ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 116 ย้ายฝั่ง (2)
บทที่ 116 ย้ายฝั่ง (2)
เซียวหงเย่ส่ายหน้า สะท้อนใจ “ประมุขพรรคยังไม่ทราบ ตระกูลสวีกับตระกูลซั่งหยางแข็งแกร่งสุดขีด คู่คี่สูสี แค่สวีเฟยหงกับซั่งหยางจิ่วหลี่ พลังส่วนตัวของสองคนนี้ คุณหนูสวีเฟยหงเกรงว่าต้องใช้เวลาอีกหลายปีจึงจะไล่ตามพลังฝึกปรือกึ่งหนึ่งของซั่งหยางจิ่วหลี่ทัน” เขาอธิบายเบาๆ คล้ายมีน้ำใสใจจริง
“ผู้พี่เห็นว่าผู้น้องใบหน้าเย็นชาจิตใจดีงาม เหมือนกับน้องชายที่เสียไปแล้วของข้า จึงขอชี้แนะท่านสองสามประโยค วันหน้า กระชับความสัมพันธ์กับคุณหนูจิ่วหลี่ผู้นั้นให้ดี คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะอันดับสองที่สมคำร่ำลือของตระกูลซั่งหยางในปัจจุบัน อีกไม่กี่ปีคงข้ามระดับพันธนาการ ได้รับความโปรดปรานจากท่านผู้นี้ ไม่แน่ว่าภายหลังผู้น้องจะสบายขึ้นมาก”
“อ้อ?” ไป๋เฟิงแสดงสีหน้าตกใจอยู่ด้านข้าง “หรือคุณหนูจิ่วหลีกำลังจะเลื่อนเป็นขอบเขตสัตตะลักษณ์แล้ว!?”
“ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ สิบปีก่อนหน้านี้คุณหนูซั่งหยางจิ่วหลี่ถึงระดับเบญจลักษณ์แล้ว เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลซั่งหยาง ถ้าไม่ใช่ผู้มาทีหลังแต่แซงหน้าท่านนั้น ตอนนี้คงจะไม่มีใครทำลายสถิตินี้ได้ สัตตะลักษณ์ เกรงว่าจะอยู่ไม่ไกลแล้ว…” เซียวหงเย่เอ่ยเบาๆ
“สัตตะลักษณ์ เบญจลักษณ์อะไรนี่ ไม่ทราบว่าคืออันใด…” ลู่เซิ่งจิตใจหวั่นไหว รู้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับการแบ่งระดับพลังในตระกูลขุนนาง จึงรีบถาม
“ประมุขพรรคลู่ไม่ใช่เข้าสู่ขอบเขตตรีลักษณ์เป็นอย่างน้อยหรอกหรือ เหตุใดไม่รู้จัก” เซียวหงเย่พลันงุนงง
“ข้าตีผิดชนพลาดมา…” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“ตีผิดชนพลาดยังเข้าสู่ขอบเขตตรีลักษณ์ได้ ตระกูลที่เป็นชาติกำเนิดของประมุขพรรคลู่…ไม่ธรรมดาจริงๆ!’ ไป๋เฟิงเต้าจ่างสะท้อนใจ
“ฮ่าๆ หัวหน้าขุนนางผู้ตรวจการไป๋ล้อเล่นแล้ว” ลู่เซิ่งทราบว่าพวกเขายึดถือตนเป็นลูกหลานผู้สืบทอดของตระกูลขุนนางสักตระกูล แต่ไม่ได้เปิดเผย เขาทราบดีว่าตัวเองใช้ร่างกายของคนธรรมดาสู้เสมอกับสตรีกางร่ม ก็เหนือกว่าระดับมนุษย์แล้ว อีกฝ่ายเข้าใจผิดเช่นนี้ถือว่าปกติ
“น้องลู่ยังไม่ทราบ รูปแบบนี้คือการแบ่งระดับพันธนาการ” เซียวหงเย่อธิบาย “คำว่าพันธนาการคือพลังพันธนาการ คนในตระกูลขุนนางสืบทอดอาวุธเทพ ภายใต้แสงสว่างของอาวุธเทพ ก่อให้เกิดคุณสมบัติทางระดับชั้นที่ไม่เหมือนกันตามระดับความเข้ากันได้ที่แตกต่างกัน”
