ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1161 เผยแพร่ศาสนาและความปรารถนา (1)
ชีวิตในร้านขายของน่าเบื่อหน่าย
ลู่เซิ่งอยู่ในร้านเฉยๆ ถึงสามวัน
ทุกๆ เช้าจะตื่นมากินขนมปังและนมวัว ก่อนจะดูข่าว ในบนโทรทัศน์มีปรากฏข่าวผู้มีพลังพิเศษบางคนปรากฏตัวช่วยเหลือเมือง บางคนช่วยฉายจัดการผู้การก่อการร้าย บางครั้งก็ฉายมีข่าวว่า พื้นที่แห่งใดพื้นที่หนึ่งเกิดภัยพิบัติ เหล่าผู้มีพลังพิเศษจำนวนมากตั้งกลุ่มขึ้นมาตรวจสอบมุ่งหน้าไปตรวจสอบ
ส่วนฮีโร่ที่โด่งดังที่สุดในเมืองไวท์ที่เขาอยู่ ก็คือดาบเลเซอร์ทริส
ฮีโร่คนนี้มีอัตราปรากฏตัวสูงสุดขีด ลู่เซิ่งดูโทรทัศน์ศัพท์สามวัน มีสองวันที่ถ่ายทอดสดข่าวซึ่งเกี่ยวกับเขา
‘ดูเหมือนว่า นอกจากกองกำลังติดอาวุธของรัฐบาลแล้ว หลักๆ ก็อาศัยฮีโร่เอกชนพวกนี้รักษาสมดุลในขอบเขตพลังพิเศษสินะ’
ลู่เซิ่งนั่งบนเก้าอี้เอนอย่างเบื่อหน่าย พร้อมกับสัมผัสถึงเรือไม้ราชาฟีนิกซ์ที่ตนปล่อยออกไป สาวออฟฟิศที่ชื่อฮานนาคนนั้นค้นพบความพิเศษของเรือไม้แล้ว เมื่อวานเริ่มบูชาเรือ ไม้อย่างเป็นทางการ
‘ยังไม่เพียงพอ…เราต้องการคนมากกว่านี้มาช่วยรวบรวมข้อมูล เป็นหูเป็นตา และรวบรวมพลังอาวรณ์…’ ลู่เซิ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ คิดจะออกไปเดินเล่นดู การอยู่ในร้านค้าตลอดเวลาไม่มีทาง งทำให้โชคดีหล่นลงมาจากฟ้า
เขาจำเป็นต้องเคลื่อนไหวเอง
ลู่เซิ่งเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง สวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนส์ทั่วไป จากนั้นก็เดินออกจากร้าน ประตูขี้เกียจล็อกค ให้ดีที่สุดขอให้มีโจรมา พวกเขาขโมยของไปขาย ไม่แน่ยังเร็วกว่ากา ารเฝ้าต้นไม้รอกระต่ายของเขาอีก
ลู่เซิ่งเดินเล่นอย่างเชื่องช้าไปตามถนน ไม่นานก็ออกจากถนนที่เกิดเรื่อง เดินเข้าถนนย่านการค้าที่มีคนคับคั่ง
มีตึกสูงเรียงรายสองฟากข้าง เหล่าพนักงานออฟฟิศก้าวเดินอย่างรีบเร่ง ทุกๆ คนต่างก็มีสีหน้าเฉยชาและเหม่อลอย
คนพวกนี้ถ้าไม่ใช่ไม่สนใจเรื่องราวรอบๆ ตัว ก็เดินไปพลางครุ่นคุร่นคิดเรื่องงานอื่นๆ ไปพลาง อาจยังมีความหงุดหงิดในชีวิตด้วยซ้ำ
ลู่เซิ่งเดินถึงแผงขายหมวกแห่งหนึ่ง ซื้อหมวกกลมทรงสูงมาสวม เขาโบกมือทีหนึ่ง ความพร่ามัวจางๆ พลันปกคลุมใบหน้าเขา ทำให้คนอื่นๆ มองเห็นหน้าไม่ชัด
‘แบบนี้ก็ดี จำเป็นต้องรักษาความลี้ลับถึงจะดูลึกลับและได้รับความเคารพในระดับสูงสุด’
