข้าต้องการเครื่องเซ่นมากกว่านี้ เลือดมากกว่านี้! แล้วก็…หือ?!” ทันใดนั้นมันก็หยุดพูด แหงนหน้าขึ้น เหมือนมองทะลุผนังถ้ำไปยังสถานที่ใดสักแห่งที่อยู่ไกลโพ้น
“เกิดอะไรขึ้นกัน!?” มันแสดงสีหน้าแตกตื่นสงสัย
กลิ่นอายแปลกประหลาดที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กำลังพองขยายในที่ไกลโพ้นของจักรวาลแห่งนี้
เขาไม่เคยพบเห็นกลิ่นอายนี้มาก่อน ไม่ใช่พลังความว่างเปล่า และไม่ใช่พลังแห่งการดำรงอยู่ธรรมดา แต่เหมือนกับพลังประหลาดที่แทรกอยู่ระหว่างสองสิ่งมากกว่า
เพียงแต่การขยายตัวของพลังนี้เร็วเกินไป พร้อมกับที่การขยายตัวเร็วขึ้น เขาก็เห็นปากใหญ่สีดำสนิทที่โผล่ขึ้นตรงขอบจักรวาลกำลังอ้าปากกัดส่วนด้านข้างของจักรวาล คิดจะยัดจั กรวาลแห่งนี้เข้าปากตัวเองอย่างเชื่องช้า
“นี่…มันเป็นสิ่งใดกันแน่!?” ชายหกแขนแสดงความหวาดกลัวออกมาจากดวงตา
ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังความว่างเปล่าหรือสหพันธ์การดำรงอยู่ เขาก็ไม่เคยได้ยินว่ามีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวแบบนี้ปรากฏตัวมาก่อน
จักรวาลไม่ใช่สิ่งที่มีร่างจิตแข็งแกร่ง จิตใจกลุ่มที่เหมือนความโกลาหลนี้บ่อยครั้งจะขมุกขมัว ไม่สามารถปล่อยกลิ่นอายละโมบที่ชัดเจนแบบนี้ออกมาได้
กลิ่นอายพิสดารที่เหมือนต้องการจะกลืนกินทุกอย่างจนหมดนั้น ทำให้ชายหกแขนอดตัวสั่นไม่ได้
‘จะต้องรีบกลับไปแจ้งฝ่าบาทราชาโลกให้เร็วที่สุด!’ เขาตัดสินใจทันที เมินจอมเวทที่กราบไหว้อยู่ข้างใต้ ร่างระเบิดกลายเป็นพลังแห่งความว่างเปล่าสีดำ แล้วสลายหายไปอย่างฉับพลัน
……………………………………….