“ขุนนางนอกราชการเซียวกล่าวถูกต้อง อัจฉริยะที่มีความเข้ากันได้สูงสุดอย่างซั่งหยางจิ่วหลี่เรียกได้ว่าร้อยปียากพบพานสักคน” ไป๋เฟิงเต้าหยินกล่าวอย่างเห็นด้วย “ถึงลูกหลานตระกูลขุนนางเมื่อเกิดมาจะเป็นระดับพันธนาการทันที แต่หลังจากฝึกฝนเพิ่มขอบเขต ก็จะควบคุมโลหิตแห่งการสืบทอดได้มากกว่าเดิม หลังจากเป็นผู้ใหญ่ สามารถบรรลุถึงขอบเขตทวิลักษณ์ก็ไม่เลวแล้ว ลูกหลานตระกูลขุนนางส่วนใหญ่เป็นแค่เอกะลักษณ์ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สุด”
“หมายความว่าระดับของพันธนาการ แบ่งออกเป็นทั้งหมดเจ็ดระดับ หากระดับมากกว่าสามก็นับว่าเป็นยอดฝีมือได้หรือ” ลู่เซิ่งถาม
“นี่ย่อมแน่นอน เหมือนกับสตรีกางร่มซึ่งเป็นรองผู้คุมจัตุรัส เดิมพวกเรานึกว่าสตรีกางร่มอย่างมากสุดเป็นแค่ระดับทวิลักษณ์ อย่างไรก็แค่ภูตผีที่เป็นความประหลาดลี้ลับเลื่อนขึ้นมา กลับคาดไม่ถึง…
ถ้าประมุขพรรคลู่ไม่ได้ต่อสู้กับนาง ภายหลังพวกเราลงมือกับสตรีกางร่ม เกรงว่าจะเสียท่าครั้งใหญ่จริงๆ!” ไป๋เฟิงเต้าหยินรำพึง
“เป็นเช่นนี้จริงๆ” เซียวหงเย่เอ่ยอย่างเห็นด้วย
ทั้งสองคนขณะคุยกัน ยึดถือลู่เซิ่งเป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง ทำให้เขาทราบข้อมูลฉากหลังเกี่ยวกับตระกูลขุนนางจำนวนมากโดยไม่ได้ตั้งใจ
พันธนาการแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับ หลักๆ มาจากลวดลายบนเนื้อเยื่อสีดำที่โผล่ขึ้นมาบนผิวกาย หลังจากฝึกฝนถึงระดับพันธนาการแล้ว
หนำซ้ำยังแตกต่างจากตระกูลเจินที่เป็นตระกูลขุนนางของแดนเหนือ ตระกูลเจินมีรวมกันไม่เกินสิบกว่าคน เก้าตระกูลแห่งจงหยวนยึดครองสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งจงหยวนได้ ย่อมมีพลังแข็งแกร่งกว่ามาก
ไม่พูดถึงใครอื่น แค่กองกำลังในที่แจ้งของตระกูลซั่งหยาง ก็มีสมาชิกตระกูลห้าสิบกว่าคนแล้ว คนที่มีระดับตรีลักษณ์ขึ้นไป และโด่งดังมีถึงแปดคน
แปดตระกูลที่เหลือความจริงพลังไม่ต่างกันมาก
ทั้งสามคนคุยกันในศาลาสักพัก ก็พูดถึงวรยุทธ์ของคนธรรมดา
“พวกเราฝึกฝนวรยุทธ์ของมนุษย์มีประโยชน์อันใด ฝึกฝนหลายสิบหลายร้อยปี ก็เข้าสู่เยื่อดำระดับเอกะลักษณ์แห่งพันธนาการไม่ได้ หลักๆ มีแต่วิชาหล่อเลี้ยงชีวิตไว้ยืดอายุขัย จึงเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง” ไป๋เฟิงเต้าหยินส่ายหน้ากล่าว