ลู่เซิ่งเดินผ่านทางเข้าออกลานจอดรถที่เปลี่ยวร้างนเหงาอยู่บ้าง แล้วหยุดลงด้านล่างป้ายโฆษณาป้ายหนึ่ง รอชายสวมสูทสามคนตรงนั้นเดินผ่านไป
“เร็วหน่อยๆ! จะไม่ทันแล้วนะ!” ชายสวมสูทคนหนึ่งเหงื่อแตกเต็มหน้า เกือบจะวิ่งแล้ว
ลู่เซิ่งมองเขาพุ่งเข้าไปในตึกสำนักงานทางซ้ายมือ ตนเองเดินเล่นต่ออย่างสบายอารมณ์
จากนั้นเขาก็ตัดเข้าไปในซูซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็กแห่งหนึ่ง บนม้านั่งสาธารณะทางซ้ายมือมีชายหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบปีคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาแต่งตัวอย่างตกอับ หนวดเครารุงรัง ผิวขาว วซีด แขนและขาที่โผล่ออกมาด้านนอกทำให้เห็นว่าเขาได้รับสารอาหารไม่พอ ร่างกายผอมแห้ง
ลู่เซิ่งเห็นแววไม่ยอมแพ้และเคียดแค้นอันรุนแรงจากดวงตาของเขา
เขาเป็นคนแบบที่ตนต้องการ
ลู่เซิ่งทิ้งไม้แกะสลักที่เหมือนกับลิงลงพื้นเบาๆ รูปแกะสลักนั้นเคลื่อนไหวเองอย่างน่าประหลาด ไต่ไปถึงด้านหน้าชายหนุ่มอย่างช้าๆ
คนรอบๆ ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี้ เหมือนกับตาบอด
ชายหนุ่มสายตาสั่นไหว สีหน้าหวาดกลัวขึ้นเล็กน้อย แต่ความคิดที่แปลกประหลาดสั่งให้เขายื่นมือออกไปคว้าไม้แกะสลัก
รอจนเขาเงยหน้าขึ้นหาเจ้าของไม้แกะสลัก ด้านหน้าก็ไม่เหลือใครแล้ว
ข้อมูลประหลาดสายหนึ่งซึมเข้าสมองของเขาอย่างช้าๆ
‘สำเร็จอีกหนึ่ง ของขวัญจากราชาฟีนิกซ์…’
ลู่เซิ่งเดินมาถึงถนนอีกเส้น แสยะยิ้มแปลกประหลาด
‘ต่อจากนี้ ถึงคราวเป็นตาเทพหมาป่าร้อยเศียร’
มีไม้แกะสลักรูปหมาป่าเลื่อนออกมาลงจากแขน เขากำไว้ในมือ
รูปแกะสลักไม่ใช่สิ่งที่จะเอาให้คนอื่นมั่วๆ ได้
เขาจำเป็นต้องตามหาอัจฉริยะที่มีศักยภาพ
ศักยภาพนี้จะต้องเป็นคนที่มีความปรารถนารุนแรงถึงขีดสุด หรือคนที่มีความแน่วแน่ตั้งใจมากพอ
ไม่อย่างนั้นหากเขาให้รูปแกะสลักไป แล้วอีกฝ่ายขี้เกียจบูชา หรือว่าทำได้ไม่กี่วันก็รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่ทำอีกต่อไป
เช่นนั้นก็เท่ากับสิ้นเปลืองโดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งเข้าไปในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินอย่างรวดเร็ว
ชายวัยกลางคนที่ฝีเท้าเร่งรีบคนหนึ่งกำลังเดินมายังประตูทางออกภายใต้การห้อมล้อมของบอดี้การ์ดหลายคน