“ไม่ใช่เช่นนั้นทั้งหมด นอกจากวิชาหล่อเลี้ยงชีวิต มนุษย์ยังมีวิชาต่อสู้ไม่น้อยที่ควรค่าแก่การร่ำเรียน อย่างเช่นตอนประมุขพรรคลู่สู้กับสตรีกางร่ม ก็ไม่ใช่อาศัยวิชาโจมตีของมนุษย์เป็นหลักหรือ เซียวหงเย่ค้าน เขายึดถือการป้องกันอันแข็งแกร่งซึ่งมาจากการทับซ้อนกันของวิชากำลังภายในกับวิชาแข็งกร้าวของลู่เซิ่ง เป็นเยื่อดำระดับพันธนาการ และยึดถือกำลังภายในที่แข็งกล้าเช่นวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน บวกกับพลังระเบิดอันน่าสะพรึงเป็นวิชาจู่โจมทั่วไป
ลู่เซิ่งไม่ได้บอกความจริง เพียงถอนใจเบาๆ
“วิชาโจมตีมีผลไม่เลวจริงๆ แต่เทียบกับพลังโดยกำเนิดของตระกูลขุนนาง ยังต่างชั้นเกินไป” เขารำพึงจากใจ เพื่อต้านทานพลังระดับพันธนาการที่ต่ำที่สุด เขาใช้ทั้งความคิดและความพยายามมากมาย เปลี่ยนเป็นคนธรรมดา หากไม่ฝึกฝนเป็นเวลาสองร้อยปีขึ้นไป แค่เจอหน้าก็ถูกสตรีกางร่มฉีกทึ้งแล้ว
พลังยุทธ์ไม่ถึง แม้แต่ระดับพันธนาการก็ไปไม่ได้
“ถูกต้อง…พูดถึงพลังโดยกำเนิด ถ้าครั้งนี้ตระกูลเจินปกป้องภัยพิบัติมังกรสีชาดไว้ เกรงว่าพลังจะเพิ่มขึ้นใหญ่หลวงอย่างแท้จริง ครอบครองอาวุธเทพสองชิ้น…จุ๊ๆ ลูกหลานตระกูลขุนนางแค่เกิดมาก็มีพลังระดับทวิลักษณ์แล้ว น่ากลัวโดยแท้” เซียวหงเย่สะท้อนใจ
“ครั้งนี้ตระกูลเจินคิดพลิกตัว ความแค้นที่ถูกขับไล่ในคราวนั้น จะต้องหาโอกาสแก้แค้น เหอะๆ เวลานั้นมีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว” ไป๋เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้อง ด้วยความชั่วร้ายของตระกูลเจิน อาจมีเรื่องสนุกจริงๆ” เซียวหงเย่พูดด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
ลู่เซิ่งหวั่นไหว พลังของตระกูลขุนนางหรือจะมาจากอาวุธเทพ การแย่งชิงอาวุธเทพชิ้นใหม่ยกระดับพลังโดยกำเนิดให้ลูกหลานตระกูลขุนนางที่เกิดมาใหม่ได้หรือ
เขามองเซียวหงเย่ คนผู้นี้ตั้งแต่ต้นจนจบคล้ายกับต้องการชักนำหัวข้อไปยังทิศทางที่ตนต้องการเหมือนตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ
ใบหน้าอวบขาวของอีกฝ่ายมักมีท่าทีเป็นมิตรไร้อันตราย คล้ายกับมีเจตนาดีต่อตนจริงๆ
“จริงด้วย ยังไม่ได้ขอคำชี้แนะว่าชาติกำเนิดของขุนนางนอกราชการเซียวคือ…?” ลู่เซิ่งอดถามต่อหน้าไม่ได้
ตั้งแต่แรกเริ่ม ไป๋เฟิงเต้าหยินไม่ได้แนะนำภูมิหลังของเซียวหงเย่ แต่เขากลับทราบเบื้องหลังมากมายขนาดนี้ เห็นได้ว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
“น้องลู่อดใจไม่ไหวแล้วหรือ” เซียวหงเย่พลันกางพัดปิดปาก หัวเราะโฮ่ๆๆ
“ผู้พี่เป็นเพียงผู้ดูแลเล็กๆ แห่งจวนอู๋โยว เทียบกับอัจฉริยะตระกูลขุนนางดุจดั่งดวงอาทิตย์สองนางนั้นไม่ได้”
“จวนอู๋โยวหรือ” ลู่เซิ่งงงงัน
เขานึกถึงชื่อชื่อหนึ่งแทบจะในพริบตา อู๋โยวอ๋อง