แสดงให้เห็นว่าคนคนนี้เหมือนเป็นบุคคลสำคัญ
“คุณดีน เชิญเดินมาทางนี้!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งนำทาง เดินไปยังขบวนรถที่ประกอบจากรถยนต์สีดำซึ่งจอดอยู่ริมทาง
ชายวัยกลางคนที่ชื่อดีนมีดวงตาเหมือนเหยี่ยว หัวเถิกเล็กน้อย เส้นผมสีขาว หุ่นสูงล่ำสัน แค่มองดูก็ให้ความรู้สึกกดดันอันรุนแรง แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่นักธุรกิจธรรมดาทั่วไป
ตุบ
จู่ๆ เขาก็สะดุด เหมือนเหยียบโดนอะไรสักอย่าง
เขาก้มหน้ามอง เป็นไม้แกะสลักสีน้ำตาลที่เหมือนกับหมาป่า งานฝีมือประณีตมาก ราวกับมีชีวิต
ดีนเคยเห็นทักษะการแกะสลักขั้นปรมาจารย์มามากมาย แต่ไม่เคยมีรูปแกะสลักใดที่ให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเหมือนไม้แกะสลักชิ้นนี้มาก่อน
“เป็นอะไรไปเหรอครับ” บอดี้การ์ดคนหนึ่งถามอย่างสงสัย
เขาก้มลงหยิบไม้แกะสลักขึ้นมาดูในมือ
“สิ่งนี้…มาจากไหน”
“อะไรครับ? สิ่งไหนเหรอครับ คุณกำลังพูดอะไรอยู่หรือ” บอดี้การ์ดกล่าวอย่างประหลาดใจ
ดีนกวาดตามองรอบๆ พบว่าสายตาของบอดี้การ์ดทุกคนต่างจับอยู่บนไม้แกะสลักกลางมือของตัวเอง
เขาเขย่าไม้แกะสลัก
“สิ่งนี้เป็นของใคร”
ไม่มีใครตอบ แทบทุกคนต่างแสดงสีหน้ามึนงงสงสัย
ดีนมองความผิดปกติออกแล้ว อย่างไรที่นี่ก็เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ
“พวกคุณมองไม่เห็นเหรอ”
“ขออภัยครับ…ในมือคุณไม่มีอะไรเลย” หัวหน้าทีมบอดี้การ์ดตอบเสียงทุ้ม “พวกเรารีบขึ้นรถกันดีกว่าครับ ใกล้จะสายแล้ว”
“ได้” ดีนหยีตา ใส่ไม้แกะสลักไม้ในกระเป๋าเสื้อ ในพริบตาที่นิ้วเขาออกห่างจากไม้แกะสลัก ข้อมูลที่บรรยายไม่ถูกสายหนึ่งก็ไหลเข้าสมองเขา
สายตาที่เหมือนเหยี่ยวของเขาพลันหดตัว
มีไม่กี่คนที่รู้ว่าความจริงเขาเป็นผู้มีพลังพิเศษ แต่ไม่ใช่พลังพิเศษสายกายภาพ หากเป็นความสามารถด้านจิตใจ
ความสามารถแบบนี้ทำให้เขามีพลังต้านทานต่อการวางยาหลอนประสาท ยาพิษ ยาสลบ และความสามารถทางจิตใจที่แข็งแกร่ง
ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่า ไม่มีใครสร้างผลกระทบต่อตนในด้านจิตใจได้
แต่ข้อมูลด้านใน…ไม้แกะสลักเมื่อครู่…
เขาพกพาความสงสัยขึ้นรถ ตัดสินใจว่าจะหาเวลาทดลองดูในตอนกลางคืนดู
ลู่เซิ่งยืนอยู่ในฝูงชน มองส่งขบวนรถจากไป
คนคนนี้มีความทะเยอะทะยานและความเพียรพยายาม เหมาะเป็นสาวกของเทพหมาป่าพันเศียรที่สุด
‘ไปหาอีกคน...’
‘จริงสิ ใช้การจัดส่งพัสดุก็ได้นี่นา กระจายผ่านอินเทตอร์เน็ต ความเร็วจะเพิ่มขึ้น’ลู่เซิ่งได้ความคิด
เขาเตรียมระบบวงศาเทพซึ่งใช้เป็นรากฐานสำหรับก่อตั้งลัทธิและดูดซับพลังอาวรณ์ไว้สี่สาย
ราชาฟีนิกซ์ เทพหมาป่าพันเศียร์ เทพนอกรีตโลหิต และราชามังกรรุ้ง
ระบบวงศาเทพสี่สายร่วมมือกันและสนับสนุนกัน กลายเป็นวิหารดวงดาว ใต้สังกัดยังมีเทพบริวารและเครือญาติอีกมากมาย
ตำหนักของวิหารดวงดาวของเขาได้ถูกสร้างขึ้นในโลกรูปจิตแล้ว จากนั้นยังยัดเครือญาติของตัวเองมายัดใส่เข้าไปด้วย
เผ่าหงส์ชาดยัดคนไปนิดหน่อย พวกที่ดูเหมือนหมาป่าก็ยัดใส่เล็กน้อย สายเทพนอกรีตหาง่ายที่สุด อย่างไรขอแค่เป็นพวกที่สมองเลอะเลือน รูปร่างขี้เหร่มากพอ ก็สามารถยัดเข้าไปได้
ลู่เซิ่งถึงขั้นแบ่งระดับของสาวกและอาคมอันเชิญในระดับเดียวกันไว้เสร็จสรรพแล้ว
ขอแค่ความศรัทธา(พลังอาวรณ์) เพิ่มปริมาณถึงระดับหนึ่ง ก็จะปลดล็อกคขอบเขตอำนาจระดับต่างๆ อัญเชิญเครือญาติเทพเจ้าแต่ละระดับออกมาได้ ถึงขั้นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดยังสามารถอัญเชิญ ญทายาทสายเลือดเทพและเทพรับใช้ได้
‘ขยันอธิษฐาน แล้ววันหน้าจะได้ดี ขอแค่พวกนายทนได้’ ลู่เซิ่งไม่เคยเลือกกิน คนที่มอบพลังอาวรณ์ให้เขา ขอแค่รักษาคุณภาพและจำนวนไว้ได้ เขาก็ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะมีความเห็นส่วนต ตัว เป็นคนดีหรือเป็นคนชั่วหรือไม่
ออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน เขาใช้โทรศัพท์ซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวบินไฟลท์ที่ใกล้จะถึง
จากนั้นก็ออกจากเมืองไปยังสนามบินอย่างสบายอกสบายใจ
ตอนอยู่บนเครื่องบินเขาได้ทำให้ผู้ล้มเหลวที่ดูหดหู่ท้อแท้คนหนึ่งกลายเป็นสาวกของตัวเองอีกคน
มีแต่คนที่สูญเสียความหวังและที่พึ่งแบบนี้เท่านั้น ถึงจะฝากฝังสารกาย ปราณ จิตระดับใหญ่ที่สุดไว้บนไม้แกะสลัก แล้วเปลี่ยนเป็นพลังอาวรณ์ส่งให้เขาได้
เที่ยวไฟลท์บินที่ใช้เวลาสามชั่วโมงกว่าๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว รอออกมาจากสนามบิน ท้องฟ้าก็มืดมแล้ว
ลู่เซิ่งนั่งบนเก้าอี้โลหะตรงประตูสนามบิน มองดูนักท่องเที่ยวที่เดินกันขวักไขว่
ทันใดนั้นแอร์โฮสเตสร่างสูงชะลูด แต่งหน้าแต่งตาสวยงาม สวมกระโปรงสั้นและถุงน่องดำกลุ่มหนึ่ง ก็ลากกระเป๋าเดินทางผ่านหน้าเขาไป