พี่น้องตระกูลหลิ่ว ยังมีหลี่ซุ่นซี ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับอู๋โยวอ๋อง พี่น้องตระกูลหลิ่วถูกไล่ล่า หลี่ซุ่นซีถูกล้างตระกูล ทั้งหมดเป็นฝีมือของอู๋โยวอ๋อง
ขณะนี้อู๋โยวอ๋องผู้นี้ยังเกี่ยวข้องกับตระกูลขุนนาง ลู่เซิ่งมีความเข้าใจต่อระดับความหมายในนี้แล้ว
หลังจากกินอาหาร สนทนากันเสร็จแล้วก็เป็นเวลากลางไฮ่ (สี่ทุ่มถึงห้าทุ่ม) ลู่เซิ่งถึงพาคนออกจากจวนผู้บังคับการ
คนของจวนผู้บังคับการเตรียมเกวียนเทียมวัวไว้ ส่งพวกลู่เซิ่งกลับเรือวาฬแดง
บนเกวียนเงียบงันตลอดทาง จนกระทั่งถึงเรือวาฬแดง หงหมิงจือค่อยออกมาต้อนรับ
ระดับสูงในพรรคหายไปมากกว่าครึ่ง ซากที่ถูกเผาบนเรือวาฬแดงได้รับการเก็บกวาดไปมาก ยังมีคนกำลังขนสิ่งของขึ้นไปบนหอ
บนดาดฟ้าเรือแว่วเสียงร่ำไห้เลือนราง นั่นเป็นครอบครัวของสมาชิกที่สละชีพในพรรค
ตอนลู่เซิ่งลงจากเกวียน ทอดตามองไปไกล ควันขาวหลายสายลอยขึ้นจากดาดฟ้าเรือไม่หยุด ทั้งหมดเป็นควันจากกระดาษเงินในกระถางไฟที่เผาเซ่นไหว้แด่ผู้วายชนม์
“เป็นอย่างไรบ้างศิษย์น้อง” หงหมิงจือเข้ามาถามไถ่
“เลือกตระกูลซั่งหยาง ยืนยันแล้ว ซั่งหยางจิ่วหลี่ที่เป็นตัวแทนไปจัตุรัสแดงเอง พวกเรารอแค่ข่าวก็พอ” ลู่เซิ่งตอบ
“เช่นนั้นก็ดี…เช่นนั้นก็ดี!” หงหมิงจือถอนใจอย่างแรง พวกผู้อาวุโสที่อยู่ข้างเขาก็มีสีหน้าผ่อนคลาย แสดงว่าก่อนหน้านี้ตึงเครียดมาตลอด
“ประมุขพรรค เกรงว่าพวกเรายังผ่อนคลายไม่ได้ ก่อนหน้านี้ในพรรคมีคนตายมากเกินไป ไม่ต่ำกว่าร้อยคน ครั้งนี้ใช้เงินบำรุงขวัญไปมากกว่า…” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเดินเข้ามารายงาน
“ทุกบ้านให้หนึ่งร้อยตำลึงเป็นค่าบำรุงขวัญ ถ้าลำบากเกินไปจริงๆ ภายหลังให้จดบันทึกเพื่อดูแลเพิ่มเติม” ลู่เซิ่งเอ่ย
“ขอรับ” ผู้อาวุโสพยักหน้า
ลู่เซิ่งกำชับอีกประโยค “จงอย่าขาดตกบกพร่องต่อเหล่าพี่น้องที่ตายไปเพื่อพรรค”
การจัดการแบบนี้ของเขาในสภาพแวดล้อม ณ ตอนนี้ นับว่าใจกว้างมากแล้ว
ปกติถ้าในพรรคมีคนตาย ชดเชยเงินแก่ครอบครัวสิบกว่าตำลึงนับว่าดีมากแล้ว ไหนเลยโยนตั๋วเงินออกไปหลายสิบหมื่นเหมือนอย่างเขา
“เอาล่ะ ศิษย์พี่ พวกเรากลับไปคุยกันบนเรือเถอะ” ลู่เซิ่งเสนอ
คนอื่นๆ ติดตามเขาเข้าไปในห้องหนังสือบนชั้นที่สี่ของหอบนเรือวาฬแดง
ลู่เซิ่งเล่าถึงผลลัพธ์ที่ได้ในครั้งนี้ให้หงหมิงจือฟังคร่าวๆ
“ตอนนี้สภาพของพวกเราย่ำแย่ยิ่ง ต่อให้ซั่งหยางจิ่วหลี่ไม่มีความคิด แต่ในฐานะกองกำลังที่เคยติดตามขุมกำลังอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็วจะถูกเปลี่ยนเป็นค่ายพรรคในครอบครองของพวกเขา” หงหมิงจือขมวดคิ้วกล่าว