ลู่เซิ่งมองร่างของแอร์โฮสเตสสาวคนหนึ่งที่เดินรั้งท้าย
เธอมีใบหน้างดงาม ดวงตาแวววาว ใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อยเหมือนเพิ่งร้องไห้มา
ลู่เซิ่งมองเห็นความคับแค้น โมโห สิ้นหวัง และกดดันอันเข้มข้นจากตัวเธอ
‘เป็นเด็กที่น่าสงสารจริงๆ…ให้คุณลุงปลอบใจเถอะ…’ ลู่เซิ่งยื่นมือออกมา ไม้แกะสลักรูปแพะภูเขาตัวเล็กๆ กลิ้งตกจากมือเขา แล้วหมุนขกลุกๆ ไปถึงเท้าของแอร์โฮสเตสคนนั้น
คนอื่นๆ ต่างมองไม่เห็น มีแค่เธอคนเดียวที่เหยียบโดนไม้แกะสลักจนเกือบจะสะดุดล้ม
“เอ๋?” แอร์โฮสเตสก้มลงหยิบไม้แกะสลักขึ้นมา
“วิลลา เร็วสิ ต้องขึ้นเครื่องแล้วนะ” เพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านหน้าเร่ง
วิลลาหยิบไม้แกะสลักขึ้นมา ในสมองมีข้อมูลประหลาดหลายสายไหลเข้ามา
เธอยังไม่ทันตอบสนอง ก็ถูกเพื่อนๆ ที่อยู่ด้านหน้าดึงให้ตามกลุ่มทัน
“เธอทำอะไรของเธอ เร็วหน่อยสิ พวกเราจะสายแล้วนะ”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ อย่าเหม่อสิ”
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวมองดูหญิงสาวถูกลากเข้าเส้นทางพิเศษเข้าสนามบินอย่างงงอึ้งงันด้วยรอยยิ้ม
‘ได้มาอีกหนึ่ง’
เขาลุกขึ้น ปัดกางเกง เดินออกจากสนามบินอย่างสบายอารมณ์ แล้วต่อแถวรอคอยรถแท็กซี่อยู่ตรงแถวรอรถด้านนอก
คนที่ต่อแถวอยู่ด้านหน้าเขาเป็นแม่ลูกคู่ครู่หนึ่ง กำลังใช้ภาษาเคียสคุยกันเบาๆ แม่ถามลูกสาวว่าการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง เงินพอใช้หรือเปล่า ตัวลูกสาวบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อย แต่ก ก้มหน้าอย่างละอายแก่ใจ
ไม่ใช่เพราะสาเหตุใดอื่น แต่เพราะน้ำหนักจากการกะด้วยสายตาของตัวลูกสาวอย่างน้อยก็ไปถึงหนึ่งร้อยกิโลกรัม อ้วนจนเหมือนลูกบอล ร่างสูงหนึ่งเมตรเจ็ดสิบเซนติเมตร ผมยาวสีน้ำตาล เหม มือนกับหัวไชเท้าอวบสวมหมวกไหมพรม ดูน่าขบขันมาก
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าในตัวหญิงสาว ความปรารถนาที่อยากจะลดน้ำหนัก อยากจะสวยขึ้น อยากจะโดดเด่น อยากเชื่อมั่นในตัวเอง และอยากเก่งกว่าเดิมนั้น
เขามอบไม้แกะสลักรูปเทพนอกรีตโลหิตให้
เชื่อว่าเธอจะต้องเปลี่ยนเลือดเนื้อที่เหลือไปเป็นพลังงานเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและสวยขึ้นได้อย่างแน่นอน ทว่า เงื่อนไขคือต้องศรัทธามากพอเสียก่อน