“ในเวลาสั้นๆ นี่ยังไม่ต้องเป็นห่วง บวกกับตระกูลซั่งหยางน่าจะมาแค่ลองเชิงในแดนเหนือดู คงไม่ได้แบ่งแยกกองกำลังมามากนัก” ลู่เซิ่งตอบ ที่เขาเลือกตระกูลซั่งหยาง หลักๆ ก็เพราะซั่งหยางจิ่วหลี่แข็งแกร่งกว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ มิฉะนั้นยังไม่ทันรับมือ ทางจัตุรัสแดงยังก็ลอบลงมือกับสมาชิกทั่วไป เขาไม่มีปัญญาป้องกันจริงๆ ความจริงสำหรับพรรควาฬแดงแล้ว จะเลือกตระกูลขุนนางตระกูลใดก็ต่างกันไม่มาก
“หมายความว่าแดนเหนือจะอยู่ในภาวะสุญญากาศเป็นเวลาสั้นๆ หรือ” หงหมิงจือเอ่ยเสียงทุ้ม
“อาจจะ ตระกูลเจินนำของวิเศษหนีไป ต่อจากนี้พวกเราต้องดูว่าตระกูลซั่งหยางจะมีท่าทีอย่างไร ต่อให้เปลี่ยนนาย หลายสิ่งหลายอย่างก็ต้องระวังตัวไว้บ้าง จะได้ไม่ทำผิดข้อห้าม” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ
“สมควรเป็นเช่นนี้” หงหมิงจือพยักหน้า เขาก้มหน้าไอหลายครั้ง “แต่ข้าว่าทางจัตุรัสแดงไม่น่าเลิกราง่ายๆ เช่นนี้”
“เรื่องนี้ปล่อยให้ตระกูลซั่งหยางจัดการ” ลู่เซิ่งตอบ เขาหยิบแผ่นหินของตระกูลซั่งหยางออกมาให้หงหมิงจือดู
ทั้งสองคนคุยรายละเอียด วิเคราะห์สภาพการณ์ส่วนหนึ่งไว้พอประมาณ จากนั้นก็ไปตำหนักใหญ่ ประกาศข่าวนี้ให้แก่ระดับสูงคนอื่นๆ ฟัง
“หมายความว่าเรื่องของจัตุรัสแดงจบลงแล้วใช่หรือไม่ เรียบร้อยเช่นนี้หรือ” เฉินอิงถามเป็นคนแรก
“พรรควาฬแดงพบพานเหตุการณ์นี้ เสียหายร้ายแรง จะต้องพักฟื้น รอจนฟ้าสว่าง สมควรไม่เกิดเรื่องแล้ว” ลู่เซิ่งนั่งบนเก้าอี้ ถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง
“ประโยชน์ที่ตระกูลซั่งหยางมีหลักๆ คือการป้องกันปัญหาจากจัตุรัสแดง ที่เหลือขึ้นอยู่กับว่าพวกเราจะจัดการอย่างไร ส่วนการดูแล คงจะผ่อนคลายกว่าตอนตระกูลเจินอยู่เมื่อก่อนหน้านี้มาก”
“จัดการงานศพของพี่้น้องในพรรคก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ” หงหมิงจือถอนใจกล่าว ถึงเขาไม่รับตำแหน่งประมุขพรรคแล้ว แต่ยังคงเป็นศิษย์พี่ของลู่เซิ่ง และเป็นยอดฝีมือสำนักอาทิตย์ชาด คำพูดยังคงมีอิทธิพลมาก
“ศิษย์พี่กล่าวถูกแล้ว สมควรจัดการสถานการณ์ในพรรคก่อน” ลู่เซิ่งพยักหน้า
รอเพียงซั่งหยางจิ่วหลี่ยืนยันสถานการณ์ทางจัตุรัสแดง เขาก็จะควบคุมพรรควาฬแดงเพื่อจัดการเรื่องเก็บกวาด ครั้งนี้แม้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสายเลือดลูกหลานตระกูลขุนนาง แต่กลับทราบข้อมูลลับๆ ไม่น้อย จำเป็นต้องย่อยสลายให้ดี
สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือ ได้กำหนดพลังของตัวเองในหมู่ลูกหลานตระกูลขุนนาง
……………………………………….